นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 980 โอ้อวด,ความแข็งแกร่งตัดสินทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยหรือสถานที่ใด มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเท่านั้นถึงสามารถได้รับความเคารพจากผู้อื่น สามารถทำให้ผู้อื่นหวาดกลัว เจ้าจะถ่อมตัวก็ได้ แต่ก่อนหน้านั้นเจ้าต้องมีต้นทุนของการถ่อมตัว และเมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าก็สามารถเย่อหยิ่งได้ทุกเมื่อที่เจ้าต้องการ
คนที่อ่อนแอไร้ซึ่งกำลังไม่มีคุณสมบัติที่จะบอกว่าตนเองเป็นผู้ถ่อมตน คนเหล่านั้นเป็นได้เพียงคนโง่เขลา มีเพียงผู้ที่อยู่บนจุดสูง ๆ เท่านั้นถึงสามารถบอกว่าตนเองถ่อมตัวได้ ถ่อมตัวต่อผู้อื่น
เสด็จอาเก้าไม่ได้พูดกับเฟิ่งชิงเฉินมากมาย เขาเพียงพูดออกมาแค่ว่า “ความแข็งแกร่งของเจ้า มันจะเป็นของเจ้าตลอดไป” เฟิ่งชิงเฉินสามารถยืมพลังจากคนอื่นได้ แต่มีเพียงความแข็งแกร่งของตนเองเท่านั้นที่จะทำให้ได้รับความเคารพจากผู้อื่นอย่างแท้จริง
เช่นเดียวกับชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้ที่บุกโจมตีเข้ามา แม้ว่าวิธีการของพวกเขาเอาจะดูบ้าบอไปหน่อย แต่พวกเขาก็ได้แสดงความแข็งแกร่งของพวกเขาออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน พวกเขาไม่เห็นองค์รัชทายาทและท่านอ๋องอยู่ในสายตา หากทำให้พวกเขาขุ่นเคือง พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะสังหารเจ้า
เสด็จอาเก้าพูดออกมาถึงขั้นนี้แล้ว แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถถอยได้อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมนี้ที่ให้ความสำคัญกับอาชีพของนาง สามารถทำให้ได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโส เส้นทางในอนาคตของนางจะราบรื่นขึ้นมาก สำหรับหมอ ชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญ หากได้รับคำสรรเสริญจากหมอเทวดาผู้ยิ่งใหญ่สองท่านนี้ มันดีกว่าที่นางรักษาให้หยุนเซียวหลายเท่า
เฟิ่งชิงเฉินไม่หลบซ่อนอีกต่อไป เฟิ่งชิงเฉินจึงกล่าวดึงดูดความสนใจของทั้งสองอย่างรื่นหู กล่าวถึงหัวข้อการเจ็บป่วยของหยุนเซียว
ที่ชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้มาที่นี่ก็เพื่อจุดประสงค์นี้ เวลานี้ถึงเวลาที่พวกเขาโต้กลับและกอบโกยผลประโยชน์ พวกเขาตั้งคำถามสองสามข้อเกี่ยวกับอาการป่วยของหยุนเซียว เจ้าเล่ห์ขี้โกง เป็นมืออาชีพ เห็นได้ชัดว่าต้องการทดสอบเฟิ่งชิงเฉิน
สำหรับการรับมือกับสิ่งเหล่านี้ เฟิ่งชิงเฉินเคยชินกับมันแล้ว เนื่องจากด้วยอายุของนางตอนนี้ คงไม่มีใครเชื่อว่านางมีทักษะทางการแพทย์ที่เก่งกาจ ต่อให้มีพรสวรรค์มากเพียงใด การศึกษาก็จำเป็นต้องใช้เวลา ประสบการณ์ หากนางไม่แสดงความสามารถออกมา คนไม่มีใครเชื่อนาง
เฟิ่งชิงเฉินไม่กล้าเพิกเฉย ไม่ว่าชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้ถามอะไรออกมา นางล้วนตอบกลับไปอย่างละเอียด โดยผสมผสานระหว่างทฤษฎีการแพทย์ตะวันตกกับทฤษฎีการแพทย์แผนจีน
ทฤษฎีการแพทย์ตะวันตกเป็นสิ่งที่ง่ายมาก เจ็บตรงไหน ขาดตรงไหนก็รักษาและเปลี่ยนตรงนั้น ส่วนการแพทย์แผนจีน สิ่งที่เน้นย้ำคือความละเอียดอ่อน ความสมดุล หาสาเหตุของโรค จากนั้นก็ค่อย ๆ ทำการรักษา
อย่างไรก็ตาม ชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แม้ว่าสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมานั้นอาจจะแตกต่างจากการแพทย์แผนจีนไปบ้าง แต่ทั้งสองคนก็ยังเข้าใจได้ แม้ว่าการผ่าตัดอาจจะไม่สามารถรักษาโรคได้ แต่สำหรับผู้ป่วยแล้วมันถือเป็นวิธีที่รวดเร็ว ง่าย และมีประสิทธิภาพ
ใช่ การแพทย์แผนตะวันตกนั้นเรียนง่ายกว่าการแพทย์แผนจีนอย่างชัดเจน หากคุณสอนนักศึกษาแพทย์แผนตะวันตก ก็สามารถสอนให้พวกเขาจับมีดผ่าตัดได้ภายในเจ็ดถึงแปดปี เนื่องจากทุกอย่างล้วนเป็นไปตามขั้นตอน
แต่การแพทย์แผนจีนนั้นต่างกันออกไป การแพทย์แผนจีนจำเป็นต้องมีประสบการณ์ การจ่ายยาหรือการรักษาล้วนขึ้นอยู่กับประสบการณ์ อาการเดียวกันแต่คนละตัวบุคคล ชนิดและปริมาณยาที่ใช้ก็ต่างกันออกไป นี่จำเป็นต้องสั่งสมประสบการณ์เป็นเวลาหลายปีถึงจะสามารถทำได้
เมื่อได้ยินคำอธิบายอย่างชัดเจนที่เฟิ่งชิงเฉินรักษาให้หยุนเซียว และวิธีการรักษาบาดแผลภายนอกของเฟิ่งชิงเฉิน ชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้เชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนรักษาอาการป่วยของหยุนเซียวไปแล้วประมาณเจ็ดส่วน
“เป็นวิธีการอธิบายที่เข้าใจง่ายจากขั้นตอนนับร้อย” นี่คือการประเมินทักษะทางการแพทย์ของเฟิ่งชิงเฉิน แม้ชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้ค่อนข้างจะสงสัยในทักษะทางการแพทย์ของเฟิ่งชิงเฉิน แต่ยังไงก็ต้องยอมรับว่าทั้งหมดเป็นความจริง
รู้และเข้าใจในวิธีการเพียงหนึ่งวิธีจากร้าย เท่านั้นก็มากเพียงพอ ด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย ประกอบกับใช้เวลาเล่าเรียนเพียงไม่กี่ปี แพทย์แผนจีนก็สามารถเป็นแพทย์แผนตะวันตกได้ไม่ยาก ในทางกลับกัน หากแพทย์แผนตะวันตกต้องการเรียนรู้แพทย์แผนจีน มันจะเป็นเรื่องที่ยากมาก เนื่องจากแค่สมุนไพรอย่างเดียวก็สามารถฆ่าผู้ป่วยได้ และผู้ป่วยแต่ละรายก็มีการจ่ายยาที่แตกต่างกัน
จากน้ำเสียงของชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้ เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าสองคนนี้ไม่ค่อยชอบใจในทักษะทางการแพทย์ของนาง แต่นางก็ไม่ได้โกรธ ไม่มีใครใช้ให้นางอธิบายสิ่งต่าง ๆ ออกมาให้มันดูง่าย
เฟิ่งชิงเฉินเพียงยิ้มและพูดคุยกับชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้เกี่ยวกับอาการป่วยของหยุนเซียว ร่างกายมนุษย์ ร่วมถึงองค์ประกอบด้านความเจ็บป่วย
เฟิ่งชิงเฉินไม่เชี่ยวชาญในทฤษฎีการแพทย์แผนจีน แต่ในแง่ของโครงสร้างร่างกายมนุษย์ ไม่มีใครในจิ่วโจวที่เทียบเทียมนางได้ หลังจากพูดออกมาอย่างละเอียด สีหน้าและท่าทางของชื่อเลี่ยนฉุ่ยกับกัวเป่าจี้ก็ดูน่าเกลียดขึ้น เนื่องจากสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินพูดออกมาราวกับว่าพวกเขาไม่เข้าใจคนไข้
กัวเป่าจี้ยังคงรักษาท่าทางของตนในฐานะหมอเทวดา ไม่สนใจผู้ที่ต้อยต่ำกว่า แต่ชื่อเลี่ยนฉุ่ยนั้นต่างออกไป เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินกำลัง “โอ้อวด” เกี่ยวกับเรื่องของความรู้ เขาจึงขัดคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินอย่างไม่เกรงใจ “ก็แค่ความรู้ไร้สาระเท่านั้น วิธีการแพทย์ของเจ้า หากต้องพบเจอกับโรคร้ายที่ซับซ้อนก็มีแต่ทำให้ผู้ป่วยทุรนทุรายเท่านั้น”
หากไม่มีกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ ไม่มีเครื่องมีแพทย์ที่ทันสมัย คำตำหนิดังกล่าวของชื่อเลี่ยนฉุ่ยก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง หากไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ และยาสำเร็จรูป ศัลยแพทย์ตัวน้อยก็เหมือนไร้ซึ่งความรู้ และไม่สามารถรักษาหรือทำความเข้าใจอะไรได้เลย
เวชศาสตร์ตะวันตกแบ่งออกเป็นอายุรศาสตร์ ศัลยกรรม กุมารเวชศาสตร์ นรีเวชวิทยา นาสิกวิทยา จักษุวิทยา ฯลฯ แพทยศาสตร์แบ่งออกเป็นเภสัชศาสตร์ วิสัญญีวิทยา กายวิภาคศาสตร์ เวชศาสตร์คลินิก ฯลฯ แต่แพทย์แผนจีนนั้นมีทุกอย่างครบถ้วนในตัวคนเดียว เขาสามารถรักษาได้ทุกโรค
นี่เป็นการดูหมิ่นอย่างเห็นได้ชัด หากเป็นชายหนุ่มทั่วไปจะต้องเกิดการต่อสู้ขึ้นเป็นแน่ แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย และกล่าวออกไปอย่างนุ่มนวล “ผู้อาวุโสชื่อพูดถูก ความสำเร็จของชิงเฉินเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย จะไปเทียบกับผู้อาวุโสทั้งสองท่านได้อย่างไร ผู้อาวุโสทั้งสองถึงเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่โดยแท้จริง ชิงเฉินก็เป็นเพียงผู้ชำนาญทางด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น”
ในแผ่นดินจิ่วโจวอันยิ่งใหญ่ ผู้ที่ครอบครองทักษะแพทย์แผนจีนถือเป็นบุคคลล้ำค่า สิ่งที่นางได้เรียนรู้มาเป็นเพียงทักษะทางด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินดูถูกแพทย์แผนตะวันตก แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ยุคสมัยท่าที่ต่างกัน ทำให้สิ่งสำคัญในแต่ละสาขาวิชาชีพแตกต่างกันไปด้วย
ในยุคปัจจุบัน การแพทย์ตะวันตกเป็นกระแสหลัก เนื่องจากการแพทย์แผนจีนนั้นยากเกินไปที่จะเรียนรู้ และการแพทย์แผนตะวันตกนั้นสามารถเรียนรู้และเข้าใจได้รวดเร็วกว่า
“ถือว่าเจ้ายังพอมีความรู้อยู่บ้าง” ชื่อเลี่ยนฉุ่ยเห็นเฟิ่งชิงเฉินสุภาพถึงเพียงนี้ และแสดงออกมาอย่างไมตรีจิต ดังนั้นจึงเห็นเฟิ่งชิงเฉินเจริญหูเจริญตากว่ามาก ก่อนหน้านี้เขาไม่เห็นหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเลยแม้แต่น้อย เห็นเป็นเพียงแค่ที่ระบายความโกรธเท่านั้น
ใครกันที่ทำให้พวกเขาสองคนอับอายถึงเพียงนั้น หากไม่หาใครมาระบายความโกรธสักคน พวกเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เฟิ่งชิงเฉินนั้นอ่อนแอ ทำให้ชื่อเลี่ยนฉุ่ยระบายอารมณ์ได้อย่างราบรื่น ส่วนกัวเป่าจี้เพียงแค่ขยิบตา และปล่อยให้เขาพูดออกไป
ศิษย์น้องที่รู้ความคิดของศิษย์พี่ กัวเป่าจี้รู้ว่าชื่อเลี่ยนฉุ่ยกำลังคิดอะไรอยู่ พูดกับเฟิ่งชิงเฉินด้วยใบหน้าที่ตรงไปตรงมา หากเป็นไปได้ พวกเขาอยากเห็นเฟิ่งชิงเฉินทำการรักษาด้วยตาของตัวเอง วิธีการเย็บแผล ผ่าตัดเปิดกะโหลก ไม่จำเป็นต้องใช้คนมาเป็นผู้ทดลอง แค่สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ก็ได้
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ปฏิเสธ นางตอบรับด้วยความยินดี จากนั้นพาทั้งสองคนไปยังห้องผ่าตัดของนาง
ชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้มองหน้ากัน แววตาของพวกเขาเป็นประกาย แม้ว่าทั้งสองคนจะพูดเสมอว่าทฤษฎีของเฟิ่งชิงเฉินนั้นไม่เป็นที่แพร่หลาย แต่ในความเป็นจริงพวกเขาเองก็รู้สึกสนใจเช่นกัน หากไม่ใช่นั้นพวกเขาคงไม่ยอมทนต่อความอับอายก่อนหน้านี้
ในเรื่องเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่าพวกเขาเองไม่เคยทำ เหมือนกับการรักษาแผลของซากศพ การขัดขา ตัดแขนที่เน่าเปื่อยเพื่อทำการรักษาชีวิตไว้
กลุ่มโรคต่าง ๆ ที่เฟิ่งชิงเฉินกล่าวถึง พวกเขาเองก็เคยรักษาเช่นกัน เพียงแต่อันตรายการสำเร็จนั้นน้อยมาก และทุกครั้งที่พวกเขาทำการรักษา ผู้ป่วยจะมีไข้สูง เกิดการอักเสบ สุดท้ายผู้ป่วยก็ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยตัวเอง หากทนไม่ไหวสุดท้ายก็แค่ตาย
ในเมื่อเฟิ่งชิงเฉินสามารถทำการผ่าตัดเปิดอกแล้วทำให้ผู้คนยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ นางจึงต้องมีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้เป็นอย่างมาก พวกเขาต้องการเรียนรู้มัน และมันก็เป็นประโยชน์กับพวกเขามาก……