นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 959 เล่น,ไปซานตงกับข้า
เสด็จอาเก้าพูดถูก เฟิ่งชิงเฉินดูถูกผู้ชายที่ขาดความรับผิดชอบ ยอมทำทุกอย่างเพราะความเห็นแก่ตัวและความยากของตัวเอง เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกไปอย่างจริงจังว่า “เจ้าพูดถูก ข้าไม่เห็นค่าของผู้ชายเห็นแก่ตัว”
พูดจบนางก็ไม่ลืมที่จะเผยให้เห็นใบหน้าแห่งจักรพรรดินี แต่น่าเสียดายที่นางยังเด็ก ใบหน้าเล็ก ๆ ของนาง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็น่ารัก หัวใจของเสด็จอาเก้าหวั่นไหว จึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปหยิกแก้มนาง
“แม่นางพูดถูก เพื่อที่จะทำให้แม่นางเห็นค่าในตัวข้า ข้าจะต้องพยายามทำตัวให้ไม่เป็นผู้ชายเห็นแก่ตัวและไร้ประโยชน์ เวลานี้ ข้าได้จัดการกับคนด้านนอกทั้งหมดแล้ว ส่วนที่เหลืออีกไม่กี่คน ข้าขอมอบให้เป็นหน้าที่ของแม่นาง”
หลังจากหยิกแก้มของเฟิ่งชิงเฉินจนกลายเป็นสีแดง ก่อนที่เสด็จอาเก้าจะทำให้เฟิ่งชิงเฉินโกรธ เขาก็ยื่นใบรายชื่อให้กับเฟิ่งชิงเฉิน
“ฮึ ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป” เฟิ่งชิงเฉินจ้องมองเสด็จอาเก้าด้วยอำนาจและแววตาที่เหนือกว่า
ใบหน้าของเสด็จอาเก้าเผยให้เห็นรอยยิ้ม ยักไหล่และกล่าวว่า “ข้าขอขอบพระคุณที่แม่นางให้อภัย”
“อ่า เช่นนั้น……เจ้าเป็นอะไรไปงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินถูกเสด็จอาเก้าทำให้ตกใจ นางมองมาที่เสด็จอาเก้าด้วยใบหน้าแห่งความสงสัย เห็นใดวันนี้จึงรู้สึกว่าเสด็จอาเก้าดูผิดปกติไป
เสด็จอาเก้าสุภาพกับนางเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด สมองของเสด็จอาเก้าเลอะเลือน หรือว่านางตาฝาดไป
“แครก แครก……” เสด็จอาเก้าเห็นแววตาที่ใสซื่อของเฟิ่งชิงเฉิน เขารู้สึกเขินอายเล็กน้อย จึงกระแอมออกมาเพื่อปกปิดท่าทางของเขา จากนั้นก็กล่าวออกมาว่า “ข้าไม่เป็นไร”
ยากมากที่เขาจะทำให้มาหยอกล้อกับเฟิ่งชิงเฉิน สุดท้ายเฟิ่งชิงเฉินกลับทำสายตาแปลกประหลาดใส่เขา ทำให้เขารู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินชำเลืองมองเสด็จอาเก้าอย่างระมัดระวัง ไม่ว่าอย่างไรเสด็จอาเก้าก็คือเสด็จอาเก้า ไม่มีทางเปลี่ยนไป หลังจากนั้นนางถึงเปิดแผ่นรายชื่อออกมา
บนใบรายชื่อเขียนถึงครอบครัวของเสนาบดีที่ถูกสังหารล้างตระกูลไปเมื่อวาน มีเพียงนางสนมอีกหกคนเท่านั้นที่ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในพระราชวัง
สังหารคนในเมืองจักรพรรดิหรือในพระราชวัง ทั้งสองเป็นแนวคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ที่เสด็จอาเก้าไม่แตะต้องนางสนมหกคนนี้ มันก็มีเหตุผลในตัวของมันอยู่ หลังจากเฟิ่งชิงเฉินจดจำรายชื่อได้แล้ว นางก็ถามออกมาว่า “รายชื่อเหล่านี้เชื่อได้งั้นหรือ?”
แม้จะไม่ใส่ใจเรื่องการสังหารผู้คน แต่นางก็ไม่อยากฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจ และในนางสนมเหล่านี้ มีคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับนาง
“คุณชายใหญ่เป็นผู้ตรวจสอบ” เสด็จอาเก้าไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบเอาหน้า นี่เป็นผลงานของหวังจิ่นหลิง เขาไม่มีทางแย่งมาเป็นอันขาด เขาจึงไม่ปิดบังเฟิ่งชิงเฉิน แต่เมื่อเฟิ่งชิงเฉินได้ยินว่าหวังจิ่นหลิงเป็นผู้ตรวจสอบ นางพยักหน้าอย่างเชื่อใจและรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก
หรือว่าในใจของนาง หวังจิ่นหลิงน่าเชื่อถือถึงเพียงนั้นเลยงั้นหรือ?
ความรู้สึกของเสด็จอาเก้านั้นเหมือนกับคนเก็บตัว เฟิ่งชิงเฉินไม่เข้าใจความยุ่งเหยิงในใจของเสด็จอาเก้า ยื่นใบรายชื่อให้เสด็จอาเก้า “ผู้หญิงหกคนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล ปล่อยให้ข้าเป็นคนจัดการ ข้าจะทำให้พวกนางตายทั้งเป็น”
บุญคุณแห่งความแค้นเป็นสิ่งซึ่งน่ารังเกียจที่สุด นางไม่มีทางปล่อยผู้หญิงทั้งหกคนไปง่าย ๆ
“อ่า” เสด็จอาเก้าเห็นเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ใส่ใจ เขาทำได้เพียงระงับความโกรธและขย้ำใบรายชื่อในมือทิ้ง
ตอนนี้เมืองจักรวรรดิเต็มไปด้วยความวุ่นวายและทุกคนกำลังตกอยู่ในอันตราย หากทำตัวนอกลู่นอกทางเพียงเล็กน้อยก็อาจตกเป็นเป้าสายตาได้ เสด็จอาเก้าไม่คิดจะเอาตัวเองเข้าไปเป็นหนึ่งในนั้น และเปิดโอกาสให้จักรพรรดิสาดน้ำสกปรกใส่เขา
เรื่องราวของเมืองจักรพรรดิ เสด็จอาเก้าไม่ต้องการจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว คนที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดเหล่านั้น เสด็จอาเก้าขอมอบหน้าที่นี้ให้กับจักรพรรดิ หากจักรพรรดิละทิ้งศัตรูที่อยู่ใต้ตาตนเอง เช่นนั้นเขาก็ไม่คู่ควรกับตำแหน่งจักรพรรดิ
เสด็จอาเก้าได้จัดการเรื่องในเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว เรื่องการทดสอบคัดเลือกขุนนางจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหวังจิ่นหลิง ส่วนเขาก็กำลังเตรียมตัวละทิ้งประเทศชั่วคราวเพื่อเอาใจหญิงงาม
“ชิงเฉิน เดือนหน้าข้าจะเดินทางไปยังซานตง ข้าอยากให้เจ้าไปกับข้า” คำพูดนี้ของเสด็จอาเก้าไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำสั่ง
“ไปซานตง? เจ้าจะไปซานตงเพื่อเหตุใด?” ซานตงเป็นสถานที่ซึ่งเฟิ่งชิงเฉินต้องการไป เรื่องนี้เสด็จอาเก้ารู้ดี เฟิ่งชิงเฉินคิดว่าการที่เสด็จอาเก้ากล่าวออกมาเช่นนี้นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ไม่ง่ายที่จะหาเหตุผลมาอ้าง เสด็จอาเก้าจึงเอ่ยปากออกมาว่า “ข้าได้รับคำสั่งจากจักรพรรดิให้ไปสร้างสุสานจักรพรรดิขึ้นมาใหม่ แน่นอนว่าต้องไปซานตงเพื่อหาวัสดุและหินในการสร้าง”
“ซานตงมีหินและวัสดุสำหรับก่อสร้างงั้นหรือ?” เส้นเลือดสีดำปรากฏบนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน เหตุผลนี้มันดูไร้สาระเกินไป
“ข้าบอกว่ามีก็ต้องมี? เจ้ามีปัญหางั้นหรือ?”
“อ่า……ไม่มี เจ้าบอกว่ามีก็มี อย่างไรเรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องลำบากใจ” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า อย่างไรเสียการที่มีเสด็จอาเก้าไปเป็นเพื่อนก็ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อนาง
“แต่ ก่อนที่จะไปซานตง ข้าอยากไปเยี่ยมหลุมศพของท่านพ่อและท่านแม่ แต่ไม่รู้ว่าความวุ่นวายในเมืองจักรพรรดิจะสงบลงเมื่อใด เมื่อใดข้าถึงสามารถออกจากเมืองได้” ความเศร้าหมองปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน ไม่ง่ายเลยกว่านางจะหาเวลาว่างได้ แต่กลับเกิดเหตุการณ์นองเลือดในเมืองจักรพรรดิ ทั้งเมืองเต็มไปด้วยความตึงเครียด ทำให้นางไม่กล้าจะออกมาจากเมือง
“เจ้าจะไปเมื่อใด?” คำพูดนี้ของเสด็จอาเก้าหมายความว่า ขอแค่เจ้าบอกมาว่าจะไปเมื่อใด เรื่องอื่นเข้าจะเป็นคนจัดการเอง
เฟิ่งชิงเฉินรีบกล่าวออกมาว่า “ในวันเช็งเม้ง”
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะมารับเจ้าในวันเช็งเม้ง” นี่หมายความว่าเขาต้องการไปกับเฟิ่งชิงเฉิน
“อา? ไม่ต้อง เจ้าแค่มาทักทายและพาข้าออกไปนอกเมืองก็พอ” เฟิ่งชิงเฉินรีบปฏิเสธ ล้อเล่นอะไรกัน เหตุใดเสด็จอาเก้าจึงต้องไปเยี่ยมหลุมฝังศพพ่อแม่ของนางด้วย
ชายชู้ของนาง?
ช่างมันเถอะ พ่อแม่ของนางไม่มีทางรับได้
เสด็จอาเก้าไม่ได้ตอบกลับไป เหลือบตามองเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินยังอยากจะพูดอะไรออกมา แต่เสด็จอาเก้าก็เปลี่ยนหัวข้อทันที เขาพูดถึงเรื่องราวของซีหลิง
เวลานี้สถานการณ์ของซีหลิงไม่สู้ดีนัก หากแย่ลงไปกว่านี้ ความพยายามก่อนหน้านี้ทั้งหมดของพวกเขาจะสูญเปล่า สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถทำได้ในเวลานี้ก็คือ รอฟังข่าวดีจากซีหลิงเทียนอวี่
ไม่ว่าสถานะของเสด็จอาเก้าจะสูงส่งและทรงพลังเพียงใด แต่เขาก็ไม่สามารถยื่นมือไปยุ่งเรื่องของประเทศอื่นได้ เวลานี้สิ่งที่เขาทำได้ก็คือเคลื่อนไหวกองกำลังทั้งหมดในซีหลิง เพื่อปกป้องชีวิตของจักรพรรดิแห่งซีหลิงไว้
เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเสด็จอาเก้าไม่ต้องการถามถึงความเห็นของนาง นางจึงฟังอยู่เงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร ท้ายที่สุดแล้วนางไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ แม้ว่าต้องการก็ตาม
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นาน เสด็จอาเก้าฉวยโอกาสนี้ในการอยู่ทานอาหารที่จวนเฟิ่ง หลังจากทานอาหารเสร็จเฟิ่งชิงเฉินก็พูดออกมาชัดเจนว่าต้องการส่งเสด็จอาเก้ากลับไป แต่เสด็จอาเก้าก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน อยู่พูดคุยกับเฟิ่งชิงเฉินในห้องโถง เมื่อฟ้าเริ่มมืด เสด็จอาเก้าจึงเสนอให้เล่นหมากรุก
เฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางเรื่องอื่นนอกจากเสี่ยงชีวิตเล่นกับเสด็จอาเก้า เพียงแต่……
“ฝีมือการเล่นหมากรุกของเจ้านั้นไม่ธรรมดา สามารถเอาชนะซูหว่านได้ เอาชนะชุยฉือลิ่ว และได้รับการยอมรับจากเหล่าปรมาจารย์พวกนั้น” เสด็จอาเก้ามองไปที่กระดานหมากรุกที่เต็มไปด้วยความพ่ายแพ้ของเฟิ่งชิงเฉินด้วยความดูถูก
เฟิ่งชิงเฉินถูกกระตุ้น นางกัดฟันด้วยความโกรธ “หากดูถูกฝีมือการเล่นหมากรุกของข้า เช่นนั้นก็อย่ามาเล่นกับข้า หมากของข้ามันแย่แล้วอย่างไร อย่างน้อยข้าก็สามารถสร้างหมากที่แม้แต่เหล่าปรมาจารย์แห่งจิ่วโจวก็ไม่สามารถทำลายได้”
“เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าเป็นคนสร้างหมากนั้นขึ้นมา?” ด้วยดวงตาที่สดใส รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิ นิ้วอันเรียวยาวหยิบหมากบนกระดาน เก็บเข้าไปในกล่อง
การแสดงออกนั้นเหมือนกับการบอกเฟิ่งชิงเฉินว่า เขารู้ทุกอย่าง สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินแดงขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็พึมพำออกมา แม้จะฟังไม่ชัด แต่เสด็จอาเก้าก็รู้ว่านางพูดออกมาว่าอย่างไร และสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินพูดออกมาก็คือ “ไม่ใช่”
แววตาของเสด็จอาเก้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม อารมณ์ในคำพูดของเขาเคร่งขรึมขึ้นเรื่อย ๆ “หมากรุกของเจ้า หลังจากนี้อย่าไปเล่นกับใครจะดีกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้ความจริงถูกทำลาย”
แน่นอนว่าคำพูดพวกนี้เป็นเพียงเรื่องตลก ฝีมือการเล่นหมากรุกของเฟิ่งชิงเฉินนั้นไม่ได้เลวร้าย การเดินหมากของนางมีความซับซ้อน เหล่าผู้ที่เชี่ยวชาญหมากรุกดั้งเดิมไม่อาจเอาชนะนางได้ แต่หลังจากที่เล่นด้วยกันหลายครั้ง เข้าใจในการวางหมากของเฟิ่งชิงเฉิน หากเฟิ่งชิงเฉินคิดจะเอาชนะ เช่นนั้นก็เป็นไปได้ยาก……