นางสนมแพทย์อัจฉริยะ 949 หมากรุก ข้าหาทางออกได้
เรื่องของพระราชวงศ์ เป็นเพียงแค่เรื่องเล็ก ๆ ง่าย ๆ เรื่องหนึ่ง ทั้งยังสามารถดึงเอาแผนการชั่วร้ายออกมาได้อย่างน่าตกใจ ทำให้คนหายเข้าไปในเมฆหมอกได้ ทำให้คนที่ดูไม่เข้าใจก็ไม่ได้อยากเข้าใจ เช่นเรื่องไฟไหม้โรงเลี้ยงสัตว์หลวง เช่นเรื่องการประลองฝีมือของเฟิ่งชิงเฉินกับตระกูลซู
เรื่องไฟไหม้ที่โรงเลี้ยงสัตว์หลวงถูกตัดสินคดีไปแล้ว ส่วนเรื่องการประลองฝีมือระหว่างเฟิ่งชิงเฉินและตระกูลซูก็ถูกยกขึ้นมาเป็นวาระการประชุม เนื่องจากการประลองขี่ม้าเกิดปัญหาไฟไหม้ขึ้น ตระกูลซูจึงต้องการให้จัดการประลองขึ้นใหม่อีกครั้ง ทำให้เสด็จอาเก้าปฏิเสธกลับอย่างรุนแรง
เฟิ่งชิงเฉินได้รับบาดเจ็บจากการถูกไฟคลอก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รุนแรงเท่าซูโหยว แต่แขนกับขาทั้งสองกลับได้รับบาดเจ็บจากไฟไหม้อย่างมาก จึงทำให้ไม่สามารถขี่ม้าได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆนี้
ตระกูลซูไม่ได้เข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ เพียงแต่พูดขึ้นมาหนึ่งประโยคที่ทำให้เสด็จอาเก้าหลุดขำออกมาอย่างเย็นชา ทั้งที่จริงแล้วจะไม่ยินยอมด้วยซ้ำ เหตุผลคือ สถานการณ์ในตอนนั้นคนส่วนใหญ่ต่างก็เข้าใจดีแล้วว่าคนแรกที่ขึ้นสะพานและลงสะพานคือเฟิ่งชิงเฉิน ซูโหยวไม่มีโอกาสเอาชนะเลยด้วยซ้ำ ในประโยตนี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามคือเฟิ่งชิงเฉินต้องเป็นผู้ชนะ
ตระกูลซูถูกเสด็จอาเก้าบีบบังคับอย่างไม่มีทางไป นอกจากนี้คำพูดที่สเด็จอาเก้าเคยกล่าวไว้ในสถานการณ์ตอนนั้น คนตระกูลซูไม่มีทางที่จะกลับตาลปัตรจากดำเป็นขาวได้ ทำได้เพียงแค่กัดฟันยอมรับไป แต่สามารถหันกลับมามีความเห็นต่างเรื่องการประลองหมากรุกได้ ทั้งกล่าวว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังล้อเล่นกับตระกูลซู ใช้การแข่งขันหมากรุกที่แก้ไม่ได้มาให้ตระกูลซู และต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินขอโทษ
เสด็จอาเก้าไม่ยอมรับอย่างแน่นอน เรื่องที่ตระกูลซูต้องการให้เสโจอาเก้าแก้ไขกระดาน เสด็จอาเก้ากล่าวออกมาอย่างหยิ่งยโสเป็นอย่างยิ่งว่า “การแข่งขันหมากรุกเหมือนกับเด็กเล่นสมกับปล่อยให้ข้าลงมือ เหอะ”
ต่อจากนี้ให้คนตระกูลซูกระตุ้นอย่างโหดเหี้ยม แต่สามารถเผชิญหน้ากับเสด็จอาเก้าในตำแหน่งที่สูงได้ เดิมที่คนตระกูลซูไม่กล้าที่จะเรียกร้องอย่างแข็งแกร่ง จึงทำได้เพียงถอนลมหายใจออกเท่านั้น
เดิมทีจักรพรรดิเองก็ไม่ได้อยากให้ความสนใจ แต่ตระกูลซูก็ได้พบกับผู้สูงสํกดิ์จำนวนไม่น้อยที่จะทำลายการแข่งขันหมากรุก ภายใต้การยุยงปลุกปั่นของตระกูลซู เสียงของคนเหล่านี้ไม่น้อยเลย จักรพรรดิเองก็ยินยอมให้เฟิ่งชิงเฉินเข้ามาแก้ไข
ถึงแม้ว่าเสด็จอาเก้าจะไม่ได้พอใจกับตระกูลซู แต่ก็ไม่ได้คัดค้านคำพูดของจักรพรรดิ ท้ายที่สุดคำขอร้องของตระกูลซูก็สมเหตุสมผล
ในเวลาครึ่งเดือนนี้ หยุนเซียวพักฟื้นจนเกือบหายดีแล้ว ถึงแม้ว่าร่างกายจะยังอ่อนแอมาก แต่เขาก็ไม่อยากจะเป็นหนูทดลองของปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีที่จวนเฟิ่งต่อ เขาพร้อมที่จะกลับไปพักฟื้นที่บ้านแล้ว
ทันทีที่ลงจากเตียงผู้ป่วย หยุนเซียวรู้สึกตื่นเต้น เพราะเขารู้ว่าต่อจากนี้ไป จะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับโรคทางสมอง และไม่ต้องกังวลว่าเขาจะตายเมื่อใดก็ได้ และทั้งหมดนี้เป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินคือบุคคลที่มีคุณค่าสำหรับตระกูลหยุน และเป็นคนที่มีคุณค่าสำหรับเขา
ก่อนที่หยุนเซียวจะออกไป เขาตั้งใจอำลาเฟิ่งชิงเฉินที่กำลังนอน “พักฟื้น” อยู่บนเตียงผู้ป่วย หยุนเซียวไม่ได้เอ่ยคำว่าขอบคุณออกมา และไม่ได้น้ำตาไหลเต็มใบหน้า เขารู้สึกตื่นเต้นจนแทบจะไม่ไหว เขาเพียงแค่พูดกับเฟิ่งชิงเฉินว่า “มาเถิด น้องชิงเฉิน เรียกพี่เซียวให้ได้ยินสักครั้ง หลังจากนี้เจ้าคือคุณหนูตระกูลหยุนแล้ว หากว่าใครรังแกเจ้า บอกพี่ พี่จะช่วยเจ้าสั่งสอนมันเอง”
เห็นได้ชัดว่าหยุนเซียวเป็นสุภาพบุรุษที่อ่อนโยน แต่คำที่เขาเอ่ยออกมามันกลับยังไม่เหมาะสมกับเวลา เพราะเฟิ่งชิงเฉินยังไม่สามารถร้องไห้หรือหัวเราะได้ เพียงแค่เตรียมจะอ้าปาก เสด็จอาเก้าที่ยืนอยู่หน้าประตูเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาเพียงคำเดียวว่า “ไสหัวไป!”
“เสด็จอาเก้า?” หยุนเซียวสะดุ้งโหยง เลิกท่าทีเอ้อระเหยลอยชายทันที ในใจคิดว่าเสด็จอาเก้ามาได้ประจวบเหมาะกับเวลาพอดี
เสด็จอาเก้ากวาดตามองหยุนเซียวอย่างเย็นชา ทำให้หยุนเซียวรู้สึกว่าไม่รู้จะเอามือไปวางไว้ตรงไหน จากนั้นจึงมองไปทางอื่นอย่างเต็มใจก่อนจะเดินไปข้างกายของเฟิ่งชิงเฉิน “พรุ่งนี้เจ้าก็จะหายดีแล้ว”
ถึงแม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะพูดว่าได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ถูกไฟไหม้เพียงแค่มือกับเท้าเท่านั้น ไม่มีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวใด ๆ นอนพักสักครึ่งเดือนก็เพียงพอแล้ว
“ในที่สุดก็หลุดพ้นแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินตอบสนองอย่างรวดเร็ว และในขณะเดียวกันก็มองไปที่หโดยบอกให้ยุนเซียวเพื่อบอกให้เขาออกไปก่อน
แม้ว่าหยุนเซียวอยากจะโบกมือให้น้องเขยอย่างจริงใจต่อหน้าเสด็จอาเก้า แต่ด้วยบรรยากาศเยือกเย็นที่แผ่ออกมารอบตัวเสด็จอาเก้า จึงทำได้เพียงแค่เดินเข้าไปลูบจมูกเบา ๆ แล้วเดินออกไปอย่างว่าง่าย
สักวันไม่ช้าก็เร็วมันจะตกอยู่ในเงื้อมมือเขา รอเพียงแค่เสด็จอาเก้ามาของร้องเขาเท่านั้นเอง
หลังจากที่หยุนเซียวออกไปแล้ว ภายในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบขึ้นมา เฟิ่งชิงเฉินมองเสโจอาเก้าด้วยความไม่สบายใจ และจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “เป็นอย่างไรไป”
“มีเรื่องเล็กน้อย เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป เรื่องการแข่งขันหมากรุกของเจ้าที่ตระกูลซูกล่าวกับผู้อื่นเป็นเรื่องเท็จ เขากล่าวว่าเจ้ากำลังล้อเล่นกับจระกูลซู หากว่าไม่มีเหตุสุดวิสัย สามวันหลังจากนั้นจักรพรรดิจะประกาให้เจ้าเข้าไปในวัง” เสด็จอาเก้าไม่ได้กังวลใจว่าเฟิ่งชิงเฉินจะแพ้ในการแข่งขันหมากรุก
ความสามารถด้านหมากรุกของเฟิ่งชิงเฉินนั้น เจ้าเลห์มาก ทักษะด้านหมากรุกของนางถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเข้าใจแต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่สามารถ เสด็จอาเก้าเพียงแค่กลัวว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมองไม่ออกซะเอง
“หมากรุก? ตระกูลซูช่างวุ่นวายกับเรื่องนี้เสียจริง ซูโหยวก็เป็นอีกคนที่แปลก” ตระกูลซูมีเหตุมีผลอย่างมากที่จะพูด ไม่ใช่เพียงเพราะว่าซูโหยวใช้ทักษะการสะกดจิตเพื่อรับ “ข่าว” มาจากนาง
ในตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าตัวเองต้องขอบคุณไฟไหม้ใหญ่ครั้งนั้นหรือไม่ หรือว่าต้องขอบคุณระกูลซูกันแน่ ที่ทำให้นางได้มีโอกาสเผยความบริสุทธิ์ของหน้าตาตระกูลซู
“มีความสัมพันธ์ใดกับซูโหยวกันรึ” ในตอนนี้ซูโหยวก็ยังไม่ฟื้น เสด็จอาเก้าไม่คิดว่าซูโหยวจะสามารถก่อเรื่องขึ้นมาได้
เฟิ่งชิงเฉินสะกดจิตซูโหยว ให้นางพูดข่าวนั่นออกมาจากปาก อธิบายเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นมา เมื่อฟังถึงตอนนี้เสด็จอาเก้าจึงเข้าใจว่า นึกไม่ถึงเลยว่าเฟิ่งชิงเฉินจะซ่อนตัวอยู่ในตระกูลซูเร็วขนาดนั้น
“เจ้านะ ช่างดื้อดึงเสียจริง” เสด็จอาเก้ามองเฟิ่งชิงเฉินด้วยความรู้สึกที่ดี สีหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมาได้ง่าย
“ที่ไหนกัน….” เฟิ่งชิงเฉินบ่นออกมาอย่างไม่ยอม “เห็นได้ชัดว่าตระกูลซูเป็นพวกชอบเอาเปรียบเกินไป ข้าก็แค่ตอบโต้กลับไปเท่านั้น”
เสด็จอาเก้าเอ่ยขึ้นทั้งหัวเราะว่า “ตระกูลซูควรได้รับบทเรียนจริงๆ เกรงว่าตระกูลซูจะคิดว่าพวกเขาสามารถแซงหน้าผู้หญิงเพียงไม่กี่คนได้”
เสด็จอาเก้าดูถูกพฤติกรรมของตระกูลซูในการขายลูกสาว ลูกสาวสามารถใช้ในการแต่งงานได้ แต่การพึ่งพาผู้หญิงสุ่มสี่สุ่มห้าเพื่อขยายอำนาจของพวกเขานั้นไม่ก้าวหน้าเกินไป ตระกูลซูไม่มีความละอาย แต่กลับภูมิใจ
“อย่าประมาทตระกูลซู ลูกสาวของตระกูลซูนั้นไม่ง่ายเลย ไม่เพียงแค่สามารถเอาชนะจักรพรรดิแห่งหนานหลิงได้ แต่ยังมีที่นั่งในวังหลังแห่งเป่ยหลิง บ้านของภรรยาเย่เย่ก็เป็นตระกูลซูเช่นกัน” เฟิ่งชิงเฉินไม่กล้าที่จะประเมินตระกูลซูต่ำไป เนื่องจากตระกูลซูนั้นทรงพลังจริงๆ และพลังเหล่านี้ล้วนมาจากลูกสาวของตระกูลซู
“ตงหลิงกำลังจะมีนางสนมซู เจ้าพูดถูก ลูกสาวของตระกูลซูนั้นไม่ง่ายเลย ” เสด็จอาเก้าคิดถึงข้อตกลงระหว่างจักรพรรดิกับตระกูลซู และไม่รู้ว่าจะโอ้อวดความสามารถของจักรพรรดิหรือโอ้อวดโง่เขลาดี
เรื่องไฟไหม้โรงเลี้ยงสัตว์หลวง ทำให้ซูโหยวได้รับบาดเจ็บสาหัส เขายังพานางสนมสองสามคนออกมาด้วย และใครก็ตามที่มีสายตาเฉียบแหลมสามารถบอกได้ว่าต้องมีเงาของผู้หญิงที่วังหลังในเรื่องนี้
ผู้หญิงวังหลังต่างก็อยากรู้กลอุบายของผู้หญิงตระกูลซู เพราะกลัวว่าจักรพรรดิจะได้นางสนมคนโปรดไป ก่อนที่จะลงมือ
ไม่ง่ายเลยที่จะกำจัดซูโหยวคนเดียว ในที่สุดจักรพรรดิก็ตกลงกับตระกูลซูเพื่อส่งลูกสาวอีกคนเข้าวัง ทั้งที่จริงแล้ว … แม้ว่าจักรพรรดิจะไม่กลัวความวุ่นวายภายในวังหลัง เขาก็ควรคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลซู หนานหลิง และเป่ยหลิงให้มาคบค้าสมาคมกัน
เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจก่อนจะกล่าวออกมาหนึ่งประโยค “ข้าหวังว่านางสนมซูในอนาคตคนนี้จะคู่ควรกับการเสียสละของซูหว่านและซูโหยว”
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องกังวลใจ เรื่องสตรีเหล่านั้นในวังหลัง เจ้าอย่าเข้าไปยุ่งเลย ข้าเองก็คาดว่าวังหลังคงวุ่นวายน่าดู” เสด็จอาเก้ายืนขึ้นมา แล้วตบลงบนหัวของเฟิ่งชิงเฉินเบา ๆ
ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินกลายเป็นเฉียบคมขึ้นมาในทันที เผชิญหน้ากับดวงตาที่ลึกล้ำของเสด็จอาเก้า ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเคร่งขรึมพร้อมทั้งเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
สตรีในวังหลังต้องการที่จะเอาชนะนาง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องการที่จะกำจัดนางด้วยไฟในโรงเลี้ยงสัตว์หลวง โดยไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ซูโหยวเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนางอีกด้วย
“อย่าคิดมากไป ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าหาทางออกได้ เจ้าพักผ่อนให้ดีเถิด ข้าไม่มีเรื่องใดแล้ว”
เสด็จอาเก้ามาที่จวนเฟิ่งไม่ใช่เพื่อตามหาเฟิ่งชิงเฉิน แต่มาเพื่ออังเอิญพบกับซีหลิงเทียนอวี่ที่มา “เยี่ยม” เฟิ่งชิงเฉิน ไม่รู้ว่าที่ซีหลิงเทียนอวี่เกิดอะไรขึ้น ดังนั้นเขาจึงส่งคนไปบอกว่าต้องการพบเขาอย่างเร่งด่วน……