นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 1040 เลือก,ความโลภจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง
ใช่ ยกที่ดินเพื่อเป็นการชดใช้ค่าเสียหายของสงคราม!
เวลานี้เสด็จอาเก้าไม่เคยคิดจะครอบครองเมืองไถจง ต่อให้เขาสามารถนำเมืองไถจงมาไว้ในมือได้ แต่จักรพรรดิแห่งตงหลิงและหนานหลิงก็คงไม่มีทางปล่อยให้เมืองไถจงตกอยู่ในเอื้อมมือของเขา
มีเมืองไถจงอยู่ อย่างน้อยเขตแดนระหว่างหนานหลิงกับซานตงของตงหลิงก็ยังมีเมืองไถจงคอยขวางกั้นอยู่ หากไม่มีเมืองไถจง ทั้งสองประเทศก็จะไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นพรมแดน หากเป็นเช่นนั้นทั้งสองประเทศก็ต้องส่งกองกำลังทหารจำนวนมากมาเฝ้าระวัง ทำให้ต้องสูญเสียทรัพยากรไปโดยไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นตงหลิงหรือหนานหลิง พวกเขาต่างต้องการให้เมืองไถจงทำหน้าที่ขวางกั้นอยู่ตรงกลางทั้งนั้น
หนานหลิงไม่ต้องการเมืองไถจง แต่ต้องการเพียงเมืองเล็ก ๆ ไม่กี่แห่งที่อยู่ใกล้ ๆ ส่วนเสด็จอาเก้านั้นต้องการเงิน เมื่อทั้งสองฝ่ายร่วมมือกัน หลังจากทำให้เมืองไถจงหวาดกลัว เขาก็จะสั่งให้เมืองไถจงยกดินแดนใกล้กับเขตหนานหลิงให้หนานหลิง ส่วนพวกเขาก็จะรับเป็นค่าปฏิกรรมสงคราม
หลังจากเรื่องนี้จบลง เสด็จอาเก้าเชื่อว่าเมืองไถจงไม่มีทางฟื้นตัวได้ในระยะเวลาเพียงสิบหรือยี่สิบปี และเขาสามารถรับประกันได้ว่า เขาสามารถครอบครองเมืองไถจงได้ภายในระยะเวลายี่สิบปีนี้!
เรื่องอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนอยู่ในการคาดเดาของเสด็จอาเก้า แต่เรื่องบาดแผลที่หัวไหล่ของเฟิ่งชิงเฉินกลับอยู่นอกเหนือการคาดเดาของเขา
“นี่มันผ่านมากี่วันแล้ว? เหตุใดบาดแผลถึงได้ดูแย่ลงขึ้นทุกวัน?” เฟิ่งชิงเฉินไม่ดีมีร่างกายที่วิเศษเหมือนกับเสด็จอาเก้า ความเร็วในการฟื้นตัวจากบาดแผลของนางก็เหมือนกับคนปกติทั่วไป เรื่องนี้เสด็จอาเก้าเองก็รู้ดี เขายอมรับได้ในเรื่องที่บาดแผลของเฟิ่งชิงเฉินนั้นฟื้นตัวช้า แต่เขาไม่สามารถรับได้เมื่อเห็นบาดแผลของเฟิ่งชิงเฉินนั้นรุนแรงขึ้น
ด้วยความรู้สึกผิด เฟิ่งชิงเฉินประจบสอพลอ “อากาศมันร้อน ทำให้บาดแผลอักเสบ”
ต่อให้ตายเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่กล้าพูดออกมา ว่าทั้งหมดเป็นเพราะนางออกไปขวางท่านอ๋องสาม บาดแผลของนางจึงกำเริบถึงเพียงนี้
“งั้นหรือ?” เห็นได้ชัดว่าเสด็จอาเก้าไม่เชื่อ จับร่างของเฟิ่งชิงเฉินไว้ ถอดเสื้อคลุมของนางออก ถอดผ้าพันแผลและตรวจสอบด้วยตัวเอง
เฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทำได้เพียงปล่อยให้เสด็จอาเก้าตรวจสอบตามที่เขาต้องการ ในใจแอบคิดว่าเหตุใดจึงโคร้ายถึงเพียงนี้ นี่ก็ผ่านไปตั้งหลายวันแล้ว เหตุใดเสด็จอาเก้าจึงสังเกตเห็นมัน
เป็นอย่างที่คิด เมื่อเสด็จอาเก้าเห็นว่าบาดแผลของเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้มีการอักเสบแต่อย่างใด เขาพูดออกมาด้วยความไม่พอใจว่า “แผลอักเสบงั้นหรือ? หมอเฟิ่ง?”
เขาพูดคำว่า “หมอเฟิ่ง” ออกมา เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเรื่องร้ายกำลังมาเยือน นางจึงยิ้มและพูดออกไปว่า “เพิ่งจะหายจากอาการอักเสบ ข้ารับประกันได้ว่าอีกสองวันมันจะดีขึ้น จริง ๆ นะ”
“ไม่กี่วันก่อนเจ้าก็พูดกับข้าเช่นนี้” เสด็จอาเก้าปล่อยเฟิ่งชิงเฉิน ทำแผลให้กับเฟิ่งชิงเฉินด้วยตัวเอง เฟิ่งชิงเฉินเห็นว่าไม่อาจปฏิเสธได้ นางจึงทำได้เพียงปล่อยให้เสด็จอาเก้าทำตามความต้องการของเขา
บาดแผลตรงหัวไหล่ของเฟิ่งชิงเฉิน เดิมทีมันก็ไม่ได้น่าตกใจแต่อย่างใด หลังจากเย็บเสร็จมันก็ดูเหมือนรอยตะขาบ แต่เมื่อบาดแผลเปิดออก ด้ายที่ใช้เย็บแผลขาด เฟิ่งชิงเฉินนำด้ายที่ขาดออกมา บาดแผลไม่เพียงแต่เป็นสีแดงเท่านั้น แต่มันยังบวมมากขึ้น เมื่อมองดู ๆ ก็จะเห็นรอยเข็มที่แทงเข้าไป ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกขนหัวลุก
ทายาเสร็จ เสด็จอาเก้าพับผ้าพันแผลให้เฟิ่งชิงเฉินใหม่ เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินกัดริมฝีปากและอดทนกับความเจ็บปวด สุดท้ายเสด็จอาเก้าก็ใจอ่อน ยื่นมือออกไปลูบผมของเฟิ่งชิงเฉิน
“อีกสองวัน พวกเราจะเดินทางกลับเมืองหลวง ตอนแรกข้าคิดจะเดินทางไปยังเสวียนเซียวกงอีกสักรอบ แต่ด้วยสภาพของเจ้าในเวลานี้……จะให้ข้าวางใจได้อย่างไร” เสด็จอาเก้าแอบถอนหายใจ
อาการบาดเจ็บของเฟิ่งชิงเฉินรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ การเดินทางไปยังเสวียนเซียวกงคงต้องหยุดเอาไว้ก่อน
“ไปเสวียนเซียวกงเพื่ออะไร? เกิดเรื่องขึ้นกับเส้าฉีงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินถามออกมาด้วยความกังวล
เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงเฉินเรียกชื่อของเซวียนเส้าฉีอย่างสนิทสนม เสด็จอาเก้ารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เขาจึงพูดออกมาอย่างไม่มีความสุข “ประมุขเสวียนสบายดี ที่ไม่สบายนั้นเป็นผู้อื่น ช่างมันเถิด เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น จะไปหรือไม่ไปก็ไม่มีปัญหา”
ด้วยสภาพของเฟิ่งชิงเฉินในเวลานี้ทำให้ไม่อาจเดินทางต่อไปได้ และเรื่องที่เซวียนเส้าฉีพูดถึงก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร เสด็จอาเก้าจึงไม่พูดถึงมันอีก และออกคำสั่งให้เฟิ่งชิงเฉินพักผ่อนแต่โดยดี
“เรื่องของราวในซานตงได้จบลงแล้ว สิ่งที่ข้าทำได้มีเพียงเท่านี้ ที่เหลือคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของจักรพรรดิ เจ้ายังต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่?” ไม่ว่าจะจัดการกับตระกูลลู่หรือไม่ แต่เพื่อจัดการกับซากของท่านอ๋องสามที่อยู่ในซานตง ต่อให้เสด็จอาเก้าไม่ลงมือ จักรพรรดิก็ต้องลงมืออยู่ดี
“ไม่ เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าเสด็จอาเก้าไม่ต้องการใช้เวลาให้เสียเปล่าไปกับสิ่งซึ่งไร้ประโยชน์เหล่านี้ บางครั้งเสด็จอาเก้าก็จ้องมองไปที่เหมืองทองคำ
เหมืองทองคำเหมืองนั้นได้ทำการเริ่มขุดแล้ว และเห็นได้ว่าไม่มีกองทหารเข้ามาเกี่ยวข้องหรือรับรู้เรื่องราวของมัน เห็นได้ชัดว่ามันดีแค่ไหนที่ตระกูลลู่ปกปิดเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่แรก มันทำให้สิ่งที่เสด็จอาเก้าได้รับนั้นมหาศาลถึงเพียงนี้
นั่งอยู่เป็นเพื่อนเฟิ่งชิงเฉินครู่หนึ่ง จากนั้นเสด็จอาเก้าก็กลับมายังห้องหนังสือ สายลับเข้ามารายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นช่วงนี้
“ท่านอ๋อง ร่างกายขององค์รัชทายาทดีขึ้นมาแล้ว สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ หมอเทวดาน้อยซุนกล่าวว่าด้วยร่างกายขององค์รัชทายาท เวลานี้ต่อให้อยู่อีกกี่สิบปีก็ไม่มีปัญหา แต่องค์รัชทายาทกลับอยู่แต่ในเรือนแยก ไม่มีทีท่าว่าจะออกจากที่นั่นเลยแม้แต่น้อย หมอเทวดาน้อยซุนและพวกของหมอเทวดาชื่อเองก็ไม่กล้าที่จะออกมา”
“องค์รัชทายาท?” เสียงของเสด็จอาเก้าแฝงไว้ด้วยความเยือกเย็น สายลับที่ได้ยินรู้สึกว่าร่างกายของเขาแข็งทื่อ ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
องค์รัชทายาทจะต้องมีเหตุผลให้อยู่ต่อ พวกเขาเองก็รู้ แต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมา ซุนซือสิงเองก็น่าจะหมดหนทางถึงได้รายงานเสด็จอาเก้ามาเช่นนี้
เรื่องนี้ช่างจัดการได้ยากเหลือเกิน
เสด็จอาเก้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวออกมาว่า “ไปบอกองค์รัชทายาท ข้าได้เตรียมอิสระไว้ให้เขาเลือก ไม่ว่าจะกลับไปเมืองจักรพรรดิหรือลงไปเจียงหนาน ข้าก็รับประกันว่าจะส่งเจ้าไปอย่างปลอดภัย”
ส่วนผลที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น เขาเองก็ไม่สามารถรับประกันได้ เสด็จอาเก้ารู้ดี เขามีบุญคุณกับองค์รัชทายาทเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่านอ๋องสาม เรื่องขององค์รัชทายาทยังถือว่าพอยิ้มได้
“ขอรับ” สายลับถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็รายงานเรื่องอื่น ๆ ออกมา เสด็จอาเก้าฟังเรื่องราวอย่างละเอียด จัดการกับเรื่องที่จัดการได้ก่อน เรื่องที่จัดการไม่ได้ก็เอาไว้ทีหลัง วุ่นวายมาทั้งวัน พอกลับมาถึงห้องนอน เฟิ่งชิงเฉินก็หลับไปแล้ว
เสด็จอาเก้าขึ้นไปบนเตียงเบา ๆ โอบกอดเฟิ่งชิงเฉินไว้ในอ้อมแขนด้วยดวงตาที่เป็นทุกข์
สนมเอกเซี่ยใกล้จะคลอด ก่อนที่จะกลับไปถึงเมืองจักรพรรดิ เฟิ่งชิงเฉินจะต้องเข้าไปพัวพันเกี่ยวกับเรื่องของสนมในวังหลัง ไม่รู้ว่าเมื่อกลับไปถึงเมืองจักรพรรดิ จะมีอะไรรอเฟิ่งชิงเฉินอยู่บ้าง……
ในตอนที่เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินกำลังเตรียมตัวกลับเมือง องค์รัชทายาทและชิงอ๋องเองก็กำลังเตรียมตัวออกจากสถานที่พักฟื้น ส่วนจะไปที่ไหนต่อ เวลานี้องค์รัชทายาทยังไม่ได้ตัดสินใจ
“เสด็จพี่ ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกันแน่?” หลังจากชิงอ๋องเห็นร่างกายขององค์รัชทายาทฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ เขาไม่เพียงแต่ไม่มีความสุข เขารู้สึกหดหู่ สุดท้ายก็ทนไม่ไหวจนต้องถามออกมา
องค์รัชทายาทขมวดคิ้วด้วยความโศกเศร้า เขามองดูทิวทัศน์ที่ห่างไกลอย่างว่างเปล่า ดวงตาของเขาเหม่อลอย เขาหายใจเบา ๆ และพูดว่า “ข้าเองก็ยังไม่รู้ เวลานี้ข้อกำลังไตร่ตรองอยู่”
ในตอนที่เป็นโรคหัวใจ เพียงหวังว่าสามารถรักษาจนหายขาด มีร่างกายแข็งแกร่งและมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่หลังจากรักษาหายดีแล้ว เขากลับรู้สึกไม่พอใจ และมีสิ่งที่ต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เสด็จพี่ ท่านยังอยากกลับไปครอบครองตำแหน่งนั้นอย่างนั้นหรือ?” ชิงอ๋องเข้าใจความคิดขององค์รัชทายาท
ในเรือนแยกแห่งนี้ นอกจากซุนซือสิงที่เป็นเด็กผู้อุทิศตนให้กับการแพทย์ ก็ไม่มีใครรู้ความคิดที่แท้จริงขององค์รัชทายาท
“ข้าอยู่ห่างจากตำแหน่งนั้นเพียงแค่เอื้อม จะให้ข้าไม่คิดได้อย่างไร ขอแค่เสด็จพ่อจากไป ข้าก็จะกลายเป็นผู้สืบทอดโดยชอบธรรม” ความยิ่งใหญ่อยู่ตรงหน้า เมื่อก่อนเป็นเพราะร่างกายที่เจ็บป่วย เขาจึงต้องยอมปล่อยไปแต่โดยดี แต่เวลานี้……
ซุนซือสิงกล่าวว่า ตราบใดที่เขาไม่หักโหมร่างกายมากเกินไป ไม่ทำให้อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เขาก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหลายสิบปี เขาจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร
ชิงอ๋องเห็นว่าองค์รัชทายาทไม่ได้พูดเล่น เขารู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ เขาจึงกล่าวออกมาอย่างรับผิดชอบ “เสด็จพี่ ท่านไตร่ตรองให้ดี ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะสนับสนุนท่าน ไม่ว่าท่านจะเลือกทางไหน ข้าจะอยู่เคียงข้างท่านเสมอ”
เห็นอยู่ว่าเสด็จพี่ของเขานั้นตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนด้วยความมุ่งมั่น ทำให้เขาแอบรู้สึกดีใจที่สุดท้ายเสด็จพี่ของเขาก็ออกจากวงเวียนอันชั่วร้ายได้ แต่เหตุใดเวลานี้จึงไม่สามารถละทิ้งมันได้?
ตงหลิงชิงอ๋องส่ายหน้าพร้อมหายใจ เขาสงสัยว่าเฟิ่งชิงเฉินบิดเบือนจิตใจเสด็จพี่ของเขาหรือไม่ ถึงขั้นทำให้เสด็จพี่ของเขาคิดถึงเรื่องที่ไม่ควรนึกถึงเหล่านี้
“ข้า……ข้าต้องการเวลาคิดอีกสักเล็กน้อย” องค์รัชทายาทเองก็ถอนหายใจออกมา เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไรไป บางทีคนเราก็เป็นแบบนี้ ไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตนเองมี……
กลับไปยังเมืองจักรพรรดิหรือลงไปยังเจียงหนาน นี่คือปัญหา!