นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 1008 ผู้ตรวจการ,เสด็จอาเก้าคือขุนนางผู้เสียสละ
ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งนั้นก็ไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปยุ่ง เสด็จอาเก้าเป็นชินอ๋องไม่ใช่จักรพรรดิ จักรพรรดิสามารถสั่งลงโทษขุนนางที่ทุจริต และหยุดการมอบของขวัญเป็นธรรมเนียมได้ เสด็จอาเก้าในฐานะที่เป็นขุนนางผู้หนึ่ง เขาไม่อยากทำให้เรื่องนี้เป็นเหตุให้เขาต้องขุ่นเคืองกับผู้อื่น และไม่อยากขโมยความโดดเด่นของจักรพรรดิ
ของขวัญที่ได้จากเหล่าขุนนางชั้นต่ำถือเป็นการแสดงออกแห่งการเคารพนับถือ และยังเป็นทิศทางลมอีกด้วย จากขุนนางที่นำของขวัญมามอบให้ เสด็จอาเก้ามองออกว่าใครเป็นข้าราชบริพารที่แท้จริงของจักรพรรดิ และใครที่เขาสามารถหยิบมาใช้ประโยชน์ได้
เสด็จอาเก้ามีอิทธิพลอย่างมากในคอกม้า แต่ด้วยสถานะของเขาที่มีข้อจำกัด ทำให้กองกำลังและอำนาจที่อยู่ในพื้นที่ของเขาพัฒนาไปได้ช้า ครั้งนี้ที่เขาเดินทางอย่างเปิดเผย นั่นเป็นเพราะเขาต้องการโน้มน้าวจิตใจของเหล่าขุนนางในชนบท ในกรณีดังกล่าว เขาจะปฏิเสธการรับของขวัญจากขุนนางเหล่านั้นได้อย่างไร
สิ่งเหล่านี้เขาไม่อยากจะบอกกับเฟิ่งชิงเฉิน เรื่องบางเรื่องสามารถทำได้ แต่พูดออกไปไม่ได้ ก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นเรื่องที่ดี แต่หากพูดออกไปอาจจะไม่ดีอย่างที่คิดไว้
เฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถยอมรับกับการที่เขารับของขวัญจากขุนนางชั้นล่างเหล่านี้ได้ ดังนั้นเขาจึงทำให้เฟิ่งชิงเฉินได้เข้าใจว่าหากเขาไม่รับของขวัญเหล่านี้แล้วผลลัพธ์ของมันจะเป็นเช่นไร
ในตอนที่เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินเดินเข้าไปในจวนของผู้ตรวจการเมืองเหลียวเฉิง มันเป็นก็เลยเวลาอาหารเย็นไปแล้ว แต่ในจวนยังคงเปิดไฟสว่างไสว ต่อให้เสด็จอาเก้าไม่มา ผู้ตรวจการเมืองเหลียวเฉิงและเหล่าขุนนางเองก็ไม่ไปไหน พวกเขาทั้งหมดจะอยู่ในจวนผู้ตรวจการเมืองเหลียวเฉิงแห่งนี้
แน่นอนว่าคนพวกนี้ไม่ได้มาร่ำสุรา ในความเป็นจริงเขาไม่มีแม้แต่จิตใจที่จะกินข้าว
“พวกเจ้าว่าเสด็จอาเก้าไม่พอใจเหล่าขุนนางแห่งเมืองเหลียวเฉิงหรือไม่ ไม่เพียงแต่ไม่รับการต้อนรับของพวกเรา แม้แต่ของขวัญเขาก็ไม่รับของผู้ใดสักคน”
“ใช่ ใช่ ข้าได้ยินมาว่าเสด็จอาเก้าไม่เป็นเช่นนี้ในเมืองอื่น ไม่ว่าขุนนางระดับไหนมอบของขวัญให้เขา เขาต่างรับไว้ด้วยความจริงใจ”
“หลังจากนี้จะทำเช่นไรต่อไป เหตุผลพวกเราถึงได้ทำให้เสด็จอาเก้าขุ่นเคือง”
“พวกเราทำอะไรผิดไปกันแน่ หรือว่าของขวัญที่พวกเราส่งไปนั้นมันต้อยต่ำเกินไป”
เหล่าขุนนางพูดคุยและออกความคิดเห็น น้ำเสียงในคำพูดเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไม่สบายใจ สุดท้ายทุกคนก็หันมองมาผู้ตรวจการ กล่าวออกมาด้วยใบหน้าอันเศร้าหมอง “ใต้เท้า ท่านคิดว่าอย่างไร เสด็จอาเก้าไม่พอใจพวกเรา หรือไม่พอใจในของขวัญที่พวกเรามอบให้?”
“ใช่ ใต้เท้า ท่านว่าพวกเราควรทำเช่นไรต่อไปดี พรุ่งนี้เสด็จอาเก้าก็จะออกเดินทางแล้ว หากไม่รีบคิดหาวิธี ปล่อยให้เสด็จอาเก้าจากไปเช่นนี้ พวกเราควรจะทำอย่างไรต่อไป”
“ใต้เท้า ให้คนลองไปสืบข่าวดูอีกครั้งดีหรือไม่ เสด็จอาเก้าไม่พอใจอะไรพวกเราหรือเปล่า หรือว่าควรจะเพิ่มของขวัญขึ้นอีกสามส่วน?”
“ข้าได้ยินมาว่าข้างกายของเสด็จอาเก้ามีคนสนิทที่คอยติดตามเขาอยู่ตลอด หรือเป็นเพราะตอนที่พวกเราออกไปต้อนรับ พวกเราไม่ได้ทักทายคนสนิทของเขา ของขวัญที่เตรียมไปก็ไม่มีส่วนของเขา เป็นไปได้หรือไม่ว่าเสด็จอาเก้าจะไม่พอใจเพราะเหตุนี้?”
อ่า……ยิ่งพูดก็ยิ่งไกลออกจากทะเล ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเริ่มแปลกประหลาดขึ้นทุกที
เหตุใดจึงดึงนางเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
ใบหน้าของผู้ตรวจการเมืองเหลียวเฉิงมืดมนจนน่าตกใจ ไม่มีความน่าเกรงขามเหมือนตอนกลางวันเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินการพูดคุยของทุกคน ผู้ตรวจการเมืองเหลียวเฉิงกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าจะให้คนออกไปหาข่าวอีกครั้ง พวกเจ้าเองก็กลับไปเตรียมของขวัญให้เรียบร้อย เพิ่มของขวัญขึ้นห้าส่วน หากยังไม่สำเร็จ ข้าเองก็หมดหนทางเช่นกัน คงทำได้เพียงรอให้คนในคอกม้ามาดึงข้าลงไปจากตำแหน่ง”
ในสายตาของผู้ตรวจการเมืองเหลียวเฉิง หากเสด็จอาเก้าไม่ยอมรับของขวัญจากเขา มันก็หมายความว่าตำแหน่งขุนนางของเขาได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว คนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้นต่างมีสีหน้าไม่สบายใจ
หลังจากการพูดคุยกันอีกครั้ง เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกไม่มีความสุขเอาเสียเลย นางบอกให้เสด็จอาเก้าพานางออกไปจากจวนผู้ตรวจการ เฟิ่งชิงเฉินเห็นท่าทางที่นิ่งสงบของเสด็จอาเก้า นางจึงถามออกมาว่า “เจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้?”
“อื้อ” สถานการณ์เช่นนี้ไม่จำเป็นต้องใช้สมองคิดเลยสักนิด
“หากที่ผ่านมาเจ้าไม่รับของขวัญเลยแม้แต่ชิ้นเดียวจะเป็นเช่นไร?” เฟิ่งชิงเฉินคิดอย่างจริงจัง
หากเสด็จอาเก้าไม่ยอมรับของขวัญ คนเหล่านี้ก็น่าจะรู้สึกคุ้นชินกับมัน และหลังจากคุ้นชินกับมันแล้ว พวกเขาก็ไม่น่าจะมอบของขวัญให้เสด็จอาเก้าอีก
“ขุนนางมีความเป็นปึกแผ่น หากข้าไม่รับของขวัญจากผู้ใดเลย ข้าก็ไม่อาจรวบรวมจิตใจของพวกเขาได้ ชิงเฉิน ข้าเป็นเพียงชินอ๋องไม่ใช่จักรพรรดิ” ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร หากเขาไม่ใช่จักรพรรดิ เขาก็ไม่อาจหลุดจากรอบนี้ไปได้
สิ่งที่เขาทำต้องอาศัยการสนับสนุนจากขุนนาง ที่จริงจักรพรรดิเองก็ไม่ต่างกัน หากลงโทษขุนนางทุกคน ผู้คนที่อยู่ด้านล่างต่างทำงานด้วยความระแวดระวัง ร่วมมือกันปิดบัง มุ่งนำกันไปในทางที่ผิด ต่อให้เป็นจักรพรรดิก็ไม่อาจหนีพ้น
“ก็ได้ ข้าเข้าใจแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจด้วยความหดหู่
นางเข้าใจถึงความมืดมนของเหล่าขุนนาง แต่นางรับไม่ได้ที่การกระทำของเสด็จอาเก้านั้นสอดคล้องกับความชั่วของเหล่าขุนนาง แต่เมื่อลองไตร่ตรองดูก็พอจะเข้าใจได้ ตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่มีขุนนางผู้ซื่อสัตย์คนไหนสามารถก้าวขึ้นไปบนตำแหน่งที่สูงศักดิ์ได้ และขุนนางเหล่านั้นก็ไร้ซึ่งอำนาจ ถูกขจัดออกไปในท้ายที่สุด
หากเสด็จอาเก้าต้องการเอาชนะขุนนาง เขาไม่สามารถแสดงท่าทีเย่อหยิ่งและทำร้ายจิตใจของขุนนางเหล่านี้ได้
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว เรื่องบางเรื่องหากเจ้าไม่เต็มใจ เจ้าก็สามารถมองข้ามมันไปได้ ชิงเฉิน หากต้องการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ก็จำเป็นต้องมีอำนาจที่มากพอ กฎเกณฑ์ของขุนนางที่สืบทอดกันมานานกว่าพันปี มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในทันที จักรพรรดิองค์ก่อนเองก็เกลียดขุนนางเหล่านี้เช่นกัน ในเวลานั้น จักรพรรดิผู้ล่วงลับได้ตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่ว่าจะต้องลงโทษขุนนางทุจริตเหล่านี้ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ ขุนนางเกือบทั้งตงหลิงถูกกวาดล้าง และประเทศชาติต้องสั่นคลอน”
จริงอยู่ที่จักรพรรดิเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด แต่หากเขาเป็นศัตรูกับขุนนางทุกคน จักรพรรดิเองก็ไม่อาจเดินหน้าต่อไปได้ ในราชวงศ์ก่อนจึงมีเหตุการณ์ที่ขุนนางต่อต้านจักรพรรดิเกิดขึ้น
เฟิ่งชิงเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง นานกว่าจะเอ่ยปากออกมาว่า “เช่นนั้นเรื่องราวในวันนี้ เจ้าคิดจะจัดการกับมันเช่นไร?”
“ไม่ต้องจัดการอะไรทั้งนั้น พรุ่งนี้พวกเขาจะนำของขวัญมามอบให้อีกครั้ง แค่ปฏิเสธพวกเขาไปก็พอ จากนั้นก็ให้คนไปรายงานกับจักรพรรดิ ให้จักรพรรดิส่งคนมาสอบสวนผู้ตรวจการเมืองเหลียวเฉิงก็เพียงพอแล้ว” ในเมื่อปฏิเสธไปแล้วก็ต้องปฏิเสธให้ถึงที่สุด จากนั้นโยนความผิดทั้งหมดให้เป็นของขุนนางแห่งเมืองเหลียวเฉิง หากต้องการสืบหาความผิดของพวกเขาทั้งหมด แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย
“นี่……แบบนี้มันไม่มากเกินไปงั้นหรือ” สาเหตุทั้งหมดเกิดขึ้นจากนางจึงทำให้ขุนนางในเมืองเหลียวเฉิงต้องลำบาก เช่นนี้จะให้เฟิ่งชิงเฉินปล่อยไปได้อย่างไร
“มีอะไรเกินไปงั้นหรือ ในเมื่อทำให้ขุ่นเคืองก็ต้องกำจัดพวกเขาออกไป ไม่มีขุนนางคนไหนที่บริสุทธิ์เหมือนผ้าขาว มีเพียงยืนอยู่ถูกฝ่ายหรือไม่เท่านั้น หากพวกเขาไปขุ่นเคืองกับคนที่ไม่ควรขุ่นเคือง เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องอยู่อีกต่อไป”
จุดจบของผู้ตรวจการเมืองเหลียวเฉิง ในระหว่างที่เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินพูดคุยกัน ทุกอย่างได้ถูกตัดสินไปแล้ว วันต่อมา ในตอนที่เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินกำลังจะออกเดินทาง เหล่าขุนนางของเมืองเหลียวเฉิงก็นำของขวัญที่มีปริมาณมากกว่าเดิมถึงห้าส่วนมามอบให้อย่างที่คิด แต่เสด็จอาเก้าก็ยังคงปฏิเสธกลับไป
ขุนนางก็มีกฎเกณฑ์ของขุนนาง ก่อนหน้านี้เสด็จอาเก้าไม่รับของขวัญ เวลานี้เพิ่มมูลค่าเข้าไป หากเสด็จอาเก้ารับของขวัญเหล่านี้ไว้ เมื่อเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ชื่อเสียงของเสด็จอาเก้าจะเสียหายอย่างหนัก ทุกคนจะคิดว่าเสด็จอาเก้าเป็นคนโลภคนหน้ามืดตามัว
หลังจากนี้หากขุนนางคนไหนกระทำความผิด ต้องการให้เสด็จอาเก้าเปิดเส้นทางให้ หากของขวัญที่มอบให้ถูกปฏิเสธ ก็แค่มอบของขวัญที่มีมูลค่ามากกว่าเดิม หากเช่นนั้นยังถูกปฏิเสธ เสด็จอาเก้าก็จะถูกมองว่าเป็นผู้ถูกความโลภครอบงำ
และการรับของขวัญก็มีหลักการเช่นกัน เสด็จอาเก้าปฏิเสธจนถึงที่สุด ทุกคนก็แค่คิดว่าขุนนางของเมืองเหลียวเฉิงทำให้เสด็จอาเก้าต้องขุ่นเคือง ทุกอย่างก็เป็นเพียงโชคร้าย และไม่มีใครกล่าวหาเสด็จอาเก้าอีก
หลังจากออกจากเมืองเหลียวเฉิง ก่อนหน้านี้เสด็จอาเก้าทำเช่นไร หลังจากนี้เขาก็ยังคงทำเช่นนั้น เพื่อทำให้ขุนนางชั้นล่างสบายใจ หลังจากเสด็จอาเก้าออกไปจากเมืองเหลียวเฉิงไม่ถึงสิบวัน มีข่าวจากเมืองเหลียวเฉิงออกมาว่า เนื่องจากผู้ตรวจการของเมืองเหลียวเฉิงครอบครองที่ดินของประชาชน ทำลายชีวิตของผู้บริสุทธิ์ จึงถูกจับตัวไป
และขุนนางที่ใกล้ชิดกับผู้ตรวจการเองก็ถูกจำคุกในข้อหาก่ออาชญากรรมต่าง ๆ เช่นกัน……
เสด็จอาเก้ากล่าวว่าขุนนางของเมืองเหลียวเฉิงกดขี่ประชาชน พวกเขาสมควรตาย!