นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 992 ขจัด,ยิ่งปรารถนาในความรัก ก็ยิ่งไร้ซึ่งวาสนา
เสด็จอาเก้าและตระกูลหวังจะร่วมมือกันหรือไม่ เรื่องนี้จักรพรรดิยังไม่ทราบข้อมูลที่ชัดเจน แต่ด้วยนิสัยกัดไม่ปล่อยของจักรพรรดิ เขาไม่มีทางปล่อยไปเป็นอันขาด ไม่ว่าจะเป็นเสด็จอาเก้าหรือตระกูลหวัง กล้ามาข้ามหัวจักรพรรดิเช่นนี้ เขาไม่มีทางปล่อยไปเป็นแน่
ครั้งนี้ ระหว่างเสด็จอาเก้ากับตระกูลหวัง จักรพรรดิเลือกเสด็จอาเก้าอย่างไม่ลังเล ส่วนตระกูลหวัง? เมื่อจักรพรรดินึกถึงสนมเอกเซี่ยที่ใกล้จะคลอดออกมา เขาก็ยิ้ม……
ลูกชายของตระกูลหวังโดดเด่น ได้คะแนนสูงในการสอบคัดเลือกขุนนาง ช่วงระยะเวลาอันสั้น จักรพรรดิคงยังไม่ทำอะไรตระกูลหวัง และไม่ได้ตั้งใจที่จะลงมือด้วยตัวเองเพื่อเผชิญหน้ากับตระกูลหวังโดยตรง
สำหรับตระกูลขุนนางระดับตระกูลหวัง จักรพรรดิอยากจะมอบให้ตระกูลขุนนางอย่างตระกูลเซี่ยและตระกูลชุยเป็นผู้จัดการ เขามั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลชุยหรือตระกูลเซี่ย พวกเขาจะมีความสุขเป็นแน่หากได้สืบทอดอำนาจของตระกูลหวังในปัจจุบัน
เรื่องของตระกูลหวังไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เรื่องของเสด็จอาเก้านั้นควรเร่งรีบมากกว่า เสด็จอาเก้ากำลังป่วยไม่ใช่หรือ ดังนั้นจักรพรรดิจึงอยากให้เสด็จอาเก้าป่วยหนักขึ้นอีกเสียหน่อย แต่เสด็จอาเก้านั้นไม่ได้ป่วยตั้งแต่แรก ที่บอกว่าป่วยเพราะต้องการหลบหนี ไม่เพียงแต่เสด็จอาเก้าเท่านั้นที่อ้างว่าป่วย แต่ลูกชายตัวดีสองคนของเขาที่ของไปเจียงหนานก็อ้างว่าป่วยเช่นกัน
นี่ทำให้จักรพรรดิโกรธเป็นอย่างมาก หากตัวไปพร้อมกันเช่นนี้ หากบอกว่าไม่มีอะไร ต่อให้เป็นสุกรก็ไม่มีทางเชื่อ เท่านั้นยังไม่พอ ยังกล้ามาเล่นเล่ห์เหลี่ยมใต้จมูกของเขา จักรพรรดิจึงส่งคนออกไปตามหาร่องรอยของเสด็จอาเก้าและองค์รัชทายาททันที
หลังจากหาที่อยู่ของเสด็จอาเก้าจนพบ จักรพรรดิก็รวบรวมทหารม้าสองหมื่นนาย ให้พวกเขานำระเบิดเทียนเหล่ยที่เพิ่งผลิตได้ไปหาเสด็จอาเก้า ขณะเดียวกันก็ออกคำสั่งสังหารอย่างลับ ๆ โดยบอกให้พวกเขาเอาชีวิตของเสด็จอาเก้ากลับมา
เขาต้องการเพียงชีวิตของเสด็จอาเก้าเท่านั้น ส่วนชีวิตขององค์รัชทายาทและชิงอ๋อง เขาไม่ได้กล่าวว่าเป็นหรือตาย เพียงแค่กล่าวว่าหากขัดขืนก็สามารถสังหารได้เลย
ในยามดึก เสด็จอาเก้าถึงจะทำสิ่งที่ต้องทำเสร็จสิ้น ลูบคิ้วด้วยความรู้สึกปวด เตรียมที่จะเอนกายลงบนเก้าอี้ หลังจากฟ้าสว่างเขาตั้งใจที่จะไปเยี่ยมองค์รัชทายาท จากนั้นก็ทำสิ่งที่เหลือ
แต่ใครจะไปรู้ ในทีที่เขาหลับตา เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นมาจากด้านนอก จากนั้นก็ได้ยินเสียงองครักษ์พูดว่า “แม่นางเฟิ่ง”
เสด็จอาเก้ายิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นลืมตาขึ้น……
“ข้าต้องการเข้าเฝ้าเสด็จอาเก้า รบกวนพวกเจ้าช่วยไปรายงานให้ข้าเสียหน่อย” เสียงของเฟิ่งชิงเฉินฟังดูแหบแห้ง แต่ฟังดูก็รู้ว่ายังมีสภาพจิตใจที่ดี
“แม่นางเฟิ่ง ท่านอ๋องทรงรับสั่งไว้ หากท่านมาหา ไม่จำเป็นต้องรายงาน ท่านสามารถเข้าไปได้เลย”
“ขอบใจมาก”
ปัง ปัง……เสียงเคาะประตูที่ไม่ได้ดังหรือเบาจนเกินไป เสด็จอาเก้ารีบลุกขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มตรงมุมปาก นั่งตัวตรง นำปากกาและกระดาษที่เพิ่งเก็บไป กางออกมาอีกครั้ง แสร้งทำเป็นกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “เข้ามา”
ทันทีที่พูดจบ เสด็จอาเก้าจับปากกาและเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษที่ขาวราวกับหิมะ ทำท่าทางเหมือนกับคนกำลังยุ่ง ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้สังเกตอะไร และเดินไปที่โต๊ะพร้อมกับถาดเล็ก “นี่ก็ดึกมากแล้ว พักผ่อนบ้างเถิด”
“อื้อ” เสด็จอาเก้าตอบกลับไป แต่ยังคงไม่หยุดการเคลื่อนไหวของเขา ยังคงจับปากกาเขียนลงไปบนกระดาษด้วยท่าทางจริงจัง
เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเสด็จอาเก้ายุ่งมาก นางไม่ได้ส่งเสียงอันใดออกมา เพียงนั่งลงตรงฝั่งตรงข้ามและชื่นชมการทำงานของเสด็จอาเก้า
ต่างกล่าวว่าผู้หญิงที่ทำอะไรจริงจังนั้นเป็นผู้หญิงที่งดงาม แต่ผู้ชายที่ทำอะไรจริงจังกลับหล่อเหลาเสียยิ่งกว่า ดูแล้วสบายตามากกว่า เฟิ่งชิงเฉินหมกมุ่นอยู่กับมันโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อนางได้สติกลับคืนมา นางพบกว่าเวลานี้เสด็จอาเก้าหยุดการเคลื่อนไหวของเขาและกำลังจ้องมองมาที่นาง……
“แคก แคก……” ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินกลายเป็นสีแดงทันใด แววตาของเสด็จอาเก้าเต็มไปด้วยความภูมิใจ เขาไม่ได้เย้ยหยันเฟิ่งชิงเฉินออกมาแต่อย่างใด เพียงถามออกมาว่า “ชิงเฉิน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? อาการขององค์รัชทายาทดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
สิ่งแรกหลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินตื่นมาไม่ใช่การมาพบหน้าเขา แต่เป็นการไปหาองค์รัชทายาทด้วยความร้อนใจ ต้องบอกเลยว่า……เสด็จอาเก้ารู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก ในใจของเฟิ่งชิงเฉิน ผู้ป่วยมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ อันดับสองคือครอบครัว ส่วนเขาจะเป็นอันดับสามได้หรือไม่ เรื่องนี้เขาเองก็ไม่แน่ใจ
“เวลานี้อาการขององค์รัชทายาทดีมาก ซือสิงกับผู้อาวุโสชื่อกำลังให้การดูแลเขาอยู่ ขอแค่สามารถข้ามผ่านช่วงเวลาอันตรายนี้ไปได้ เท่านั้นก็ไม่มีปัญหา” ต้องบอกเลยว่าชีวิตขององค์รัชทายาทนั้นยิ่งใหญ่ ในตอนที่นางรู้สึกว่าหมดทางรักษา ชื่อเลี่ยนฉุ่ยก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมเข็มทองสามเล่ม และช่วยองค์รัชทายาทให้รอดพ้นจากอันตรายมาได้
เป็นอีกครั้งที่เฟิ่งชิงเฉินตกหลุมรักกับความลึกซึ้งของการแพทย์แผนจีน แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะสอนนาง
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นมาเหนือความคาดหมายเกินไป” เสด็จอาเก้าเองก็มีเรื่องต้องให้กังวลเช่นกัน สุดท้าย ปัญหาที่เกิดขึ้นกับองค์รัชทายาท เขาก็ไม่สามารถปัดความรับผิดชอบได้
“เรื่องที่เกิดขึ้นที่พำนัก ไม่มีใครคาดคิดทั้งนั้น แต่พวกเราอยู่ที่พำนักมานานถึงเพียงนี้ ถูกจักรพรรดิพบเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” เฟิ่งชิงเฉินไม่คิดว่านี่เป็นความผิดของเสด็จอาเก้า
ในความเป็นจริง หากไม่ใช่เพราะว่าองค์รัชทายาทมาช้าเกินไป การผ่าตัดคงเสร็จสิ้นไปตั้งนานแล้ว เรื่องราวคงไม่ยืดเยื้อถึงเพียงนี้ และจะไม่ถูกคนของจักรพรรดิลอบโจมตี
เห็นว่าเสด็จอาเก้ายังคงเป็นกังวล เฟิ่งชิงเฉินจึงกล่าวออกมาอีกครั้งว่า “แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันจะส่งผลกระทบต่ออาการป่วยขององค์รัชทายาท แต่เวลานี้อาการขององค์รัชทายาทก็คงที่แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าได้ยินทหารรับใช้ของเจ้าบอกว่าเจ้ายุ่งมาทั้งคืน เวลานี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง บังเอิญว่าคนรับใช้ในครัวทำรังนกตุ๋น ข้าจึงอยากนำมาให้เจ้าทาน”
เฟิ่งชิงเฉินนำรังนกตุ๋นที่ตนเองถือเข้ามาออกมาในเวลานี้ เยี่ยมมาก มันยังร้อนอยู่ นางเองก็เป็นคนบ้างานเหมือนกับเสด็จอาเก้า นางจะไม่หยุดหากงานในมือยังไม่เสร็จ ดังนั้นจึงตั้งใจยกรังนกตุ๋นเข้ามาให้เสด็จอาเก้า
แน่นอน หากเฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเมื่อสักครู่เสด็จอาเก้ากำลังทำอะไรอยู่ นางจะต้องเสียใจเป็นอย่างมากที่นางเข้ามาในครั้งนี้
ผู้หญิงที่งดงามในห้องหนังสือ!
นี่เป็นครั้งแรกที่เฟิ่งชิงเฉินนำอาหารมาให้เสด็จอาเก้าในห้องหนังสือยามดึก เสด็จอาเก้ารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่เขาไม่อาจเผยความดีใจของเขาออกมาให้เห็นได้ เพราะกลัวว่าเฟิ่งชิงเฉินจะภูมิใจ
เสด็จอาเก้าเอนกายลงบนเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย “ข้าเหนื่อยแล้ว ไม่รู้ว่าชิงเฉินจะช่วยจัดการให้ข้าได้หรือไม่?”
ไม่ใช่ช่วยกิน แต่ช่วยเป็นมือทั้งสองข้างให้เสด็จอาเก้า ป้อนอาหารให้กับเสด็จอาเก้า
เสด็จอาเก้าไม่ใช่คนไร้เดียงสาอย่างซุนซือสิง แน่นอนว่านางเข้าใจถึงความหมายที่เสด็จอาเก้าต้องการสื่อออกมา หากเป็นช่วงเวลาปกติ เฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางสนใจเสด็จอาเก้าเป็นแน่
จริงอยู่ว่าผู้ชายสามารถอ้อนได้ แต่อย่าอ้อนมากเกินไป แต่วันนี้……
เมื่อเห็นถุงที่บวมเล็กน้อยใต้ดวงตาของเสด็จอาเก้า ดวงตาที่แดงก่ำ เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกใจอ่อน วันนี้เป็นวันที่ยากลำบาก เป็นวันที่เสด็จอาเก้าทำงานหนักเป็นอย่างมาก
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า ยกถ้วยรังนกตุ๋นมาด้านข้างของเสด็จอาเก้า
ใบหน้าของเสด็จอาเก้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตาส่วนลึกของเขาเต็มไปด้วยความเสน่ห์หา ทำให้หัวใจของผู้เฝ้ามองหลงใหล เฟิ่งชิงเฉินแอบสาปแช่งในใจว่าเสด็จอาเก้านั้นน่าดึงดูดเกินไป นางรีบหันหน้าไปทางอื่น ไม่กล้ามองหน้าเสด็จอาเก้า ป้องกันไม่ให้ถูกเสด็จอาเก้าดึงดูดจนเสียสติ
ด้านซ้ายคือเสด็จอาเก้า ด้านขวาคือโต๊ะหนังสือ แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่บนโต๊ะได้ รวมถึงสิ่งที่เสด็จอาเก้าเพิ่งเขียนลงไปบนกระดาษเมื่อสักครู่
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้มองมันอย่างละเอียด นางเพียงแค่มองมันอย่างไม่ตั้งใจ แต่เมื่อมองไปโดยไม่คาดคิด มันทำให้เฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถละสายตาจากมันได้ ใบหน้าของนางกลายเป็นสีแดง รังนกตุ๋นในมือสั่น จากนั้นหลุดมือออกไป ตกไปทางเสด็จอาเก้า……
“ระวัง” เสด็จอาเก้ารีบยื่นมือออกไป คว้ารังนกตุ๋นเอาไว้อย่างมั่นคง ขณะเดียวกันก็จับมือของเฟิ่งชิงเฉินไว้ ฉวยโอกาสตอนที่เฟิ่งชิงเฉินเสียสติ ใช้แรงดึงร่างของนางเข้ามาในอ้อมแขน จากนั้นก็กล่าวออกมาเชิงหยอกล้อ “ข้าอยากกินรังนกตุ๋น ไม่ใช่เสื้อผ้าของข้าที่อยากกิน ชิงเฉิน เจ้าอย่าป้อนผิด”
ป้อนต่อไปก็บ้าแล้ว!
เฟิ่งชิงเฉินยื่นรังนกตุ๋นให้กับเสด็จอาเก้า ชี้ไปยังกระดาษที่อยู่บนโต๊ะพร้อมถามออกมาว่า “เจ้าอย่าบอกนะว่า เจ้ายุ่งอยู่กับการเขียนสิ่งเหล่านี้จนไม่มีเวลาทานอาหาร?”
“ใช่ ทำไมงั้นหรือ?” เสด็จอาเก้าพูดด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสา รอยยิ้มในดวงตาของเขาชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
การแกล้งหรือหยอกล้อเฟิ่งชิงเฉิน เป็นสิ่งที่ทำให้เขาผ่อนคลาย และปรับปรุงชีวิตของเขาได้……