นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 931 ปลอบใจ มารบกวนแต่เช้าตรู่
เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าพวกหมอหลวงในสำนักหมอหลวงจะต่อสู้และแย่งชิงสิทธิ์เข้าไปชมการรักษาของนางอย่างไร ถึงต่อให้นางรู้นางก็ไม่สนใจ เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงกำหนดไว้แล้วว่ามีเพียงห้าคนเท่านั้น นางไม่มีอำนาจมากพอที่จะเปลี่ยนแปลง
พรุ่งนี้เป็นวันที่ต้องทำการผ่าตัด ช่วงบ่ายเฟิ่งชิงเฉินหมกตัวอยู่ในกระท่อมเล็ก นางไม่ได้กำลังเตรียมการผ่าตัด แต่กำลังทำการตรวจสอบ
เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนที่รอให้ไฟลนก้นแล้วค่อยจัดการกับปัญหา ในตอนที่ตัดสินใจทำการผ่าตัดให้กับหยุนเซียว เฟิ่งชิงเฉินก็ค่อย ๆ เริ่มจัดเตรียมความพร้อม ดังนั้นอุปกรณ์และยาที่ต้องใช้จึงถูกจัดเตรียมไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เวลานี้เป็นเพียงแค่การตรวจสอบความพร้อมก่อนการผ่าตัด
การผ่าตัดเนื้องอกในสมองไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฟิ่งชิงเฉิน ก่อนที่จะเข้าไปในสนามรบ ปกติแล้วนางจะทำการผ่าตัดทุก ๆ สามวัน ส่วนเวลาซึ่งว่างเว้นจากการผ่าตัด ส่วนใหญ่ของนางก็ยังเกี่ยวข้องกับการผ่าตัดอยู่ดี
ด้วยสภาวะซึ่งขาดแคลนหมอ ทำให้หมอหนึ่งคนต้องรักษาผู้ป่วยจำนวนมาก อาจจะมาถึงหลายสิบคน นี่เป็นกฎเกณฑ์ตายตัวที่เหมือนกันในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะหมอที่มีชื่อเสียงอย่างนาง จำเป็นต้องยุ่งมากกว่าปกติ
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเข้าถึงหมอที่มีชื่อเสียงได้ และหมอที่ไร้ชื่อเสียงก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปรับการรักษาเช่นกัน และนางซึ่งเป็นหมอที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ประกอบกับเป็นหมอที่ไม่มีผู้ชักจูงอยู่เบื้องหลัง โอกาสที่จะถูกเชิญไปรักษาจึงมีมากกว่าปกติ เจ้าหน้าที่ซึ่งพอมีอิทธิพลทุกคนสามารถกดดันโรงพยาบาลเพื่อให้นางไปทำการผ่าตัดได้
สถิติสูงสุดในการผ่าตัดของนางคือห้าครั้งต่อสัปดาห์ หากไม่ใช่เพราะนางล้มลงในห้องทำงานเพราะอาการเหนื่อยล้า ไม่แน่ว่านางอาจจะต้องผ่าตัดครั้งที่หก
สำหรับหมอ โดยเฉพาะหมอที่มีชื่อเสียงไม่มากพอ มันไม่ได้งดงามอย่างที่ทุกคนคิด พวกเขาจะต้องเผชิญกับหยาดเหงื่อและน้ำตา
เมื่อตรวจสอบความพร้อมเรียบร้อย เฟิ่งชิงเฉินติดตั้งอุปกรณ์ฉุกเฉินที่จำเป็น จากนั้นนางก็นั่งอยู่ในกระท่อมไม้ครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้ใดมารบกวน นางถึงเดินออกไป
การผ่าตัดบางครั้งอาจเป็นไปด้วยความรีบร้อน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่เอื้ออำนวย เฟิ่งชิงเฉินหวังว่าตนเองจะได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ แต่เดินออกไปยังไม่ทันได้สองก้าว นางก็พบกับหยุนเซียวที่กำลังรอนางอยู่
“มาคุยกันหน่อยได้หรือไม่?” ภายใต้แสงจันทร์ หยุนเซียวสวมชุดสีดำ ดูไม่ธรรมดา แต่เยือกเย็นเป็นอย่างมาก
“ไปกันเถอะ” เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าหยุนเซียวนั้นไม่สบายใจ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจรับหน้าที่เป็นพี่สาวคนสนิท รับฟังความในใจของหยุนเซียว
ในจวนเฟิ่งมีสถานที่งดงามอยู่ไม่มากนัก ทั้งสองคนเดินออกไปสองสามก้าว มาถึงศาลาแห่งหนึ่ง สั่งให้คนรับใช้จุดเทียนและชงชามาให้
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ปลอบใจหยุนเซียว นางรู้ว่าหยุนเซียวไม่ได้ต้องการคำปลอบใจจากนาง แค่พูดคุยกันเรื่องทั่วไป พูดคุยเกี่ยวกับโรคที่นางเคยรักษา พูดคุยกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องแต่ทำให้ผ่อนคลาย
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้มีคารมคมคายที่ดี แต่เป็นคนที่เอาชนะอีกฝ่ายด้วยคำพูดที่ตรงไปตรงมา เมื่อพูดคุยกันไปครู่หนึ่งหยุนเซียวก็รู้สึกผ่อนคลาย มองหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน หยุนเซียวถามออกมาว่า “เหตุใดเจ้าจึงอยากเป็นหมอ เป็นหมอนั้นยากลำบากเป็นไหน ๆ”
ก็จริงอยู่พอจะมีหมอผู้หญิงอยู่บ้าง แต่หมอผู้หญิงนั้นมีข้อจำกัดมากมาย ส่วนใหญ่ผู้ป่วยก็จะเป็นผู้หญิง และไม่เคยมีหมอหญิงที่รักษาอาการบาดเจ็บภายนอกและโรคที่ซับซ้อนเฉกเช่นเฟิ่งชิงเฉินมาก่อน
“หากข้าบอกว่าเพื่อเงิน เจ้าจะเชื่อหรือไม่?” เฟิ่งชิงเฉินยกถ้วยชาขึ้น หันหน้าไปทางหยุนเซียว
ที่นางเลือกเรียนหมอตั้งแต่ตอนแรกนั้นไม่ใช่เพราะว่านางชอบหรืออยากเป็นนางฟ้าในชุดครุยสีขาวเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการเข้าถึงจำนวนมาก หรือช่วยรักษาคนรอบตัวนาง และเป็นเพราะทุกคนบอกว่าเป็นหมอจะได้เงินเยอะ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจเรียนหมอ
ไม่มีเด็กกำพร้าคนไหนที่ไม่ขาดแคลนเงิน นางไม่มีเงินตั้งแต่เด็ก ดังนั้นนางจึงเข้าใจว่าเงินนั้นสำคัญแค่ไหน ในตอนที่เลือกวิชาเรียนในมหาลัย นางจึงเลือกวิชาเองที่ทุกคนบอกว่าได้เงินมากที่สุด
ส่วนเรื่องความสนใจ? ต้องขอโทษด้วย สิ่งที่ดูมีจิตวิญญาณเช่นนั้น นางไม่มีอำนาจมากพอจะใฝ่หา หากต้องการความมั่งคั่งทางจิตวิญญาณ จำเป็นต้องมีปัจจัยพื้นฐานก่อน นางที่ไม่มีแม้แต่อาหารและเสื้อผ้าจะไปคิดถึงเรื่องพวกนั้นได้อย่างไร
คิดถึงคำพูดของพวกหมอหลวงก่อนหน้านี้ ค่ารักษาของเฟิ่งชิงเฉินนั้นสูงเกินไป พวกเขาจ่ายไม่ไหว หยุนเซียวพยักหน้า “เชื่อ”
เฟิ่งชิงเฉินจะต้องเป็นหมอเพื่อหวังเงินจำนวนมากอย่างไม่ต้องสงสัย นางไม่มีหัวใจเมตตาของหมออยู่เลยแม้แต่น้อย แต่จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ในตอนที่เกิดภัยพิบัติหิมะ นางออกไปช่วยรักษาผู้ประสบภัยโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนแต่อย่างใด
หยุนเซียวส่ายหน้า ไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ และนึกถึงหัวข้อที่เฟิ่งชิงเฉินเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อครู่ ทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับการแพทย์ ดังนั้นเขาจึงถามออกมาว่า “ชิงเฉิน นอกจากความสามารถทางการรักษา เจ้ายังมีเรื่องอื่นที่ชอบหรือเรื่องที่อยากทำอยู่หรือไม่?”
มีข่าวลือว่าเฟิ่งชิงเฉินมีความสามารถรอบด้าน แต่หลังจากคลุกคลีกับเฟิ่งชิงเฉินเป็นเวลานาน เขาพบว่านางนั้นไม่ได้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นอะไร ต่อให้มีมันก็เกี่ยวข้องกับการรักษา
“มิรู้เหมือนกัน ข้ามิเคยคิดมาก่อนว่าข้าชอบอะไร ตั้งแต่วันที่ข้าเกิดมา ข้าแค่คิดว่าทำอย่างไรถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ทำอย่างไรถึงจะมีชีวิตที่ดีขึ้น” ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือตอนนี้ ชีวิตของเฟิ่งชิงเฉินพบเจอแต่ความยากลำบาก เวลานี้นางคุ้นชินกับมันแล้ว
มีชีวิตอยู่ต่อไป มีชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับนางแล้ว เรื่องพวกนี้สำคัญกว่าสิ่งใด แต่นางก็ยังรู้สึกปวดใจไม่ได้ เฟิ่งชิงเฉินเลิกคิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ วางถ้วยชาลง ยิ้มและถามหยุนเซียว “อย่ามัวแต่พูดเรื่องของข้าเลย ถูกถึงเจ้าบ้างเถิด เจ้าล่ะ? คุณชายแห่งตระกูลหยุน เจ้าชอบสิ่งใดหรือว่าคิดอยากจะทำอะไร?”
“ข้า?” หยุนเซียวชี้มาที่จมูกของตัวเอง เอียงศีรษะเล็กน้อย และพูดด้วยท่าทางคิดถึง “ตอนเด็กข้าอยากเป็นวีรบุรุษ กำจัดคนชั่วทั้งใต้หล้า หลังจากนั้นก็อยากเป็นขุนนางระดับสูง กำจัดขุนนางทุจริตให้หมดไป จากนั้นก็จะกลายเป็นคุณชายแห่งตระกูลหยุนเต็มตัว เป็นผู้นำของตระกูลหยุน ส่วนเวลานี้? ข้าก็เหมือนกับเจ้า ขอแค่มีชีวิตที่ดีต่อไปก็เพียงพอ”
“ข้าก็นึกว่าเวลานี้เจ้าอาจจะมีความฝันอันยิ่งใหญ่ แต่ที่ไหนได้ เจ้าก็เหมือนกับผู้หญิงตัวน้อย ๆ ผู้นี้” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มและหัวเราะออกมา ความหดหู่ในใจของนางสลายไป
อุดมการณ์ ความสนใจคืออะไร เหตุใดต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อความอยู่รอด ขอแค่มีชีวิตอยู่ต่อไปได้เท่านั้นก็ดีแค่ไหนแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มด้วยรอยยิ้มที่โน้มน้าว หัวใจของหยุนเซียวรู้สึกผ่อนคลายไปตามนาง เขาหัวเราะโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ “ข้าเองก็เป็นคนทั่วไป ความคิดของข้าย่อมต้องเหมือนกับคนทั่วไปเป็นเรื่องธรรมดา”
“ใช่ ก็จริง ข้าผิดไปแล้ว เจ้า คุณชายหยุนเองก็เป็นคนธรรมดา ข้าไม่สามารถปฏิบัติต่อเจ้าแบบสองมาตรฐานได้” เฟิ่งชิงเฉินยืนขึ้นและโค้งคำนับอย่างร่วมมือ
ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง เมื่อนึกถึงความสำคัญของวันพรุ่งนี้ แม้หยุนเซียวยังมีเรื่องมากมายที่อยากคุย แต่เฟิ่งชิงเฉินก็บอกให้เขารีบไปพักผ่อน
ต่อให้หยุนเซียวไม่อยากพักผ่อน นางเองก็ต้องไปพักผ่อน
“ชิงเฉิน ขอบใจเจ้ามาก” ก่อนจากไป หยุนเซียวหันมากล่าวขอบคุณเฟิ่งชิงเฉินอย่างหนักแน่น
เขากลัวว่าหากวันนี้ไม่พูดออกไป หลังจากนี้เขาอาจจะไม่มีโอกาสได้พูดมัน เขาได้ลงนามในสัญญาการรักษาแล้ว จะเป็นหรือตายก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง วันพรุ่งนี้อาจเป็นวันที่ชีวิตของเขาต้องจบลงก็เป็นได้
“มิเป็นไร หากต้องการขอบคุณ รอให้ผ่านพรุ่งนี้ไปแล้วค่อยกล่าวก็ยังมิสาย” เฟิ่งชิงเฉินโบกมือให้หยุนเซียว จากนั้นก็เดินจากไป
ต้องบอกเลยว่า ท่าทางผ่อนคลายของเฟิ่งชิงเฉินนั้นทำให้ความกังวลในใจของหยุนเซียวสบายไป
เฟิ่งชิงเฉินไม่กังวล แล้วเขาจะต้องกังวลอะไร พรุ่งนี้มีคนมากมายมาดู เขาแค่นอนนิ่งอยู่เฉย ๆ ก็พอแล้ว แต่คนที่ทำการรักษาคือเฟิ่งชิงเฉิน หากถามว่าใครควรกังวลมากที่สุด ข้าคิดว่าคงจะเป็นทางด้านของเฟิ่งชิงเฉินเสียมากกว่า
เฟิ่งชิงเฉินไม่มีความตื่นตระหนกอยู่เลยแม้แต่น้อย แล้วเขาจะตื่นตระหนกไปเพื่ออะไร ใช่แล้ว……ไปอาบน้ำดีกว่า ทุกอย่างรอให้ผ่านพรุ่งนี้ไปแล้วค่อยว่ากัน ขอแค่เขายังมีวันพรุ่งนี้อยู่ก็พอ
แม้เฟิ่งชิงเฉินจะไม่เคยพูดปลอบโยนเขาหรือทำให้หยุนเซียวสบายใจเลยแม้แต่คำเดียว แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับน่าประหลาดใจ เวลานี้หยุนเซียวรู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
สำหรับผลลัพธ์ดังกล่าว เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก กลับมาถึงห้องของตนเอง ถอดเสื้อผ้าไปอาบน้ำ จากนั้นก็รีบเข้านอน มันเป็นคืนที่หลับสบายโดยปราศจากความฝัน แต่นางกลับถูกปลุกขึ้นมาในตอนเช้าตรู่……