นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 952 รับความพ่ายแพ้ ขึ้นอยู่กับการเสแสร้ง
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจักรพรรดิจึงไม่ปรากฏตัวออกมา เหล่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักเองก็ไม่ปรากฏตัวออกมาเช่นกัน วันนี้หน้าที่ของผู้รับผิดชอบโดยรวมจึงตกเป็นของเสด็จอาเก้า
เฟิ่งชิงเฉินก้าวไปนั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งอยู่ด้านหน้า กล่าวออกมาด้วยความรู้สึกเสียใจ “ร่างกายของชิงเฉินบาดเจ็บ ไม่สามารถลุกขึ้นทำความเคารพได้ ขอเสด็จอาเก้าได้โปรดอย่าถือโทษ”
“ไม่เป็นไร” เสด็จอาเก้าไม่เคยทำให้เฟิ่งชิงเฉินต้องลำบากใจ ก็เห็นอยู่ว่าเฟิ่งชิงเฉินนั้นแสร้งแสดงออกมาเช่นนั้น เสด็จอาเก้าก็เล่นไปตามน้ำ สั่งให้คนไปนำผ้าห่มมาหนึ่งผืน คลุมขาของเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ จากนั้นก็กล่าวออกมา “อากาศหนาว อย่าปล่อยให้ตนเองเป็นหวัด เมื่อถึงเวลา คนของตระกูลซูอาจคิดว่าพวกเราตงหลิงรังแกพวกเขามากเกินไป”
เสด็จอาเก้าไม่ได้ซ่อนความเกลียดชังที่มีต่อตระกูลซูเลยแม้แต่น้อย แม้คนของตระกูลซูจะไม่พอใจ แต่ต่อหน้าใบหน้าอันเยือกเย็นของเสด็จอาเก้า พวกเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ทำได้เพียงระงับความไม่พอใจ และปลอบใจตนเองว่า:อย่างไรเสียเฟิ่งชิงเฉินก็คงดีใจได้อีกไม่นาน หากถูกทำลายด้วยหมากของตนเอง ชื่อเสียงของนางจะพังพินาศ
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มตอบรับความหวังดีของเสด็จอาเก้า การยิ้มและพยักหน้าให้เสด็จอาเก้าของนางอยู่ในท่วงท่าที่เป็นทางการ เมื่อถึงเวลากล่าวเริ่มงาน คุณชายหยวนซีก็กล่าวออกมาว่า “ชิงเฉิน พวกเราก็ถือว่าเป็นคนคุ้นเคย มา ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักสักเล็กน้อย……”
พูดจบเขาก็แนะนำคนที่อยู่ข้างกายของเขาให้เฟิ่งชิงเฉินรู้จัก คนพวกนี้ล้วนมาจากสำนักศึกษาจี้เซี่ย ไม่เกี่ยวข้องกับตงหลิงแต่อย่างใด แต่ละคนเป็นบัณฑิตที่มีชื่อเสียง เฟิ่งชิงเฉินยิ้มทักทายทีละคน แต่ก็ไม่ได้กระตือรือร้นหรือถือตัวจนมากเกิน
ทัศนคติของเฟิ่งชิงเฉินเป็นที่น่าพอใจสำหรับบัณฑิตเหล่านั้น ประกอบกับใบหน้าของคุณชายหยวนซี พวกเขาก็ไม่กล้าเพิกเฉยต่อเฟิ่งชิงเฉิน พูดคุยกับเฟิ่งชิงเฉินคนละสองสามประโยค และปล่อยคนของตระกูลซูไว้อย่างเย็นชา
พูดไปพูดมา บัณฑิตผู้มากความรู้เหล่านี้ต่างดูถูกตระกูลซูแห่งหนานหลิง เมื่อเทียบกับพวกนั้นแล้ว พวกเขายินดีที่จะสานสัมพันธ์กับเฟิ่งชิงเฉินมากกว่า ในสายตาของพวกเขา เฟิ่งชิงเฉินมีเกียรติมากกว่าตระกูลซูแห่งหนานหลิงมากมาย
หลังจากเฟิ่งชิงเฉินทักทายกับทุกคนเป็นอันเรียบร้อย เวลาก็ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง คนของตระกูลซูเริ่มนั่งไม่ติด เสด็จอาเก้ายิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น จึงเอ่ยปากขึ้นมาขัดจังหวะ ให้รีบไปจัดการเรื่องของหมากกระดานให้เรียบร้อย
ในที่สุดคนของตระกูลซูก็คว้าสิทธิ์ในการพูดกลับมาได้ เขารีบกล่าวอย่างกระตือรือร้น “แม่นางเฟิ่ง การแข่งขันระหว่างตระกูลซูของข้ากับเจ้าได้สิ้นสุดลงแล้ว พวกเรายอมรับผลการแข่งขันทั้งหมด ยกเว้นหมากกระดานนี้”
“หมากกระดานนี้เป็นอย่างไรงั้นหรือ? หากข้าจำไม่ผิด ตอนนั้นข้าเอาชนะคุณหนูซูหว่านไปแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินจงใจกล่าวออกมาให้ทุกคนได้รับรู้ แม้ว่านางจะไม่สามารถแก้ไขหมากกระดานนี้ได้ แต่อย่างน้อยนางก็เป็นผู้ชนะ
ใบหน้าของคนตระกูลซูซีดขาว จากนั้นก็เยือกเย็นลงไปอย่างรวดเร็ว “แม่นางเฟิ่ง ทักษะการเล่นหมากรุกของเจ้านั้นช่างสูงส่ง ตระกูลซูของพวกเรานั้นไม่อาจสู้ได้ หมากที่เจ้าวางลงมา ตระกูลซูของพวกข้าไม่อาจทำลายมันได้ หมากกระดานนี้พวกข้าขอยอมแพ้”
“ท่านปู่ซูกล่าวเกินไป ไม่มีคำว่ายอมแพ้ เวลานั้นข้าตกลงกับคุณหนูซูหว่านไว้ว่า หากตระกูลซูสามารถทำลายหมากกระดานนี้ได้ ตระกูลซูก็จะเป็นฝ่ายชนะ แต่หากทำลายไม่ได้ ผลที่ออกมาก็คือเสมอ ในเมื่อพวกเจ้าไม่สามารถทำลายหมากกระดานนี้ได้ ผลของหมากกระดานนี้ก็คือเสมอ” เฟิ่งชิงเฉินรู้ดี หลานจิ่วชิงเดิมพันว่านางจะเป็นผู้ชนะของหมากกระดานนี้ หากนางกล่าวออกไปว่านางเป็นฝ่ายชนะ ซูเหวินชิงจะต้องฆ่านางแน่ นั่นเป็นจำนวนเงินถึงสองล้านตำลึง เมื่อเทียบกับผลแพ้ชนะดังกล่าวมันก็แทบไม่มีค่าอะไรเลย
“ไม่ ไม่ ไม่ได้ จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ทักษะทางด้านหมากกระดานของแม่นางเฟิ่งสูงส่งถึงเพียงนี้ พวกข้ายินดีที่จะยอมรับความพ่ายแพ้” ตระกูลซูถอยเพื่อรุกหน้า ทัศนคตินี้ของพวกเขาทำให้หลายคนรู้สึกชื่นชม
เนื่องจากการรู้จักยอมรับความพ่ายแพ้เป็นคุณสมบัติของวีรบุรุษ
ตระกูลซูทำเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาสมความปรารถนา ผลจะเสมอหรือชนะนั้นไม่สำคัญ แม้ตระกูลซูจะยอมรับความพ่ายแพ้ แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาพ่ายแพ้อย่างมีเกียรติ
“ท่านปู่ซู ท่านกล่าวเกินไปแล้ว สุภาพบุรุษให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ เวลานั้นข้าทำสัญญากับแม่นางซูหว่านไว้แล้ว ดังนั้นจึงต้องปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้ จะแพ้หรือชนะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เรื่องนี้ท่านปู่ซูไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง หมากกระดานนี้พวกเราเสมอกัน” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวอย่างใจเย็น และความใจกว้างในดวงตาของนางทำให้ทุกคนเข้าใจว่านางไม่สนใจเกี่ยวกับการชนะหรือแพ้ในรอบนี้จริง ๆ
ในความจริงมันก็เป็นเช่นนั้น เฟิ่งชิงเฉินจัดการกับตระกูลซูอย่างสิ้นซาก หมากกระดานนี้ให้ผลออกมาเสมอกับตระกูลซู มันก็เป็นการแสดงออกถึงความมีน้ำใจของนางเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าตระกูลซูยินดีที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ เฟิ่งชิงเฉินก็กัดฟันว่าจะให้ผลออกมาเป็นเสมอ แววตาของเหล่าบัณฑิตที่มองมายังเฟิ่งชิงเฉิน แสดงให้เห็นถึงความคิดที่บ่งบอกว่านางเป็นผู้มีเมตตา ไม่ใช่ประโยชน์จากใจของคน ทำให้เหล่าบัณฑิตเหล่านั้นรู้สึกชื่นชมนางเป็นอย่างมาก
ตระกูลซูและเฟิ่งชิงเฉินผลักกันไป ดันกันมา ในที่สุดเสด็จอาเก้าก็ต้องออกมาเป็นผู้ตัดสิน เสด็จอาเก้าสรุปว่าหมากกระดานนี้ทั้งสองฝ่ายเสมอกัน ตระกูลซูก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด เพียงแต่พวกเขายกกล่าวบางอย่างออกมา ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของเรื่องในวันนี้ “แม่นางเฟิ่ง ในเมื่อผลของหมากกระดานนี้เป็นผลเสมอ แต่หมากของแม่นางเฟิ่งยังไม่ถูกทำลาย แม่นางเฟิ่งช่วยทำลายหมากกระดานนี้เพื่อแก้ไขความสับสนในหัวใจของข้าได้หรือไม่”
“ในเมื่อผลออกมาแล้ว จะทำลายหรือไม่มันจะสำคัญอย่างไร?” เฟิ่งชิงเฉินถามกลับไปด้วยรอยยิ้มขี้เล่นที่ฉายแววในดวงตาของนาง
ตระกูลซูทำเรื่องเลวร้ายและคิดจะตั้งตนเป็นคนดี แม้ว่าเรื่องในวันนี้ เสด็จอาเก้าเองก็มีส่วนทำให้มันเกิดขึ้น แต่หากไม่มีแรงขับเคลื่อนจากตระกูลซู เรื่องราวทั้งหมดมันก็คงไม่กลายเป็นเช่นนี้
ตระกูลซูวางแผนจะทำลายชื่อเสียงของนาง กล่าวหาว่านางสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อทำให้ตระกูลซูต้องอับอาย เวลานี้นางไม่ได้พูดอะไรออกไปสักคำ ไม่ใช่ว่านางอยากตกเป็นผู้เสียหาย เพื่อให้คนเห็นใจพวกเขา เฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางทำให้พวกเขาได้สมความปรารถนา
เฟิ่งชิงเฉินมองไปยังท่านปู่ซูที่กำลังกล่าวโน้มน้าวทุกคน เฟิ่งชิงเฉินยิ้ม หันไปมองเสด็จอาเก้าและคุณชายหยวนซี จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้ ทงจือและทงเหยาพานางกลับ
นี่เฟิ่งชิงเฉินต้องการทำสิ่งใด? หรือเฟิ่งชิงเฉินจะไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันที่สำนักบัณฑิตมาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการแข่งขันเป็นพิเศษ แล้วเช่นนั้นจะเชิญผู้คนมากมายมาเพื่อสิ่งใดกัน?
ทุกคนตกตะลึง เห็นเงาหลังของเฟิ่งชิงเฉิน ทุกคนหันมามองหน้ากัน ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี
ขอบตาของเสด็จอาเก้ายกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นถึงรอยยิ้ม ชายหยวนซีเองก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี ในใจแอบคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเล่นถึงตายเลยงั้นหรือ คนของตระกูลซูต้องการผลประโยชน์และใบหน้าของพวกเขากลับคืนมา เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้
เป็นอย่างที่คิด เฟิ่งชิงเฉินเดินออกไปได้ไม่ถึงสิบเมตร คนของตระกูลซูก็นั่งไม่ติดและตะโกนออกมาว่า “แม่นางเฟิ่ง ได้โปรดหยุดก่อน”
“ทงจือ หยุดก่อน” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มเหมือนสุนัขจิ้งจอก ทงจือและทงเหยาอยู่ใกล้กับนางมาก จึงเห็นการแสดงออกของเฟิ่งชิงเฉินอย่างเต็มตา ทั้งสองคนหันมายิ้มให้กัน และรู้ว่ามีคนกำลังจะโชคร้าย
“ท่านปู่ซูเรียกชิงเฉินให้หยุด ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด?” เฟิ่งชิงเฉินแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราว ทำให้ไม่มีใครสามารถตำหนินางได้
ในเมื่อตระกูลซูไม่เคยไว้หน้าเฟิ่งชิงเฉิน กล่าวหาว่าเฟิ่งชิงเฉินจงใจทำให้ตระกูลซูอับอายด้วยหมากกระดานจอมปลอม มันสมเหตุสมผลที่เฟิ่งชิงเฉินจะถามคำถามดังกล่าว แต่ตระกูลซูกลับหยุดชะงักด้วยคำถามของพวกเขาเอง
นี่เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้เรื่องจริง ๆ หรือแสร้งทำเป็นไม่รู้กันแน่? พวกเขาทำทุกอย่างออกมาชัดเจนถึงเพียงนี้ แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่ตกเข้ามาในกลอุบายของพวกเขา หรือว่าพวกเขาต้องพูดมันออกมาในที่สาธารณะ
หากกล่าวออกไป ตระกูลซูจะถอยไม่ได้อีกต่อไป
คนของตระกูลซูลังเล ทุกคนเงียบ พวกเขาต่างจ้องมองมาที่เฟิ่งชิงเฉินและคนของตระกูลซู อยากรู้ว่าทั้งสองฝ่ายจะทำเช่นไรต่อไป เฟิ่งชิงเฉินนั่งลงบนเก้าอี้ ใบหน้านิ่งสงบ ทางฝั่งของตระกูลซูเต็มไปด้วยความดิ้นรน ไม่รู้ว่าควรจะพูดมันออกมาดีหรือไม่
เฟิ่งชิงเฉินเห็นว่าอีกฝ่ายลังเล ไม่สามารถตัดสินใจออกมาได้ นางจึงกล่าวใส่ไฟเข้าไปด้วยความเมตตา “ท่านปู่ซู ร่างกายของชิงเฉินไม่ค่อยดี หากไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว ชิงเฉินขอตัวก่อน”
“ช้าก่อน” เวลานี้ตระกูลซูร้อนรนอย่างแท้จริง หากวันนี้ไม่สามารถจัดการเรื่องของหมากกระดานได้ ตระกูลซูก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ไม่ว่าทำต้องทำเช่นไร พวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินจากไปเช่นนี้ได้……