นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 956 ลงโทษตัวเอง,ขับไล่เสด็จอาเก้าออกจากเมืองจักรพรรดิ
เรื่องของหมากกระดานจะดึงดูดความสนใจมากแค่ไหน ตระกูลซูจะโกรธหรืออย่างไร เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่สนใจ และไม่ทำให้สถานการณ์มันแย่ลงไปมากกว่านี้
นับตั้งแต่วันที่นางปรากฏตัวออกไปเผชิญหน้ากับสำนักบัณฑิตในวันนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็หมกตัวอยู่ในจวนไม่ออกไปไหน แม้ว่าในทุกวันจะมีปรมาจารย์หมากรุกมาหานางถึงจวน เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ต้อนรับ ใช้เหตุผลที่ตนเองไม่สบายในการปฏิเสธที่จะพบกับผู้อื่น
พฤติกรรมของเฟิ่งชิงเฉินเป็นการหลีกเลี่ยงอย่าเห็นได้ชัด ในสายตาคนนอกจะมองว่านางเป็นคนขี้ขลาดและหวาดกลัว แต่เหล่าผู้มีปัญญาต่างรู้ว่า เฟิ่งชิงเฉินกำลังนั่งชมละครอยู่ข้างเวที เฝ้ามองเหล่าผู้ผดุงความยุติธรรมบังคับให้ตระกูลซูแห่งหนานหลิงถอดถอนแผ่นป้าย และลบชื่อตระกูลซูแห่งหนานหลิงของพวกเขา
คำพูดเหล่านั้นของเฟิ่งชิงเฉินที่พูดออกมาต่อหน้าสำนักบัณฑิต แม้จะไม่ได้ร้ายแรงมาก แต่มันก็ไม่สามารถทำให้ตระกูลซูแห่งหนานหลิงถอยกลับไปได้เช่นกัน ในเวลานั้นมีปรมาจารย์มากความรู้เป็นพยานมากมาย แม้ว่าตระกูลซูต้องการปฏิเสธก็ไม่สามารถทำได้ หลังจากนี้หากพวกเขากล้าเรียกตัวเองว่าตระกูลซูแห่งหนานหลิง พวกเขาก็มีแต่จะถูกดูหมิ่นเท่านั้น
ตระกูลซูอยู่ในตำแหน่งที่อึดอัด ถูกรังเกียจโดยเหล่าบัณฑิต ตอนแรกพวกเขาคิดจะมาเดินบนเส้นทางแห่งจักรพรรดิตงหลิง และเป็นทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของจักรพรรดิอย่างสุดใจ แต่คิดไม่ถึงเวลาจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกับตงหลิงในเวลานี้ จักรพรรดิไม่มีเวลาจะมาสนใจตระกูลซู แม้แต่ซูเหนียงเหนียงผู้มีเสน่ห์ จักรพรรดิก็ไม่มีเวลาที่จะไปหาเป็นการส่วนตัว
“สุสานจักรพรรดิถูกทำลาย ทหารนับหมื่นนายเสียชีวิตในการต่อสู้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด พวกเจ้าบอกข้า ข้ามองผิดไปหรือไม่” สาส์นกราบทูลในมือของจักรพรรดิทุบลงไปบนศีรษะของไท่เป่า “สุสานและโลงศพของจักรพรรดิองค์ก่อนถูกทำลาย แต่พวกเจ้านอกจากนำเรื่องพวกนี้มารายงานก็ทำอะไรไม่ได้เลย เจ้าลองพูดมา ข้าเลี้ยงดูคนไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้าไว้เพื่อสิ่งใดกัน”
ปัง……น่าเสียดายที่อายุของไท่เป่านั้นมากแล้ว ถูกทุบจนเลือดออกหมดสติ ตอนแรกคิดว่าได้ไปพักผ่อนที่สำนักหมอหลวงเพื่อหนีจากภัยพิบัติ แต่คิดไม่ถึงว่าจักรพรรดิเหมือนกับมองไม่เห็นเขา ปล่อยให้เขานอนแข็งทื่ออยู่บนพื้น
จักรพรรดิโกรธและกวาดสายตามองไปยังเหล่าขุนนางใหญ่ คนพวกนี้นอกจากคุกเข่ารอรับโทษก็ไม่พูดอะไรออกมาทั้งนั้น จักรพรรดิโกรธจนแทบจะระเบิดออกมา จักรพรรดิจึงสั่งให้องครักษ์พาขุนนางเหล่านี้ออกไปโบย แม้แต่ไท่เป่าที่หมดสติอยู่ก็ไม่มีข้อยกเว้น
ในช่วงเวลาที่จักรพรรดิโกรธ ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามารบกวน แต่มีคนผู้หนึ่งที่ไม่กลัวความตาย เลือกเข้าพระราชวังมาในเวลานี้
“ฝ่าบาท ใต้เท้าฝู่มาขอเข้าเฝ้า” ขันทีน้อยตกใจจนขาสั่น แต่ก็ยังกัดฟันพูดออกไป ตอนแรกคิดว่าจะถูกตวาดกลับมาด้วยความโกรธ แต่คิดไม่ถึงว่าจักรพรรดิจะระงับความโกรธ และสั่งให้คนไปพาฝู่หลินเข้ามา
หลังจากผ่านพิธีทำความเคารพ ฝู่หลินก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมาพร้อมใบหน้าที่จริงจัง “จักรพรรดิ ข้าได้ยินมาว่าสุสานจักรพรรดิถูกทำลาย ไม่ทราบว่าความจริงเป็นเช่นไร?”
“เจ้าดูเอาเองแล้วกัน” จักรพรรดิมองไปที่ฝู่หลินอย่างพึงพอใจ ในเวลาเช่นนี้ยังมีขุนนางที่มีความกล้าเช่นนี้อยู่
ฝู่หลินเองก็ไม่ได้โวยวาย หลังจากหยิบสาส์นเปื้อนเลือดขึ้นมาอ่าน หัวหน้ากองทหารรักษาการณ์ทราบดีถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ เขาจึงไม่กล้าปิดยังความจริงแม้แต่น้อย และเขียนรายละเอียดทุกอย่างไว้ชัดเจน
“ฝ่าบาท เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีคนวางแผนไว้ และคนผู้นั้นก็จงใจมุ่งเป้ามาที่ตงหลิงของพวกเรา” ฝู่หลินรีบหาเหตุผลที่อีกฝ่ายลงมือทันที
หลังจากได้ระบายความโกรธ จักรพรรดิเองก็สงบลงไม่น้อย มองไปยังขุนนางที่ตนเองชื่นชม กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ฝู่หลิน เจ้าสงสัยใครอย่างนั้นหรือ?”
“ฝ่าบาท อีกฝ่ายจะต้องอยู่ในดินแดนตงหลิงเป็นแน่ เวลาสั้น ๆ เพียงแค่หนึ่งชั่วยาม สามารถทำลายกองทหารนับหมื่นลงได้ มันบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่ง และดูจากวิธีการอันชั่วร้ายของฝ่ายตรงข้าม แต่กลับไม่ได้นำสมบัติล้ำค่าในสุสานจักรพรรดิไป แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำเพื่อเงิน แต่เพื่อเพียงให้ตงหลิงอับอาย หากข้าเดาไม่ผิด ผู้โจมตีไม่ใช่กบฏจากราชวงศ์ก่อน แต่เป็นอีกสามประเทศที่เหลือ”
จักรพรรดิพยักหน้าด้วยความชื่นชม แม้จะไม่มีหลักฐาน แต่คนที่ความแข็งแกร่งเช่นนี้ในแผ่นดินจิ่วโจวอันยิ่งใหญ่ จะมีอยู่สักกี่คน ไม่ต้องพูดถึงใครอื่นไกล จักรพรรดิรู้สึกสงสัยในตัวเสด็จอาเก้าเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อคิดได้ว่าศพที่ฝังอยู่ในสุสานจักรพรรดิก็เป็นพ่อแม่ของเสด็จอาเก้าเช่นกัน จักรพรรดิจึงหยุดความคิดดังกล่าว
“ใต้เท้าฝู่ เรื่องนี้ฝากให้เป็นหน้าที่ของเจ้า”
“ข้าน้อยน้อมรับคำบัญชา”
เรื่องสุสานจักรพรรดิถูกทำลาย ส่งผลกระทบในวงกว้าง เสด็จอาเก้าเคยพูดต่อหน้าของจักรพรรดิแล้ว ว่าจักรพรรดิจำเป็นต้องอธิบายทุกอย่างแก่ราชวงศ์ตงหลิงและประชาชนในใต้หล้า แม้แต่สุสานของบรรพบุรุษของตนเองยังรักษาไว้ไม่ได้ จักรพรรดิควรจะรู้สึกละอายใจไม่ใช่หรือ
จริงอยู่ที่จักรพรรดิรู้สึกละอายใจ แต่ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่สามารถรักษาอัฐิของบรรพบุรุษไว้ได้ แต่เป็นเพราะโกรธในคำพูดของเสด็จอาเก้า ประกอบกับเรื่องที่สุสานจักรพรรดิถูกทำลายก่อนหน้านี้ จักรพรรดิโกรธจนแทบกระอักเลือดออกมา
เหล่าขุนนางต่างคุกเข่าอ้อนวอนจักรพรรดิ ให้จักรพรรดิดูแลพระวรกายของตนเองให้ดี แต่พูดยังไม่ทันขาดคำ จักรพรรดิโกรธจนล้มประชวร หลังจากการประชวรหายดี จักรพรรดิก็ไม่รอช้าอีกต่อไป รับหลักฐานที่ฝู่หลินเป็นผู้ตามหา จักรพรรดิโยนความผิดไปที่ฝ่ายกบฏในราชวงศ์ก่อน และออกคำสั่งว่าตนเองมีความผิดที่ไม่ได้ดูและรักษาสุสานจักรพรรดิให้ดี
พบฆาตกรที่ทำลายสุสานจักรพรรดิ เขาถูกประหารอย่างไม่ต้องสงสัย ประกอบกับการยอมรับความผิดของจักรพรรดิ เรื่องนี้จึงผ่านพ้นไปได้ แม้เสด็จอาเก้าจะรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเพียงขอความเมตตาจากจักรพรรดิเป็นการส่วนตัว ว่าเขาต้องการเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องของการซ่อมแซมและบูรณะซากปรักหักพังของสุสานจักรพรรดิ
จักรพรรดิปฏิเสธในตอนแรก แต่เสด็จอาเก้าแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาไม่เชื่อว่าจักรพรรดิจะรักษาสุสานจักรพรรดิได้ สิ่งนี้ทำให้จักรพรรดิโกรธมากจนอาการป่วยเกือบจะกำเริบ ฝู่หลินจึงรีบมาเข้าเฝ้าในค่ำคืนนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าพูดคุยอะไรกับจักรพรรดิ วันต่อมาท่าทางของจักรพรรดิดูแจ่มใส ออกคำสั่งให้เสด็จอาเก้าไปที่สุสานจักรพรรดิเพื่อดูแลการสร้างสุสานจักรพรรดิขึ้นใหม่
การสร้างสุสานจักรพรรดิขึ้นมาใหม่นั้นไม่มีความจำเป็นต้องไปควบคุมด้วยตนเอง แต่สิ่งที่จักรพรรดิสั่งการก็คือ เขาต้องการให้เสด็จอาเก้าไปปักหลักอยู่ ณ สุสานจักรพรรดิจนกว่าจะสร้างเสร็จ
เสด็จอาเก้ารับคำบัญชา จากนั้นจ้องมองมาที่จักรพรรดิด้วยสายตาอันลึกซึ้ง ไม่ได้ออกความเห็นแต่อย่างใด เหล่าขุนนางเองก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา แต่เมื่อมองมายังท่าทางของเสด็จอาเก้า พวกเขาก็รู้สึกกังวลและเป็นห่วงเสด็จอาเก้า
“เจ้าคิดจะไปอยู่ในสุสานจักรพรรดินานสักแค่ไหน?” หวังจิ่นหลิงและเสด็จอาเก้าพบกันในโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง หวังจิ่นหลิงรินน้ำชาให้ตนเองโดยไม่สนใจเสด็จอาเก้า
เสด็จอาเก้าเองก็ไม่เกรงใจ รินน้ำชาใส่ถ้วยให้ตนเองโดยไม่สนใจ แต่เขาเพียงแค่จับมันเอาไว้ ไม่ได้ดื่มลงไป “ทั้งหมดขึ้นอยู่กับฤกษ์ ข้าจะไปตอนไหนก็ได้ที่ข้าต้องการ”
หวังจิ่นหลิงยิ้มพร้อมพยักหน้า “ข้าบอกแล้ว เจ้าไม่มีทางถูกจักรพรรดิขับไล่ออกจากเมืองจักรพรรดิง่ายดายถึงเพียงนั้น”
หากจักรพรรดิสามารถขับไล่เสด็จอาเก้าออกไปจากเมืองจักรพรรดิได้ เขาคงลงมือไปตั้งนานแล้ว
“ปล่อยให้เขาดีใจไปก่อนสักสองสามวัน”
หวังจิ่นหลิงยิ้มอย่างหน้าไม่อาย “บนโลกใบนี้มีเพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่กล้าพูดคำนี้ออกมา แต่นี่ก็ถือเป็นเหตุผลดีอย่างหนึ่ง รอให้เรื่องราวเหล่านี้เงียบไปจากเมืองจักรพรรดิ เจ้าก็ควรออกจากเมืองหลวง มีเรื่องการสร้างสุสานไว้อ้างเป็นเหตุผล ต่อให้เจ้าออกไปจากเมืองหลวงก็ไม่มีใครสนใจเจ้า”
เมื่อออกจากเมืองหลวง ท้องฟ้าอยู่สูง พื้นดินกว้างใหญ่ ต่อให้จักรพรรดิมีใจก็ไร้ซึ่งความสามารถ เมื่อถึงเวลานั้น เสด็จอาเก้าจะทำเรื่องอะไรก็สะดวกเป็นอย่างมาก
“เรื่องนี้เป็นแผนระยะยาว ไม่รีบร้อน รายชื่อที่ข้ามอบให้เจ้า เจ้าตรวจสอบแล้วหรือไม่?” รายชื่อที่เสด็จอาเก้ามอบให้หวังจิ่นหลิง มันคือรายชื่อที่ชายชุดเทาหลุดปากออกมา เกี่ยวกับเหตุเพลิงไหม้ของเสนาบดีและสนมเอกในโรงเลี้ยงสัตว์หลวง
ชายในชุดเทาไม่รู้อะไรมากนัก ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามดึงคำสารภาพออกมามากแค่ไหน ชายในชุดเทาก็พูดออกมาเพียงแค่เรื่องโรงเลี้ยงสัตว์หลวง เรื่องอื่นไม่ว่าพวกเขาจะถามออกมาเช่นไร คำตอบที่ได้ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เรื่องเกิดเพลิงไหม้ที่โรงเลี้ยงสัตว์หลวง นอกจากนางสนมผู้บริสุทธิ์ ยังมีนางสนมอีกหลายคน รวมแล้วทั้งหมดหกคน และยังมีเสนาบดีอีกแปดคน คนพวกนี้ไม่มีความแค้นโดยตรงกับเฟิ่งชิงเฉิน แต่เฟิ่งชิงเฉินเคยไปขวางทางของพวกเขา
พูดเข้าเรื่องเป็นทางการ รอยยิ้มบนใบหน้าของหวังจิ่นหลิงหายไป พยักหน้าด้วยความเคร่งขรึม “ตรวจสอบแล้ว สามารถลงมือได้เลย”
“อ่า” เสด็จอาเก้าตอบรับ บ่งบอกว่าเข้าใจ
เมื่อคืนวาน ทหารม้าทมิฬกลุ่มสุดท้ายได้แทรกซึมเข้าไปในเมืองจักรพรรดิ ตราบเท่าที่เขาออกคำสั่ง ทหารม้าทมิฬจะทำภารกิจที่สองเพื่อกวาดล้างทุกคนที่มีส่วนในเหตุไฟไหม้ในโรงเลี้ยงสัตว์หลวง