นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 1042 ช่วยชีวิต,วาสนาทางความรักของซุนซือสิง
เสด็จอาเก้าพูดคำว่าฮูหยินออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า พูดออกมาอย่างคล่องแคล่ว ทำให้เฟิ่งชิงเฉินนึกถึงบทกวีแห่งความปรารถนาในความรัก กลอนรักนางหนึ่งปรารถนา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แค่เพียงจ้องมองไปที่เสด็จอาเก้าเท่านั้น
เสด็จอาเก้ายิ้มโดยไม่พูดอะไร เห็นเฟิ่งชิงเฉินตกอยู่ในความเขินอาย เขาก็ไม่คิดหยอกล้อนางอีกต่อไป หยิบปืนที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา ปรับไปที่โหมดพร้อมยิงและเล็งไปทางนอกหน้าต่าง
“ฮูหยิน เจ้าลองเดาดูว่าข้าจะยิงโดนศีรษะหรือหัวใจ”
“ยิงไม่โดนตรงไหนทั้งนั้น” เฟิ่งชิงเฉินพูดจบถึงจะรู้สึกตัวว่าตนเองตอบสนองกับคำว่า “ฮูหยิน” นางเบือนหน้าหนีด้วยความเขินอาย
มุมปากของเสด็จอาเก้ายกขึ้น เป็นรอยยิ้มอันอ่อนโยน แต่วินาทีถัดมาเขาก็เก็บรอยยิ้มของเขากลับไป ความอ่อนโยนก็หายไป ถูกแทนที่ด้วยความเฉยเมยและเข้มงวด
บรรยากาศในรถม้าเปลี่ยนไปทันที เฟิ่งชิงเฉินหายใจช้าลงโดยไม่รู้ตัว นั่งเงียบ ๆ อยู่ด้านข้าง จับตาดูเสด็จอาเก้าโดยไม่กะพริบตา……
เสด็จอาเก้าจับจ้องไปที่ผ้าม่าน ราวกับเสือชีตาร์ที่พร้อมจะออกไปล่าเหยื่อ เปล่งรัศมีอาฆาตเย็นยะเยือกรอบตัวเขา ซึ่งทำให้ผู้คนสั่นสะท้าน
“ปัง!” เสด็จอาเก้าเหนี่ยวไกเบา ๆ ลูกกระสุนพุ่งออกไป ทะลุตรงกลางระหว่างคิ้วของชายชุดดำ
“ปัง!” ยิงออกมาไปอีกนัด……นัดนี้พุ่งตรงไปที่หัวใจของอีกฝ่าย
แม้ว่าจะไม่สามารถมองเห็นเป้าหมายผ่านม่านได้ แต่เสด็จอาเก้าก็ยังยิงทุกนัดด้วยความแม่นยำ และเสียงปืนที่ดังขึ้นช่วยลดความกดดันให้กับทหารได้อย่างมาก
เฟิ่งชิงเฉินอยู่หลังม่าน นางไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้ายิงโดนเป้าหรือไม่ รู้เพียงแค่ว่าท่าทางการยิงปืนของเสด็จอาเก้าจริงจังของเสด็จอาเก้า พร้อมปืนในมือทั้งสองข้างนั้นน่าหลงใหล
ผู้ชายที่จริงจังมีเสน่ห์มากกว่าผู้หญิงที่จริงจัง เสด็จอาเก้าไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แต่เขายังคงให้ความรู้สึกโอหังและเย่อหยิ่ง ซึ่งทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาได้……
เฟิ่งชิงเฉินเชื่อว่าขอแค่มีเสด็จอาเก้าอยู่ ต่อให้เส้นทางในการกลับไปยังเมืองหลวงจะไม่ปลอดภัย นางก็ไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งใด ไม่ว่าระหว่างทางจะอันตรายมากแค่ไหน นางและเสด็จอาเก้าก็สามารถกลับไปยังเมืองจักรพรรดิได้อย่างปลอดภัย
ในดินแดนซานตง เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินพบกับการซุ่มโจมตีในลักษณะเดียวกันถึงสามครั้ง ตอนแรกเสด็จอาเก้าก็ไม่มีท่าทีว่าจะยื่นมือเข้ามายุ่ง ปล่อยให้ทหารคนสนิทเป็นคนจัดการ แต่เมื่อเห็นทหารคนสนิทบาดเจ็บมากขึ้นเรื่อย ๆ เสด็จอาเก้าก็จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นเมื่อกลับถึงไปคอกม้า เขาคงไม่เหลือทหารคนสนิทแม้แต่คนเดียว……
การซุ่มโจมตีระหว่างทางนั้นมากเกินไป เพื่อความปลอดภัย โจ่วอั้นจึงแนะนำให้เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินใช้เส้นทางสายเล็ก เสด็จอาเก้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็ตอบตกลง
ผลลัพธ์ที่ตามมาหลังจากนั้นดีเป็นอย่างมาก การเดินทางในเส้นทางรอง การเดินทางในป่านั้นไม่เอื้ออำนวยต่อการสะกดรอยตามของเหล่านักลอบสังหารพวกนั้น เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บเองก็มีเวลาในการดูแลและรักษาตัวเอง
เฟิ่งชิงเฉินมีบาดแผลที่ไหล่ ไม่สามารถทำความสะอาดบาดแผลของทหารที่บาดเจ็บได้ ดังนั้นจึงสั่งให้ทหารตัวน้อยทำความสะอาดบาดแผลให้ทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ใช้ยาที่ดีที่สุดในการรักษาให้พวกเขา ต้องรู้ก่อนว่าทหารที่อยู่ข้างกายของเสด็จอาเก้าเป็นทหารคนสนิทของเขาทั้งหมด หากรักษาไว้ได้มากแค่ไหนก็เป็นเรื่องดีมากขึ้นเท่านั้น
“ตอนแรกข้าอยากให้เจ้าพักผ่อนให้สบาย คิดไม่ถึงเลยว่าจะทำให้เจ้าต้องเหนื่อยทั้งที่ยังบาดเจ็บ” ภายใต้แสงจันทร์ เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินออกมาเดินเล่นที่แม่น้ำสายเล็ก ๆ ที่ไม่ไกลจากกระโจม
“แค่พูดเพียงไม่กี่คำ ข้ายังไม่ได้ลงมือด้วยซ้ำ จะกล่าวว่าเหนื่อยได้อย่างไร เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเองก็เป็นหมอคนหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำ” บาดแผลอยู่ตรงหัวไหล่ ไม่ได้มีผลกระทบกับการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าเสด็จอาเก้านั้นเอะอะโวยวายเกินความเป็นจริง
“จริงอยู่ว่าเจ้าเป็นหมอ แต่เจ้ากลับไม่สามารถดูแลตัวเองให้ดีได้” เสด็จอาเก้ายกแขนเสื้อขึ้น นั่งยอง ๆ ริมแม่น้ำ น้ำผ้าเช็ดหน้าออกมาให้เฟิ่งชิงเฉิน ในตอนที่เฟิ่งชิงเฉินยื่นมือออกมารับผ้าเช็ดหน้าเขาก็ปฏิเสธ
“อย่าขยับ” เสด็จอาเก้าหยิบผ้าเช็ดหน้า เช็ดไปบนใบหน้าของเสด็จอาเก้าเบา ๆ มือทั้งสองข้าง……
แม้ว่าจะมีอันตรายรอบตัวพวกเขา พวกเขายังคงพูดคุยและหัวเราะได้อย่างอิสระ อันตรายเหล่านี้ไม่มีผลกระทบต่อพวกเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน พวกเขาล้วนนิ่งสงบและมีสติ และรู้จักวิธีการใช้ชีวิตให้สนุก จากท่าทางของพวกเขา ทำให้เห็นได้ว่าพวกเขาใส่ใจกันและกันเป็นอย่างมาก
โจ่วอั้นอยู่บนต้นไม้เล็ก ๆ ต้นหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกล เฝ้ามองทั้งสองพลอดรักกันใต้แสงจันทร์ด้วยความอิจฉาในสายตา
สองคนนี้……ช่างน่าอิจฉาเหลือเกิน ความเสน่หาระหว่างพวกเขาเป็นสิ่งที่ผู้คนนั้นโหยหา
ในชีวิตนี้ มันไม่ง่ายเลยที่จะหาคนที่สามารถเข้ากับตนเองได้ทั้งยามลำบากและยามสุข เขาตามหามานานหลายปีแต่ก็ยังหาไม่เจอ แต่เสด็จอาเก้าเพียงตามหาแค่คนเดียวกลับสมหวัง พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรมกับเขาเอาเสียเลย……
จริงอยู่ว่าพระเจ้านั้นไม่ยุติธรรม ซุนซือสิงจ้องมององครักษ์ผู้แข็งแกร่งที่นั่งอยู่บนหลังม้า เขาไม่รู้ว่าตนเองนั้นอ่อนแอเกินไปหรือว่าองครักษ์ที่เสด็จอาเก้าทิ้งไว้ให้เขานั้นแข็งแกร่งเกินไป
หลังจากเดินทางมาได้สามวัน เขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ร่างกายของเขาราวกับว่ากำลังจะแหลกสลาย ต้นขาด้านในของเขาเต็มไปด้วยแผลพุพอง หากไม่ใช่เพราะยาดีที่เขาพกติดตัวมา เกรงว่าตอนนี้ขาของเขาคงใช้งานไม่ได้ไปแล้ว
“คุณชายซุน ด้านหน้ามีโรงน้ำชาอยู่หนังหนึ่ง ท่านคิดว่าพวกเราควรจะพักผ่อนกันดีหรือไม่?” ในความเป็นจริง องครักษ์ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเห็นสภาพของซุนซือสิง พวกเขากลัวว่าหากเดินทางต่อไปซุนซือสิงคงตกจากหลังม้าเป็นแน่
ตอนแรกคิดว่าในฐานะลูกศิษย์ของเฟิ่งชิงเฉิน ทักษะการขี่ม้าของซุนซือสิงต้องยอดเยี่ยม แต่คิดไม่ถึงเลยว่า……พวกเขาประเมินซุนซือสิงสูงเกินไป หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้พวกเขาคงเตรียมรถม้ามาตั้งแต่แรก
“ได้” แม้ว่าซุนซือสิงอยากจะฝืนต่อไป แต่ภายใต้ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรง เขาทำได้เพียงปล่อยให้เหล่าองครักษ์ดูแล
มาถึงโรงน้ำชา องครักษ์หยุดม้า เดินมาด้านข้างของซุนซือสิง “คุณชายซุน ให้ข้าช่วยพยุงหรือไม่?”
ซุนซือสิงรู้สึกละอายใจมากจนแทบจะฝังหัวไว้ที่คอของเขา
อาจารย์บอกว่าเป็นหมอไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนนักรบ แต่ต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งเช่นกัน ไม่เช่นนั้นจะไม่อาจทำงานในสภาวะแรงกดดันสูงและใช้ระยะเวลานานได้ ดูเหมือนว่าเขาจะอ่อนแอจริง ๆ
ในโรงน้ำชามีผู้คนอยู่มากมาย และผู้ที่ดึงดูดสายตามากที่สุดก็คือหญิงสาวผู้แต่งตัวหรูหรากับชายชราที่มีผมยาวสลวย
รอบกายของหญิงสาวและชายชรามีองครักษ์และเด็กรับใช้อยู่ไม่น้อย ดูเหมือนรถม้าที่จอดอยู่รอบ ๆ น่าจะเป็นของพวกเขาทั้งหมด ซุนซือสิงเหนื่อยจนแทบทนไม่ไหว ไม่ได้สนใจหญิงสาวผู้นั้น แต่องครักษ์ที่อยู่ข้างกายของเขาให้ความสนใจเป็นพิเศษ และพาซุนซือสิงออกไปอย่างไร้ร่องรอย นั่งให้อยู่ห่างไกลจากพวกเขามากที่สุด
ด้วยสายตาขององครักษ์ แน่นอน พวกเขารู้ว่าพวกหญิงสาวและชายชรานั้นไม่ใช่คนธรรมดา
แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของซุนซือสิงจะไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่สามารถดึงดูดสายตาของใครได้ หญิงสาวและชายชราจึงไม่สังเกตเห็นเขา
“น้องชาย ขอชาหน่อย” องครักษ์ของซุนซือสิงนั่งลงพร้อมตะโกนออกมา
เวลานี้หญิงสาวและชายชราพักผ่อนจนพอแล้ว หญิงสาวพยุงชายชราขึ้นมาพร้อมกล่าวว่า “ท่านพอ โปรดระวังด้วย”
ชายชราที่มีผมขาวเต็มหัวซึ่งดูแล้วเหมือนปู่ของหญิงสาว แท้จริงแล้วเขาเป็นพ่อแท้ ๆ ของหญิงสาวผู้นั้น แต่ว่าไม่มีใครกล้าสงสัย เนื่องจากหญิงสาวและชายชรานั้นดูเป็นคนที่ไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายได้ง่าย ๆ
“ไม่เป็นไร” ชายชราตบไหล่ของหญิงสาวเบา ๆ แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อเดินไปถึงหน้าประตู จู่ ๆ ชายชราก็หยุดชะงัก ร่างกายของเขาชักเกร็ง ตาเหลือก จากนั้นก็ล้มลงพื้น
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ……ท่านเป็นอะไรไปงั้นหรือ โปรดอย่าทำให้ข้าตกใจ” ใบหน้าของหญิงสาวซีดขาว ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีพยุงชายชราขึ้นมา
“เจ้า……ท่านปู่ ท่านปู่” องครักษ์และสาวใช้ต่างรีบวิ่งเข้ามาเพื่อพยุงชายชรา
“หมอ หมอ รีบไปเรียกหมอไป๋มาเร็วเข้า” แม้หญิงสาวจะตกใจแต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนก นางรีบออกคำสั่งแก่องครักษ์ทันที
“ขอรับ คุณหนู” องครักษ์รีบวิ่งออกไปยังรถม้า หมอที่พวกเขาพามาด้วยในขณะเดินทางรออยู่บนรถม้า
โรงน้ำชานั้นใหญ่มาก แม้ซุนซือสิงจะจงใจนั่งอยู่ตรงมุมด้านใน แต่เรื่องที่เกิดขึ้นตรงประตูด้านนอก เขาก็ยังได้ยินและรับรู้ถึงมัน เห็นว่ามีคนร้องขอความช่วยเหลือ ด้วยสัญชาตญาณของหมอทำให้ซุนซือสิงลุกขึ้นยืนเพื่อตรวจสอบโดยไม่ตั้งใจ ด้วยความเร็วดังกล่าวแม้แต่องครักษ์ยังไม่อาจขวางเขาเอาไว้ได้
สีหน้าขององครักษ์เปลี่ยนไป รีบลุกออกไปทันที แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ซุนซือสิงเดินไปถึงด้านข้างของชายชราและหญิงสาว กล่าวออกมาด้วยใบหน้าจริงจัง “ข้าเป็นหมอ ให้ข้าดูอาการของเขาหน่อย”
สีหน้าขององครักษ์ซีดขาว ลังเลอยู่ว่าควรจะดึงตัวของซุนซือสิงกลับมาดีหรือไม่ การรักษาผู้คนนั้นเป็นเรื่องดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถรักษาได้ทุกวัน เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย……