นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 974 จุดอ่อน,พลังเหลือเฟือ
เป็นคนย่อมมีจุดอ่อน ขอแค่จับจุดอ่อนของพวกเขาได้ ต่อให้เจ้ามีฝีมือเก่งกาจเพียงใด ทั่วทั้งใต้หล้าก็ไม่มีใครไม่สามารถโค่นล้มได้ และองค์รัชทายาทก็รู้ถึงเหตุผลข้อนี้ดี
ในคอกม้า เข้าสามารถต่อสู้กับเหล่าเสนาบดีที่มีความคิดเป็นเลิศ เขาเดินเข้าไปท่ามกลางเหล่าเสนาบดีด้วยร่างกายที่อ่อนแอ และได้รับการสนับสนุนจากเสนาบดีเหล่านั้น เขาไม่ใช่คนที่ไร้ผู้สนับสนุน คนที่คอยสนับสนุนเขามีมากกว่าตงหลิงจื่อลั่วเสียอีก
ชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้ไม่ใช่คนที่เพิ่งลงมาจากเขา พวกเขาอยู่ในยุทธจักรมาหลายทศวรรษ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ขุนนางผู้น่ารังเกียจ แต่พวกเขาจะไม่เข้าใจเหตุผลแห่งความชั่วร้ายของยุทธจักรได้อย่างไร คนในยุทธจักรรังเกียจที่สุดก็คือการเป็นมิตรกับขุนนางโฉด หลังจากพวกเขารู้สถานะขององค์รัชทายาทแล้ว พวกเขาจะอยากผูกมิตรกับองค์รัชทายาทได้อย่างไร เพียงแต่……
ชื่อเลี่ยนฉุ่ยมองขวดยาที่อยู่ในมือ ดวงตาของเขาเป็นประกาย จากนั้นขมวดคิ้ว “ศิษย์น้อง เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร?”
“ศิษย์พี่อยากไปไม่ใช่หรือ ในเมื่ออยากไป เช่นนั้นก็ไปกันเถิด” กัวเป่าจี้กล่าวอย่างอ่อนโยน
หากชื่อเลี่ยนฉุ่ยไม่สนใจ เขาคงไม่พยายามถึงเพียงนี้
“จริงอยู่ว่าข้าอยากไป แต่อีกฝ่ายเป็นคนของราชวงศ์ เจ้าเองก็รู้ว่าคนอย่างพวกเรา สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจ” เล่นด้วยหัวใจพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนหน้าซื่อใจคดอย่างคนในราชวงศ์เป็นแน่
“ศิษย์พี่ลองคิดให้ดี ในเมื่อสหายขององค์รัชทายาทเก่งกาจถึงเพียงนั้น เหตุใดเขาจึงเห็นคุณค่าของพวกเรา พวกเราแค่ตามเขาไปดูก็เพียงพอ ส่วนองค์รัชทายาทคิดอยากให้พวกเราทำสิ่งใด มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายถึงเพียงนั้น พวกเราเป็นเพียงแค่หมอ” ในฐานะหมอพิษ กัวเป่าจี้ได้รับการยกย่องจากทางราชวงศ์โดยเสมอมา
แม้ในพระราชวังจะไม่มีผู้ใดกล้าวางยาพิษต่อจักรพรรดิและองค์รัชทายาท แต่หากมีผู้ใช้พิษคอยอยู่ข้างกาย เป็นเรื่องธรรมดาที่จะรู้สึกวางใจมากกว่า ต่อให้ไม่มีใครคิดจะทำร้ายเจ้า แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญ อย่างน้อยเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวผู้อื่นไม่ใช่หรือ
“ศิษย์น้องพูดออกมาก็มีเหตุผล ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางไปพร้อมกับองค์รัชทายาท ข้าเองก็อยากจะรู้เช่นกัน ว่าบนโลกใบนี้จะมีหมอคนไหนสามารถรักษาโรคหัวใจได้บ้าง” ชื่อเลี่ยนฉุ่ยกล่าวด้วยความทะนงตัว เขาไม่เชื่อในคำพูดขององค์รัชทายาท ดังนั้นเขาจึงอยากไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง
หากมีคนสามารถแหวกอกเพื่อรักษาโรคหัวใจได้จริง เช่นนั้นเขาชื่อเลี่ยนฉุ่ยก็คงต้องขอนับถือจากใจจริง ต้องรู้ก่อนว่าแม้แต่ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยียังไม่ได้การนับถือจากเขาเลยด้วยซ้ำ
หลังจากศิษย์ทั้งสองตัดสินใจ วันรุ่งขึ้นพวกเขานำขวดยาคืนให้กับองค์รัชทายาท และแสดงออกมาว่าต้องการติดตามไปด้วย องค์รัชทายาทไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับสิ่งนี้ ยิ้มให้พวกเขาทั้งสองคนและบอกกับพวกเขาว่าไม่จำเป็นต้องกังวลว่าระหว่างการเดินทางจะมีอันตรายเกิดขึ้น
แม้ชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้จะไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นภายนอก แต่พวกเขารู้สึกพอใจกับทีท่าและคำพูดขององค์รัชทายาทเป็นอย่างมาก คำพูดของเจ้าชายเมื่อวานเป็นการโจมตีจิตใจของพวกเขาอย่างมาก แต่วันนี้องค์รัชทายาทกลับพูดออกมาด้วยประโยคอันหอมหวาน พวกเขารู้ได้ทันทีว่านี่เป็นกลอุบายขององค์รัชทายาท แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมชาติ ไม่มีจุดไหนที่ชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้ต้องรู้สึกไม่พอใจ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะองค์รัชทายาทอารมณ์ดีเกินไปหรือทักษะทางการแพทย์ของชื่อเลี่ยนฉุ่ยนั้นสูงส่ง ร่างกายขององค์รัชทายาทฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว แม้ต้องเร่งรีบในการเดินทาง แต่องค์รัชทายาทก็ไม่มีท่าทีว่าจะเหนื่อย
ตงหลิงชิงอ๋องรู้สึกดีใจที่ได้เห็นมันด้วยตาของตัวเอง ในความคิดของเขาไม่มีอะไรเทียบกับร่างกายที่แข็งแรงขององค์รัชทายาทได้ แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาอาจจะสงสัยในสิ่งที่องค์รัชทายาทต้องการจากชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้ แต่เมื่อได้เห็นว่าทั้งสองมีประโยชน์ต่ออาการป่วยขององค์รัชทายาท ในการเดินทางหลังจากนั้น ตงหลิงชิงอ๋องก็เป็นมิตรและอ่อนโยนกับทั้งสองคนมาก
เสด็จอาเก้ารู้เรื่องดังกล่าวในวันที่สองหลังจากองค์รัชทายาทพาชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้ร่วมทางมาด้วย เขาจึงพูดคุยเรื่องนี้กับเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินถามออกมาเพียงประโยคเดียวว่าสองคนนี้สามารถเชื่อถือได้หรือไม่ เสด็จอาเก้าตอบกลับไปว่าทั้งสองใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ใช่คนที่แสวงหาผลประโยชน์ ใช้ชีวิตอย่างสันโดษ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก มีเพียงความคิดที่จะเขียนตำราทางการแพทย์ เฟิ่งชิงเฉินมีความประทับใจกับทั้งสองคนไม่น้อย และตั้งตารอสำหรับการมาถึงของพวกเขา
“คิดไม่ถึงเลยว่า องค์รัชทายาทจะสามารถทำให้สองคนนี้ติดตามเขามาได้ ช่างเก่งกาจยิ่งนัก” ในฐานะหมอคนหนึ่ง เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจดี คนที่มีทักษะทางการแพทย์สูงนั้นค่อนข้างมีเกียรติและผู้ที่อุทิศตนเพื่อตำรา ไม่ง่ายเลยที่จะถูกหลอกล่อออกมาเช่นนี้
เสด็จอาเก้าจ้องมาที่เฟิ่งชิงเฉินพร้อมกับกล่าวอย่างเย็นชา “เขาคือองค์รัชทายาท”
ทุกคนในราชวงศ์ล้วนมีจิตใจดี มีความสามารถ หากไม่ได้พบถือว่าพลาดโอกาส หากได้พบแล้วแต่ไม่สามารถนำมาเป็นพวกได้ เช่นนั้นก็ทำลายไปเสียดีกว่า
เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้าและถอนหายใจออกมา พูดออกมาสองสามคำ จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก ไม่ว่าบุคคลเหล่านั้นจะสูงศักดิ์เพียงใด พวกเขาก็ไม่อาจต้านทานเครื่องจักรในพระราชวังหรือบุคคลชั้นสูงได้
ตลอดสองวันที่ผ่านมา เฟิ่งชิงเฉินและซุนซือสิงใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องผ่าตัด วันนี้เฟิ่งชิงเฉินคุ้นเคยกับการผ่าตัดในการซ่อมแซมหัวใจเป็นอย่างดี นางรับประกันได้ว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ ในระหว่างการผ่าตัด สำหรับอัตราความสำเร็จ ไม่ใช่สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินสามารถรับประกันได้ ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายขององค์รัชทายาท
แผนการผ่าตัดได้ถูกกำหนดไว้แล้ว แต่เฟิ่งชิงเฉินและซุนซือสิงก็ไม่ได้พักผ่อนแต่อย่างใด ใช้โอกาสช่วงที่องค์รัชทายาทยังมาไม่ถึง ให้ซุนซือสิงได้ลองทำการผ่าตัดในส่วนต่าง ๆ ด้วยตัวเอง หลังจากศึกษาอยู่ในหุบเขาซวนยีมาสักระยะ ความรู้ด้านการแพทย์แผนจีนของซุนซือสิงนั้นพัฒนาขึ้นมา แต่สิ่งที่ยังขาดอยู่คือประสบการณ์
ด้วยการผสมผสานระหว่างการแพทย์แผนจีนและตะวันตก แม้ว่าซุนซือสิงจะไม่มีกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ แต่เขาก็สามารถวินิจฉัยอาการของผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ และเขายังสามารถแยกแยะส่วนที่เสียหายของอวัยวะภายในได้ด้วยเจ็ดสิบแปดเปอร์เซ็นต์ของความแม่นยำ
ด้วยความแข็งแกร่งด้านสายตาดังกล่าว ต่อให้ไม่ต้องมีเครื่อง CT สแกน ซุนซือสิงก็สามารถดำเนินการผ่าตัดง่าย ๆ ได้ เช่นการผ่าตัดเล็กน้อยอย่างถุงน้ำดี
เฟิ่งชิงเฉินและซุนซือสิงหมกมุ่นอยู่กับการสอน เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกประหลาดใจกับความฉลาดของซุนซือสิง แม้วิธีการของซุนซือสิงจะเรียบง่าย แต่เขาสามารถใช้ความเรียบง่ายและความบริสุทธิ์ของเขาในการรักษา เนื่องจากเขาคือต้นกล้าทางการแพทย์
ซุนซือสิงเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เฟิ่งชิงเฉินกระตือรือร้นในการสอนมาก ต้องการถ่ายทอดความรู้ที่ตนเองมีทั้งหมดออกมา ทำให้ตาแก่อย่างปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีได้เห็นว่านางก็สามารถสอนซุนซือสิงได้
ความสนใจทั้งหมดของเฟิ่งชิงเฉินอยู่ที่ตัวของซุนซือสิง แน่นอนว่าทำให้นางละเลยเสด็จอาเก้า สองวันที่ผ่านมา เสด็จอาเก้ายังพอทนได้ แต่เมื่อผ่านไปสี่ห้าวัน เฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงเป็นเหมือนเช่นเคย ทำให้เสด็จอาเก้ารู้สึกหดหู่ใจจนแทบอาเจียนออกมาแล้ว
ใบหน้าของเสด็จอาเก้าดูมืดมนตลอดทั้งวัน ทำให้เหล่าคนรับใช้ของเขารู้สึกหวาดกลัว ใจสั่นตลอดทั้งวัน เมื่อเดินผ่านเสด็จอาเก้า พวกเขาอยากจะมุดหัวลงไปอยู่ใต้พื้นดิน อยากจะลบล้างความรู้สึกทั้งหมดที่พวกเขามีอยู่
แน่นอนว่าผู้ที่ทุกข์ทรมานมากที่สุดไม่ใช้คนรับใช้ แต่เป็นเหล่าสายลับที่มาถึงก่อนแล้วไม่มีอะไรให้ทำ
มีบ่อน้ำอยู่ด้านหน้าของลาน มีภูเขาอยู่ด้านหลัง หากผู้ใดบุกเข้ามา พวกเขาจะรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว อยู่ ณ ที่แห่งนี้เหล่าสายลับแทบไม่มีความจำเป็นต้องใช้วรยุทธ์ ดังนั้น……หลังจากที่เสด็จอาเก้าทำธุระของเขาเสร็จสิ้น เขาก็จะพาเหล่าสายลับออกไปทำการฝึกฝน
เสด็จอาเก้าเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าทหารที่ดีที่สุดต้องได้รับการฝึกจากในสนามรบ แน่นอนว่าสิ่งซึ่งดีที่สุดคือการให้เหล่าสายลับออกไปฝึกฝนในสถานที่จริง ตอนแรกพวกเขาคิดว่าการที่ได้ออกมาด้านนอกครั้งนี้จะเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาได้พักผ่อน แต่พวกเขากลับรู้สึกตึงเครียดในทุกวัน เนื่องจากกลัวว่าหากทำอะไรผิดพลาดไป เสด็จอาเก้าจะแทงพวกเขาด้วยดาบในมือ
เหล่าสายลับเหล่านั้นรู้สึกทุกข์ทรมาน แม้ว่าลานแห่งนี้จะกว้างใหญ่ แต่การเคลื่อนไหวของเฟิ่งชิงเฉินนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ พวกเขาไม่มีที่ให้หลบซ่อน ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนเสด็จอาเก้าก็สามารถตามหาพวกเขาจนพบ หลังจากนั้นก็ต่อสู้กับพวกเขา แม้ว่าจะเป็นการต่อสู้แบบแปดต่อหนึ่ง แต่พวกเขาก็ยังพ่ายแพ้อยู่ดี เนื่องจากไม่มีใครคิดว่าสายลับจะเอาชนะยอดฝีมืออันดับหนึ่งของยุทธจักรได้
ในช่วงเวลาที่องค์รัชทายาทยังเดินทางมาไม่ถึง มันเป็นช่วงเวลาที่เหล่าสายลับตกอยู่ในความยากลำบาก ร่างกายของพวกเขาได้รับบาดเจ็บในทุกวัน แต่ยังดีที่เสด็จอาเก้าได้เตรียมยารักษาไว้ให้พวกเขาเป็นอย่างดี บาดแผลเหล่านี้สามารถหายได้ภายในสามถึงห้าวัน แต่หลังจากนั้นมันก็ได้รับบาดเจ็บอีก……
เหล่าสายลับจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว เห็นเฟิ่งชิงเฉินและซุนซือสิงเดินออกมาจากห้องผ่าตัด พวกเขาระงับความสุขในใจเอาไว้ แต่กลับเข้าไปซ่อนตัวดังเดิม
เยี่ยมไปเลย……แม่นางเฟิ่ง พวกข้าข้อร้องท่าน นายท่านของพวกข้าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง หากท่านให้เขานำพลังเหล่านั้นมาลงที่พวกข้า พวกข้าคงมีจุดจบที่น่าอนาถ……