นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 929 แผน ทุ่มเทเพื่อเฟิ่งชิงเฉิน
เสด็จอาเก้าเรียกหวังจิ่นหลิงมา แน่นอนว่ามันไม่ใช่เพราะหึงหรือต้องการแสดงความรักที่มีต่อเฟิ่งชิงเฉินต่อหน้าหวังจิ่นหลิง ที่เสด็จอาเก้าเรียกเฟิ่งชิงเฉินมาพบก็เพราะมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย แต่ในเมื่อโอกาสมันเป็นใจเช่นนี้ เสด็จอาเก้าก็ไม่อยากปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป จึงใช้เวลานี้เป็นเวลานัดหมายของเขากับหวังจิ่นหลิง
ด้านนอกไม่ใช่สถานที่ซึ่งเหมาะแก่การพูดคุย บรรยากาศระหว่างเสด็จอาเก้ากับหวังจิ่นหลิงเองก็ดูแปลกไปเช่นกัน หลังจากเฟิ่งชิงเฉินกล่าวทักทายหวังจิ่นหลิง ก็เชิญทั้งสองเข้าไปในจวนพร้อมกัน
พ่อบ้านรู้ข่าวตั้งแต่แรก แต่คนฉลาดอย่างเขาคงไม่คิดที่จะสร้างปัญหาให้ตัวเอง เผชิญหน้ากับแรงกดดันอันเยือกเย็นของเสด็จอาเก้า และรอยยิ้มอันอ่อนโยนของหวังจิ่นหลิงที่ทำให้รู้สึกเสียวสันหลัง
พ่อบ้านได้เตรียมการทุกอย่างในจวนไว้เป็นอย่างดี ทันทีที่เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงก้าวเข้ามา พวกเขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีที่สุด จากนั้นเฟิ่งชิงเฉินก็ถูกพ่อบ้านเรียกตัวออกไปโดยการหาเหตุผลบางอย่างมาอ้าง
ตกลงหรือไง ผู้ชายสองคนที่อยู่ด้านในก็ไม่ใช่คนดีอะไร หากเฟิ่งชิงเฉินต้องเผชิญหน้ากับสองคนนั้นนางก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทนทุกข์ ไม่สู้หนีออกมาก่อน ให้พวกเขาสองคนปลดปล่อยอารมณ์ออกมาก่อนแล้วค่อยกลับเข้าไปใหม่
อย่างไรเสียเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงก็ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ ในสถานการณ์ที่ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย ทั้งสองเผชิญหน้ากันมันก็พอจะสูสี
วิธีการของพ่อบ้านนั้นถูกใจเฟิ่งชิงเฉินเป็นอย่างมาก เฟิ่งชิงเฉินรีบหนีออกมาอย่างรวดเร็ว กลับไปในห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็นำยาคุมกำเนิดออกมาจากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ นางรู้ว่าเสด็จอาเก้าอยากมีลูกสักคน นางเองก็อยากมีเช่นนั้น แต่ก็ไม่ใช่ตอนนี้
ไม่ว่าจะเป็นอายุหรือสถานการณ์ในตอนนี้ การที่นางจะมีลูกสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นางไม่มีพ่อแม่ เสด็จอาเก้าเองก็ไม่มีพ่อแม่ เช่นนั้นใครจะเป็นคนเลี้ยงดูลูกของพวกเขา?
คนรับใช้? เฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางวางใจเป็นแน่ และเวลานี้นางเองก็ไม่มีพลังเพียงพอที่จะเลี้ยงเด็ก ดังนั้น……
“เสด็จอาเก้า คงทำได้เพียงให้ท่านรอต่อไป” เฟิ่งชิงเฉินนำยาคุมกำเนิดออกมา กลืนมันลงไปอย่างไม่ลังเล
“ชุนฮุ่ย เซี่ยหว่าน ช่วยข้าแต่งตัวหน่อย” เฟิ่งชิงเฉินเก็บยาเรียบร้อยจึงเรียกคนรับใช้เข้ามา
ในจวนอ๋องเก้า นอกจากนางต้องอยู่คนละห้องกับเสด็จอาเก้า เช่นนั้นนางก็คงไม่มีวันมีสาวใช้เข้าไปปรนนิบัติอย่างใกล้ชิด ดังนั้นนางจึงต้องตื่นมาแต่งตัวให้ตัวเองในช่วงเช้าซึ่งค่อนข้างยุ่งเหยิงเล็กน้อย
ชุนฮุ่ยและเซี่ยหว่านรู้ว่าเสด็จอาเก้ากำลังรอเฟิ่งชิงเฉินอยู่ด้านนอก พวกนางจึงไม่กล้าแต่ตัวให้มันซับซ้อน แค่เพียงเกล้าผมมวยคู่ ปักปิ่นปักผมรูปดอกเหมยซึ่งเฟิ่งชิงเฉินเลือกมาเป็นพิเศษ
พูดถึงปิ่นดอกเหมย เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย นางกลัวว่าสร้อยข้อเท้าของนางจะเปลี่ยนสี ทุกครั้งที่อาบน้ำนางจึงถอดมันออก แต่เมื่อวานนางลืมใส่มันไว้ จึงทำให้……ทำให้เสด็จอาเก้าผิดหวังอยู่นาน
แม้เมื่อวานเสด็จอาเก้าจะไม่ได้พูดอะไร แต่ดูจากแววตาของเสด็จอาเก้าที่จ้องมองมา เฟิ่งชิงเฉินก็เข้าใจได้ทันที เสด็จอาเก้าจะต้องกำลังหาสร้อยข้อเท้าอยู่เป็นแน่ ทั้งที่นางใส่มันทุกวัน แต่เมื่อวานนางกลับลืมใส่
ครั้งนี้เฟิ่งชิงเฉินตั้งใจปักปิ่นดอกเหมย เพื่อหวังว่าเสด็จอาเก้าจะลืมเรื่องสร้อยข้อเท้าเมื่อวาน
“คุณหนู คุณชายหยุนมาถึงตั้งแต่เช้า พักผ่อนรออยู่ในลาน คุณหนูจะไปพบคุณชายหยุนก่อนหรือไม่?” หลังจากชุนฮุ่ยและเซี่ยหว่านแต่งตัวให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นอันเรียบร้อย แต่ไม่มีวี่แววว่าเฟิ่งชิงเฉินจะลุกขึ้นยืน พวกนางจึงถามออกไป
พวกนางเห็นรอยจูบบนร่างของเฟิ่งชิงเฉิน คิดว่าเฟิ่งชิงเฉินคงกำลังรู้สึกเขินอายอยู่
“มิต้อง เสด็จอาเก้ากับคุณชายใหญ่กำลังรอข้าอยู่ พวกเจ้าช่วยไปบอกคุณชายหยุนว่าข้าจะไปหาเขาในช่วงกลางคืน” ทันทีที่นางกลับเข้ามา พ่อบ้านก็ได้บอกเรื่องหยุนเซียวกับนางไว้แล้ว
หยุนเซียวไม่ได้มาเพียงลำพัง เขาพาหมอมาด้วยสองคน เด็กรับใช้หนึ่งคน ผู้ติดตามหนึ่งคน สาวใช้สี่คน องครักษ์อีกแปดคน เห็นได้ว่าเขาพาคนมามากมาย โชคดีที่จวนเฟิ่งมีพื้นที่กว้างเพียงพอ ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่มีที่พักผ่อน
“เจ้าค่ะ แม่นาง” ชุนฮุ่ยและเซี่ยหว่านแนะนำออกมา แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำของพวกนาง พวกนางเองก็ไม่ได้ออกอาการหรือรู้สึกไม่พอใจแต่อย่างใด เห็นเฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นยืน ทั้งสองคนรีบลุกขึ้น จากนั้นทั้งสามคนก็เดินตรงไปยังห้องโถง
พ่อบ้านพยักหน้าให้เฟิ่งชิงเฉินจากระยะไกล บ่งบอกว่าเวลานี้บรรยากาศเป็นปกติ เฟิ่งชิงเฉินสามารถเข้าไปด้านในได้แล้ว
เฮ้อ……นี่มันเรื่องอะไรกัน นางอยู่ในบ้านของตนเองแท้ ๆ เหตุใดจึงต้องไปสนใจความเห็นของผู้อื่น
“แฮ่ม แฮ่ม” เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่หน้าประตู กระแอมออกมาเบา ๆ เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงเงยหน้าขึ้นและมองไปพร้อมกัน
ใบหน้าอันเยือกเย็นของเสด็จอาเก้าผ่อนคลายลงเมื่อเห็นปิ่นปักผมบนศีรษะของเฟิ่งชิงเฉิน หวังจิ่นหลิงมีนิสัยอ่อนโยนโดยกำเนิด แต่เมื่อเทียบกับคนทั่วไปแล้ว หากมีความใกล้ชิดมากกว่า รอยยิ้มของเขาก็จะจริงใจมากกว่าเช่นกัน
เห็นเฟิ่งชิงเฉินเดินเข้ามา หวังจิ่นหลิงเอ่ยปากออกมาว่า “ชิงเฉินเจ้ามาได้จังหวะพอดี พวกเรากำลังคุยกันเรื่องที่เจ้าจะรักษาให้หยุนเซียวในวันพรุ่งนี้”
เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้ว เดินไปพร้อมกลับกล่าวว่า “พวกเจ้าวางแผนว่าจะทำอะไร”
หวังจิ่นหลิงนั่งอยู่ฝังซ้าย เสด็จอาเก้านั่งอยู่ตรงที่นั่งหลักฝั่งซ้าย เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าตนเองเป็นเจ้าของจวนเฟิ่ง เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้พูดอะไร และนั่งลงตรงด้านข้างอีกด้านหนึ่งของเสด็จอาเก้า
นางคือเจ้าของจวนเฟิ่ง เสด็จอาเก้าเสด็จอาเก้าคือชุนอ๋องแห่งตงหลิง ที่นั่งตำแหน่งนี้สำหรับพวกเขา ทั้งสองคนต่างสามารถนั่งได้
“เมื่อสักครู่พวกเราเจรจากันกันเรียบร้อยแล้ว แต่ท้ายที่สุดแล้วจะตัดสินอย่างไรมันก็ขึ้นอยู่กับชิงเฉิน” หวังจิ่นหลิงก้มหัวลงเล็กน้อย
ก้มหน้าลงไม่ใช่เพราะยอมแพ้ และไม่ใช่เพราะยินยอม ในบางครั้งก็ไม่อยากให้คนอื่นได้เห็นใบหน้าของตนเอง
“เรื่องที่พวกเจ้าทั้งสองตัดสินใจ จะต้องเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเป็นแน่ พวกเจ้าวางแผนว่าจะทำเช่นไร?” ด้วยการตบตาของเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิง เฟิ่งชิงเฉินทำได้เพียงเห็นด้วย
หวังจิ่นหลิงรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินนั้นกล่าวออกมาจากใจจริง เขาจึงไม่อ้อมค้อม กล่าวออกมาโดยตรงว่า “ชิงเฉิน ห้องผ่าตัดของเจ้ามิได้กว้างใหญ่ ด้านในเองก็บรรจุคนได้มิมาก และแม้ว่าในห้องจะมีหน้าต่าง แต่ในเวลาที่เจ้าทำการรักษาก็จะเป็นต้องปิดหน้าต่างเอาไว้ จากการพูดคุยระหว่างข้ากับเสด็จอาเก้า การรักษาของเจ้าในวันพรุ่งนี้สามารถให้เหล่าหมอหลวงเข้ามาดูขั้นตอนการรักษาได้ เพียงแต่ต้องมีข้อจำกัด”
หรือพูดอีกอย่างก็คือ พวกเขาต้องการรูปลักษณ์ของสินค้าหายาก อย่าทำให้การเยี่ยมชมขั้นตอนการรักษาของเฟิ่งชิงเฉินเหมือนผักปลาที่หมอทุกคนสามารถเข้าไปดูได้
“มีเหตุผล พวกเจ้าคิดว่าสามารถให้พวกเขาเข้าไปได้กี่คน?” นี่ไม่ใช่ยุคปัจจุบันที่จะได้มีห้องไว้เฝ้าสังเกตโดยเฉพาะ ในตอนที่สร้างกระท่อมไม้หลังเล็กขึ้นมา มันก็เพื่อไว้สำหรับการผ่าตัด และไม่ได้เตรียมที่ไว้สำหรับการเฝ้าสังเกต
“ชิงเฉิน เจ้าคิดว่าจำนวนคนเท่าใดเข้าไปในกระท่อมไม้ของเจ้าแล้วเจ้าจะรู้สึกมิอึดอัดหรือรบกวนการรักษาของเจ้า” ในเรื่องที่ต้องเคารพความคิดเห็นของผู้อื่นเช่นนี้ เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงไม่ใช่คนชอบตัดสินตามอำเภอใจ
เฟิ่งชิงเฉินลองคำนวณดูในใจ “มากสุดสิบคน”
“สิบคน? มิมากไปหน่อยหรือ” หวังจิ่นหลิงรู้ว่าความอดทนของเฟิ่งชิงเฉินมีขีดจำกัด เช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องยาก หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หันมาพูดกับเสด็จอาเก้าว่า “ห้าคน ข้าคิดว่ามากที่สุดมิเกินห้าคน”
แม้อยากจะให้คนยอมรับวิธีการรักษาของเฟิ่งชิงเฉิน แต่มันก็จำเป็นต้องทำเป็นกระบวนการ เขาเองก็เคยเห็นวิธีการรักษาของเฟิ่งชิงเฉิน วิธีการรักษาของนางอยู่เหนือจินตนาการ หากต้องการให้ผู้อื่นยอมรับ จำเป็นต้องค่อยเป็นค่อยไป หากปล่อยให้มาเจอกับวิธีการผ่าตัดอันเหี้ยมโหดเช่นนี้ หวังจิ่นหลิงเกรงว่าหมอหลวงเหล่านั้นคงต้องตกใจจนขวัญหาย
ผ่าตัดกะโหลก เปิดกะโหลกของผู้อื่นออก นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนสามารถยอมรับได้ หากมีคนจำนวนไม่มากได้เห็นมัน และบังเอิญเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น ทุกอย่างก็สามารถควบคุมได้ง่าย
เสด็จอาเก้าพยักหน้า “ตกลง ในห้าคนนี้ ข้าจะส่งหมอของข้าเข้าร่วมหนึ่งคน หมอของตระกูลหวังหนึ่งคน ตระกูลหยุนหนึ่งคน และอีกสองคนที่เหลือก็ปล่อยให้สำนักหมอหลวงเป็นผู้จัดการ”
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ทุกอย่างก็จะอยู่ในการควบคุมของพวกเขา
ต้องบอกเลยว่า ที่เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงทุ่มเทอย่างหนัง ทั้งหมดก็เพื่อเฟิ่งชิงเฉิน……