นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 955 ขัดแย้ง เฟิ่งชิงเฉินคือนายท่านแห่งจวนเฟิ่งไม่ใช่นางใน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 955 ขัดแย้ง เฟิ่งชิงเฉินคือนายท่านแห่งจวนเฟิ่งไม่ใช่นางใน

เสียงกรีดร้องและร้องขอความเมตตาดังขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทหารเฝ้าสุสานจักรพรรดิยอมจำนน แต่ทหารม้าทมิฬไม่มีความเมตตาเลยแม้แต่น้อย ราวกับใบดาบอันแหลมคม ไม่มีความตระหนักรู้ในตัวเอง รู้จักเพียงการฆ่าฟันเท่านั้น

เป้าหมายของทหารม้าทมิฬคือการทำลายสุสานจักรพรรดิแห่งตงหลิง สังหารทุกคนที่พวกเขาเห็น ในหัวของทหารม้าทมิฬมีเพียงแค่ภารกิจเท่านั้น ไม่มีเรื่องอื่น ความเมตตาและความนุ่มนวลไม่เคยมีอยู่ในหัวใจของทหารม้าทมิฬ

เมื่อเผชิญหน้ากับศพที่นอนเรียงกันเกลื่อนกลาด มันไม่ได้ทำให้หัวใจของทหารม้าทมิฬอ่อนลงเลยแม้แต่น้อย พวกเขาควบม้าไปด้านหน้า เหยียบย้ำศพเหล่านั้นราวกับเศษกระดาษ กวัดแกว่งมีดในมือของพวกเขา สังหารทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่

ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันที่คนเพียงหนึ่งคนจะสามารถจัดการกับศัตรูนับพัน พวกเขาจำเป็นต้องทำ หากภารกิจล้มเหลวขึ้นมา พวกเขาไม่สามารถแบกรับมันได้

กองกำลังของอีกฝ่ายกำลังอ่อนแอลง แต่ทหารม้าทมิฬก็ไม่กล้าวางใจ ทุกแห่งหนที่ทหารม้าทมิฬย่างกายไป ไม่มีผู้ใดสามารถยืนหยัดอยู่ได้ พวกเขาคือผู้ชนะเลือดเย็นอย่างแท้จริง

หนึ่งชั่วโมง ทหารม้าทมิฬใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงในการสังหารทหารเฝ้าสุสานด้านนอกจนหมดสิ้น ส่วนทหารที่หลบอยู่ด้านในของสุสาน ทหารม้าทมิฬไม่ได้มีวี่แววว่าจะเข้าไปเอาชีวิต จ้องมองสุสานจักรพรรดิด้วยแววตาอันเยือกเย็น จากนั้นโยนระเบิดเทียนเหล่ยลงมาจากหลังม้า

คนที่อยู่ด้านหลังก็ทำเช่นเดียวกัน ระเบิดเทียนเหล่ยนับพันถูกขว้างเข้าไปในสุสานจักรพรรดิจากทุกทิศทาง เสียงระเบิดดังสนั่น ดินโคลนสาดกระเซ็น ควันหนาทึบลอยขึ้น สุสานจักรพรรดิที่แข็งแกร่งราวกับเหล็ก เวลานี้เป็นเพียงซากปรักหักพังเท่านั้น

“ถอนกำลัง!”

ภารกิจเสร็จสิ้น ทหารม้าทมิฬไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป เมื่อทหารรักษาการณ์มาถึง สิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่ก็คือ สนามรบแห่งสุสานจักรพรรดิที่แสนอนาถ สุสานจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่และสง่างามในอดีตเวลานี้เป็นเพียงซากปรักหักพัง ทหารหมื่นนายที่ทำหน้าที่เฝ้าสุสานกลายเป็นซากศพที่ฝังตัวอยู่ในซากปรักหักพัง แม้แต่กระดูกก็ไม่เหลือ มีเพียงแขนขาที่กระจัดกระจายเท่านั้น

เหล่าทหารรักษาการณ์มองดูในระยะไกล ผ่านไปนานกว่าพวกเขาจะได้สติกลับคืนมา……

“ทำลายได้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินทำลายหมากกระดานได้แล้ว!”

“หมากกระดานได้รับการแก้ไขแล้ว สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินสร้างขึ้นมานั้นไม่ใช่สิ่งจอมปลอม”

“หมากกระดานนี้สามารถแก้ไขได้จริง ๆ เฟิ่งชิงเฉินสามารถแก้ไขหมากกระดานได้แล้ว”

ในตอนที่เฟิ่งชิงเฉินวางหมากตัวสุดท้ายลง ทุกคนที่เฝ้ามองอยู่ก็ตกใจจนไม่อยากจะเชื่อ ตั้งแต่หมากแรกจนถึงหมากสุดท้าย พวกเขาไม่กล้าละสายตาแม้แต่เสี้ยววินาที พวกเขาสามารถมั่นใจได้ว่า เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนแก้หมากกระดานนี้อย่างแน่นอน

“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ ก็เห็นกันอยู่ว่าหมากกระดานนี้เป็นสิ่งจอมปลอม นางจะแก้ไขมันได้อย่างไร” ใบหน้าของคนตระกูลซูซีดเซียว ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ แววตาของพวกเขาไร้จิตวิญญาณ

ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย

เสด็จอาเก้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาดูถูก จากนั้นก็มองไปหาเฟิ่งชิงเฉินที่กำลังเดินมาหาเขา

ในตอนที่ทงจือและทงเหยาพาเฟิ่งชิงเฉินเดินเข้ามาหาเสด็จอาเก้า ทุกคนก็อยู่ในความสงบ ทุกคนจ้องมองมาที่เฟิ่งชิงเฉิน อยากรู้ว่านางจะพูดออกมาเช่นไร และทำอะไรออกมา

ไม่ว่าสายตาของทุกคนจะดูถูกหรือชื่นชม เฟิ่งชิงเฉินก็อยู่ในท่าทางเงียบสงบ ไม่โกรธหรือดีใจจนออกนอกหน้า ทำให้ทงจือและทงเหยารู้สึกนับถือ และทำให้คนของสำนักศึกษาจี้เซี่ยประทับใจในตัวนางมากยิ่งขึ้น

เฟิ่งชิงเฉินประสานมือและโค้งคำนับ พูดอย่างไม่ถือตัวและไม่เอาแต่ใจ “เสด็จอาเก้า และผู้ยิ่งใหญ่ทุกท่าน ชิงเฉินทำลายหมากกระดานนั้นแล้ว หากไม่มีเรื่องอื่นใด ชิงเฉินขอลาก่อน”

“ร่างกายของแม่นางเฟิ่งยังไม่ค่อยดี เป็นการดีที่ให้นางกลับไปพักผ่อน” มีคนเห็นท่าทางอันน่าสังเวชของตระกูลซู จึงเอ่ยปากขึ้นมาด้วยความดีใจ บอกว่าเฟิ่งชิงเฉินสามารถไปได้แล้ว เรื่องที่จะทำลายตระกูลซู ทำเป็นเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็ได้

คนของตระกูลซูเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินทำลายหมากกระดานได้สำเร็จ พวกเขาไม่กล้าพูดถึงเรื่องป้ายตระกูลซูแม้แต่ครึ่งคำ สีหน้าของพวกเขาค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ คิ้วและดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ราวกับว่าเฟิ่งชิงเฉินเกรงกลัวพวกเขา

เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้พูดอะไร หลังจากบอกลาทุกคน นางก็ส่งสัญญาณไปบอกทงจือและทงเหยาให้เข็นนางออกไป แต่ในตอนที่กำลังหันกลับไป เฟิ่งชิงเฉินก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงบอกให้ทงเหยาหยุดก่อน

เฟิ่งชิงเฉินหันไปหาคนของตระกูลซูพร้อมกล่าวว่า “ท่านปู่ซู ชิงเฉินแก้ไขหมากกระดานนี้แล้ว ชิงเฉินไม่ได้สร้างหมากจอมปลอมขึ้นมาเพื่อทำให้พวกท่านอับอาย พวกท่านเองก็รู้อยู่แก่ใจ ชิงเฉินคงไม่จำเป็นต้องพูดมาก ท่านปู่ซูจำที่พวกเราเดิมพันกันไว้ให้ดีก็พอแล้ว มีบัณฑิตมากมายเป็นพยาน ข้าคิดว่าท่านคงไม่ละเลยต่อข้อตกลงอย่างไร้ยางอาย”

พูดจบนางก็ไม่สนใจว่าตระกูลซูจะโกรธหรืออย่างไร นางจากไปอย่างด้วยตนเอง

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้” ท่านปู่ซูตะโกนสาปแช่งออกมา แต่เสียดายที่ครั้งนี้เฟิ่งชิงเฉินไม่มีวี่แววว่าจะหยุด และจากไปตามทางของนางเอง

จะตะโกนโหวกเหวกโวยวายอะไร นอกจากเห่าและตะโกน เจ้ายังทำอะไรได้อีก?

“เข้ามา จับเฟิ่งชิงเฉินไว้ให้ข้า” คนของตระกูลซูโกรธจนเสียสติ ชี้ไปยังองครักษ์ของสำนักบัณฑิตเพื่อออกคำสั่ง แต่น่าเสียดายที่องครักษ์ของสำนักบัณฑิตเพียงแค่กลอกตามองกลับมาที่เขา

เสด็จอาเก้าที่เงียบมาโดยตลอด จู่ ๆ เขาก็ลุกขึ้นมา จ้องมาที่ท่านปู่ซูพร้อมกับตะโกนอย่างเยือกเย็น “ท่านปู่ซู ที่นี่คือตงหลิง ข้ารู้ว่าพวกเจ้านั้นไม่อาจแพ้ได้ เพียงแต่ครั้งนี้ ต่อให้พวกเจ้าจะแพ้ไม่ได้ พวกเจ้าก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้”

หลังจากพูดจบ เขาก็เดินจากไป ทิ้งเหล่าบัณฑิตไว้เช่นนั้น พวกเขามองหน้ากัน : เสด็จอาเก้าแห่งตงหลิงเยือกเย็นและโอหังเป็นที่สุด เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่เมื่อพูดออกมาแล้วก็เหมือนคำตัดสินแห่งความเป็นและความตาย

แล้วคนตระกูลซูเล่า?

ตระกูลที่ไม่สามารถพ่ายแพ้ได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้ เนื่องจากยอมรับข้อเสนอของเฟิ่งชิงเฉินในตอนแรก และทุกคนก็คิดว่าข้อเสนอนั้นของเฟิ่งชิงเฉินมันไม่ได้มากเกินไป

อีกอย่าง ตระกูลซูจะเป็นหรือตายนั้นมันเกี่ยวอะไรกับพวกเขา สิ่งที่พวกเขาสนใจก็คือ “เข้ามา รีบนำกระดานหมากนี้ไปเก็บ ข้าจะนำมันกลับไปศึกษา”

“พูดถูก พูดถูก แต่ละหมากที่ก้าวเดินนั้นช่างลึกซึ้ง แต่ละตำแหน่งสามารถกำหนดความเป็นความตาย มีคนไม่กี่คนในโลกนี้แน่นอนที่สามารถตัดเส้นทางชีวิตของตัวเองเพื่อฝ่าฟันศัตรู หมากกระดานนี้ช่างคู่ควรแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง”

“ชีวิตก็เหมือนกับหมากกระดาน หมากกระดานนี้คล้ายกับชีวิตของเฟิ่งชิงเฉิน นอกจากนี้มันยังเกี่ยวข้องกับการมีชีวิตหลังความตาย มีเพียงนกที่ออกจากกองไฟเท่านั้นถึงจะกลายเป็นพญาหงส์ไฟได้” นี่คือการประเมินของคุณชายหยวนซี ในตอนที่เฟิ่งชิงเฉินเดินจากไป คุณชายหยวนซีจ้องมองทิศทางที่เฟิ่งชิงเฉินจากไปอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าเขากำลังวางแผนอะไรอยู่

“ข้ามีบันทึกการเดินหมากของเฟิ่งชิงเฉิน มีผู้ใดต้องการหรือไม่ หากต้องการก็จ่ายมาในราคาสามตำลึง” หลังจากเฟิ่งชิงเฉินจากไปได้ไม่นาน ก็มีเสียงดังขึ้นจากบนถนน

“เฟิ่งชิงเฉินทำลายหมากได้อย่างงดงาม ประกอบกับคำติชมของเหล่าปรมาจารย์ เพียงห้าตำลึงเท่านั้น เพียงห้าตำลึงก็สามารถเห็นหมากที่ทำให้ตระกูลซูต้องหางหายไป”

“หนึ่งชุด ข้าต้องการหนึ่งชุด”

“ทางนี้ ทางนี้ ให้ข้าหนึ่งชุด”

“คุณชาย ต้องขอโทษด้วย ชุดสุดท้ายเพิ่งจะขายหมดไปเมื่อครู่ คุณชายโปรดรอสักครู่ ข้าจะกลับไปดูว่ายังมีเหลืออยู่อีกหรือไม่”

ในยุคนี้หนังสือยังต้องคัดลอกด้วยมือ บันทึกหมากรุกที่คัดลอกด้วยมือล้วนมีค่าอย่างน้อยสองหรือสามตำลึง

“เฟิ่งชิงเฉินผู้นี้เป็นผู้หญิงที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก แค่หมากเพียงกระดานเดียวก็สามารถทำให้ตระกูลซูแห่งหนานหลิงล่มสลาย และยังทำให้คนของสำนักศึกษาจี้เซี่ยเอนเอียงไปทางนาง”

“ความงามเป็นรากเหง้าของความชั่วร้าย ไม่รู้เหมือนกันว่านางใช้กลอุบายอะไร ทำให้เสด็จอาเก้าและคุณชายใหญ่ยกใจให้กับนาง แม้แต่บัณฑิตผู้ยิ่งใหญ่ยังออกหน้ามาพูดแทนนาง”

“เฟิ่งชิงเฉิน สตรีนางนี้เป็นผู้ที่ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง จะว่าดีก็ดี แต่นางไม่สามารถขึ้นมายืนอยู่บนจุดที่สง่างามได้ ไม่สามารถก้าวเข้ามารับผิดชอบในฐานะนายหญิงได้”

“เพราะว่านางเฟิ่งชิงเฉินมีเรื่องราวมากมาย ไม่มีสตรีนางใดเหมือนกับนาง ชื่อของนางเป็นที่รู้จักกันดี คนที่ไม่รู้จักนางยังคิดว่านางเป็นนักแสดง”

……

เฟิ่งชิงเฉินกลับมายังจวนเฟิ่ง นางพบว่าบนถนนเต็มไปด้วยความวุ่นวาย พ่อบ้านถามเฟิ่งชิงเฉินว่าต้องการไปพูดอะไรกับตี๋ซื่อจื่อหรือไม่ ให้เขาส่งคนไปจัดการเพื่อหลีกเลี่ยงข่าวลือเสียหาย หรือสิ่งที่ทำให้ชื่อเสียงของเฟิ่งชิงเฉินต้องแปลกเปื้อน

เฟิ่งชิงเฉินโบกมือ บ่งบอกว่ามันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องกฎหมายส่วนตัว นางแบกรับความรับผิดชอบอันหนักอึ้งในการเป็นหัวหน้าตระกูลเฟิ่ง นางไม่ใช่นางใน ต่อให้ชื่อเสียงของนางกระจายไปทั่วทั้งใต้หล้าแล้วมันอย่างไร นางไม่สนใจ……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท