นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 1056
“ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว เหนียงเหนียงออกแรงอีกหน่อยเพคะ”
นางผดุงครรภ์เช็ดเหงื่อไปพร้อมกับตะโกนออกมา แม้ว่านางจะได้ประโยชน์จากฮองเฮา ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ในการฆ่าแม่เหลือลูกไว้ แต่ในห้องคลอดมีคนอยู่มากมายถึงเพียงนี้ ประกอบกับมีเฟิ่งชิงเฉินอยู่ด้วย แน่นอนว่านางไม่กล้าลงมือสุ่มสี่สุ่มห้า
อีกอย่าง ด้วยสถานการณ์ของสนมเอกเซี่ยในเวลานี้ มันไม่ได้หนักหนาเหมือนกับที่นางผดุงครรภ์พูดไว้ในตอนแรก ในพระราชวัง หากอาการป่วยรุนแรง หมอหลวงและนางผดุงครรภ์จะต้องอธิบายออกมาอย่างหนักแน่น เนื่องจากเหตุดังกล่าว หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมากับพระสนมจากความเจ็บป่วย พวกเขาก็คงไม่อาจรอดพ้นไปได้ เช่นเดียวกัน หากสามารถช่วยเอาไว้ได้ มันก็หมายความว่าความสามารถของพวกเขานั้นสูงส่ง ไม่ว่าโรยร้ายจะรุนแรงแค่ไหน พวกเขาก็สามารถรักษามันจนหายได้
“อร๊าย……” ร่างกายของสนมเอกเซี่ยไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เจ็บปวดจนแทบหมดสติ เมื่อได้ยินเสียงของนางผดุงครรภ์ นางกลั้นหายใจ ช้ำพละกำลังทั้งหมดที่มีในร่างกาย หลังจากนั้นก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างหลุดออกมาจากท้องของนาง
หู้ว……สนมเอกเซี่ยนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ไม่อาจเคลื่อนไหวได้
“ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว เหนียงเหนียง คลอดออกมาแล้ว” ได้ยินคำพูดนี้ของนางผดุงครรภ์ สนมเอกเซี่ยพยายามฝืนสังขารตนเอง กล่าวออกมาอย่างอ่อนแรง “ไป อุ้มเด็กมาให้ข้าหน่อย”
“เพคะ” นางผดุงครรภ์ตัดสายสะดือและอุ้มจักรพรรดิน้อยออกมา ผ่านไปครู่หนึ่งเห็นจักรพรรดิน้อยไม่ส่งเสียง นางผดุงครรภ์เตรียมที่จะตีก้นของจักรพรรดิน้อย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็น……
“อร๊าย……” นางผดุงครรภ์ร้องออกมาด้วยความตกใจ มือทั้งสองข้างปล่อยออก จักรพรรดิน้อยที่ยังไม่ได้สวมผ้าอ้อมดิ่งลงสู่พื้น เด็กทารกตัวขาว แม้แต่ร้องออกมายังทำไม่ได้ เช่นนั้นจะช่วยตนเองได้อย่างไร
“ไม่……” สนมเอกเซี่ยตะโกนออกมาพร้อมกับหัวใจที่แทบแหลกสลาย สนมเอกเซี่ยที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงลุกขึ้นและล้มลงพื้นในทันใด “ลูกของข้า……”
เฟิ่งชิงเฉินคอยระมัดระวังนางผดุงครรภ์มาโดยตลอด นางตอบสนองทันทีที่ได้เห็นนางผดุงครรภ์ปล่อยมือ……
“ระวัง” หากเด็กตกลงพื้นจะต้องเสียชีวิตเป็นแน่ หัวใจของเฟิ่งชิงเฉินแทบหยุดเต้น พุ่งออกไปโดยไม่คิดอะไรทั้งนั้น
เสียงกระแทกพื้นดังขึ้น ร่างของเฟิ่งชิงเฉินล้มลงสู่พื้น รู้สึกเจ็บตรงหน้าอก แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ยังยิ้มออกมา เนื่องจากจักรพรรดิองค์น้อยอยู่ในอ้อมกอดของนาง
“เยี่ยมไปเลย” หัวใจของเฟิ่งชิงเฉินสงบลง และในตอนนี้นางผดุงครรภ์เองก็ได้สติกลับคืนมาแล้ว เสียงคุกเข่าดังขึ้นอย่างชัดเจน ก้มศีรษะลงพื้นอย่างรุนแรง “ข้าสมควรตาย ข้าสมควรตาย”
แต่ในเวลานั้น ทุกคนกำลังยุ่ง ไม่มีใครสนใจนางเลยแม้แต่น้อย สนมเอกเซี่ยเห็นจักรพรรดิน้อยอยู่ในมือของเฟิ่งชิงเฉิน นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก หมดสติไปพร้อมกับดวงตาที่มืดมน
“เหนียงเหนียง เหนียงเหนียง” สาวใช้และหมอหลวงผู้หญิงกระวนกระวาย รีบพยุงสนมเอกเซี่ยขึ้นไปบนเตียง ช่วยเหลือสนมเอกเซี่ยอย่างสุดความสามารถ เกรงว่าสนมเอกเซี่ยจะต้องจากไปเพราะเหตุดังกล่าว
ในห้องเต็มไปด้วยความโกลาหล จักรพรรดิและฮองเฮาจะไม่รู้ได้อย่างไร จักรพรรดิรีบส่งคนเข้ามาถาม เฟิ่งชิงเฉินอุ้มจักรพรรดิน้อยไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็พยุงนางผดุงครรภ์ขึ้นมาพร้อมกล่าวอย่างเฉียบขาดว่า “บอกไปว่าสนมเอกเซี่ยหมดสติเพราะตกเลือด”
ไม่ใช่ว่านางต้องการสาปแช่งสนมเอกเซี่ย แต่มีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้นที่ทำให้คนด้านนอกไม่ซักถามอะไรเพิ่ม
นางผดุงครรภ์ก็เป็นคนที่รู้จักหนักเบา นางรู้ว่าวันนี้นางทำความผิดอันยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นต้องให้เฟิ่งชิงเฉินพูดอะไรมาก นางจึงตะโกนออกไปว่า “แย่แล้ว แย่แล้ว เหนียงเหนียงตกเลือด เหนียงเหนียงตกเลือด”
“ว่าไงนะ? ตกเลือด? รีบไปเรียกหมอหลวงมาเร็ว” เสียงของนางผดุงครรภ์ดังมาก ทุกคนที่อยู่ด้านนอกต่างได้ยิน
แม้ว่าจักรพรรดิจะรับสั่งว่าช่วยชีวิตของเด็กเอาไว้ แต่ในเมื่อสนมเอกเซี่ยยังมีลมหายใจอยู่ แน่นอนว่าจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือ ฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นจึงรีบเรียกหมอหลวงมาทันที
“ไม่จำเป็น มีเฟิ่งชิงเฉินอยู่” จักรพรรดิอยู่ในความสงบ
ฮองเฮาได้ยินประโยคดังกล่าว นางรู้สึกเสียใจและดีใจในเวลาเดียวกัน ชีวิตของนางนั้นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ในฐานะผู้หญิงของจักรพรรดิด้วยกัน สนมเอกเซี่ยในวันนี้อาจจะเป็นนางในวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้……
ไล่คนข้างนอกออกไป เฟิ่งชิงเฉินไม่มีเวลาว่างมาสนใจนางผดุงครรภ์ นางวางจักรพรรดิน้อยลงบนโต๊ะ จากท่าทางของจักรพรรดิน้อย เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเหตุใดนางผดุงครรภ์ถึงรู้สึกตกใจ
ปากของจักรพรรดิน้อยถูกบางสิ่งบางอย่างปิดกั้นอยู่ ใบหน้ามีสีม่วงเล็กน้อย และที่สำคัญที่สุดก็คือ……มีชิ้นส่วนขาดหายไปจากใต้โครงจมูกของจักรพรรดิน้อย นั่นก็คือริมฝีปากสามกลีบ
มีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเล็กน้อย ในยุคปัจจุบันถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ในยุคนี้มันคือรูปลักษณ์แปลกประหลาด
เกิดมาพร้อมกับความผิดปกติ มีผิวฟกช้ำ ในสายตาของนางผดุงครรภ์ นี่คือการตายคลอด มันสมเหตุสมผลสำหรับนางที่จะหวาดกลัวจนพลาดพลั้ง แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่เข้าใจ เหตุใดนางผดุงครรภ์ในพระราชวังถึงมีระดับต่ำกว่ามาตรฐานเช่นนี้?
แน่นอน เฟิ่งชิงเฉินไม่มีเวลาโต้เถียงกับนางผดุงครรภ์ นางเอนตัวไปดูดสิ่งสกปรกที่อยู่ตรงปากของจักรพรรดิน้อยออกมา ทันทีที่สนมเอกเซี่ยตื่นขึ้น นางก็ได้เห็นฉากดังกล่าว น้ำตาของนางไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว “ชิงเฉิน ลูกของข้า……”
วันนี้ช่างเป็นวันที่สวรรค์ลงโทษสนมเอกเซี่ยจริง ๆ ก่อนหน้านี้นางคลอดยาก ทันทีที่คลอดออกมานางก็ตกลงมาจากเตียง ร่างกายของนางอ่อนแอเป็นอย่างมาก
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ตอบคำถามของสนมเอกเซี่ย เห็นจักรพรรดิน้อยหายใจอย่างอ่อนแรง เฟิ่งชิงเฉินตบบั้นท้ายของจักรพรรดิน้อย จักรพรรดิน้อยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ที่ร้องออกมานั้นไม่ได้ร้องออกมาเพราะความโกรธ มันเป็นเสียงร้องที่ฟังดูแล้วเหมือนเป็นเด็กสุขภาพดี
ในที่สุดหัวใจของสนมเอกเซี่ยก็คลายตัวลง “ลูกข้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
ฉากที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นั้นน่าตกใจยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะเฟิ่งชิงเฉินตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว จักรพรรดิจักรพรรดิน้อยคงตายด้วยเนื้อมือของนางผดุงครรภ์ไปแล้ว เมื่อนึกถึงตรงนี้ สนมเอกเซี่ยอยากจะกลืนกินนางผดุงครรภ์เข้าไปทั้งตัว
“เหนียงเหนียง จักรพรรดิน้อยเขา……” เฟิ่งชิงเฉินสามารถอธิบายกับครอบครัวของผู้ป่วยได้อย่างเย็นชาว่าอาการของผู้ป่วยไม่อาจรักษาได้ หรือผู้ป่วยหมดโอกาสรอด แต่นางไม่สามารถพูดกับแม่ของเด็กได้ว่า ลูกของนางมีปัญหา
“มีอะไรงั้นหรือ?” สนมเอกเซี่ยได้ยินเช่นนั้นก็ไม่สนร่างกายที่อ่อนแอ พยายามลุกขึ้นมานั่งบนพื้น การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ร่างกายเจ็บปวดเป็นอย่างมาก มีเลือดไหลออกมาจากต้นขาของนาง
หลังจากผ่านเหตุการณ์วุ่นวาย ไม่มีใครมีเวลาทำความสะอาดร่างกายให้สนมเอกเซี่ย บรรยากาศในห้องคลอดมืดมนจนน่ากลัว ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ทุกคนยืนอยู่ที่เดิมราวกับว่าตนเองไม่มีตัวตน
คนในพระราชวังต่างเป็นผู้มีความคิด พวกนางรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เกรงว่าจักรพรรดิน้องจะต้องมีปัญหาเป็นแน่ เฟิ่งชิงเฉินรู้ เรื่องนี้ไม่อาจปิดบังสนมเอกเซี่ยได้ นางจึงอุ้มจักรพรรดิน้อยไปตรงหน้าของสนมเอกเซี่ย
ทารกแรกเกิดมีสีแดงและเหี่ยวย่น ดูไม่ได้เลยจริง ๆ จักรพรรดิน้อยอยู่ในช่องคลอดมาเป็นเวลานาน ศีรษะของเขาผิดรูปเล็กน้อย ผิวพรรณเองก็ยังไม่กลับมาเป็นสีแดง แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรสนมเอกเซี่ยก็รู้สึกว่าลูกของนางนั้นน่านัก จนกระทั่ง……
“ปากของเขา เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?” ใบหน้าของสนมเอกเซี่ยเต็มไปด้วยความตกใจ นิ้วมือของนางสั่นเทา ใบหน้าอันซีดขาวของนางซีดขาวมากกว่าตอนแรกเสียอีก
“เหนียงเหนียง ริมฝีปากของจักรพรรดิน้อยหายไปบางส่วน หรือก็คือปากแหว่งตั้งแต่กำเนิด” แม้ว่าในใจของเฟิ่งชิงเฉินยากจะยอมรับ แต่นางก็ยังพูดออกมาเหมือนปกติ ใครใช้ให้นางเป็นหมอกันเล่า
“ปากแหว่งตั้งแต่กำเนิด? ลูกของข้าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เจ้าจะต้องทำอะไรผิดพลาดเป็นแน่ ลูกของข้าจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร……” สนมเอกเซี่ยแทบทนไม่ไหว กอดจักรพรรดิน้อยไว้ในอ้อมแขน ส่ายหน้าอย่างต่อเนื่อง
“ฮือ ฮือ ฮือ……ชิงเฉิน เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เหตุใดลูกของข้าถึงได้เป็นเช่นนี้ หมอหลวงพูดอยู่ตลอดว่าร่างกายของจักรพรรดิน้อยนั้นสมบูรณ์แข็งแรง” สนมเอกเซี่ยยากจะยอมรับ ความเจ็บปวดและการโทษตัวเองกำลังครอบงำ แต่ไม่กล้าร้องออกมาเสียงดัง เกรงว่าจักรพรรดิที่อยู่ด้านนอกจะได้ยินเสียง จึงทำได้เพียงสะอื้นอย่างสิ้นหวัง
นางจำได้แล้ว ตอนแรกที่เฟิ่งชิงเฉินตรวจร่างกายของนาง เฟิ่งชิงเฉินบอกว่าดูเหมือนร่างกายของเด็กจะไม่ค่อยดี แนะนำให้นางเอาเด็กออก แต่นางทำใจที่จะเสียจักรพรรดิน้อยไปไม่ได้ ดังนั้น……ทุกอย่างถึงได้กลายเป็นเช่นนี้
เมื่อนึกถึงตรงนี้ สนมเอกเซี่ยก็ยิ่งรู้สึกปวดร้าว “ชิงเฉิน เจ้าว่านี่คือวิบากกรรมหรือไม่ ข้าทำไม่ได้กับองค์รัชทายาท แต่หากเป็นวิบากกรรมจริง ๆ วิบากกรรมนี้มันก็ควรมาตกอยู่ที่ข้าเซี่ยเหยียนไค ไม่ใช่ลูกชายของข้าที่ไร้ความผิดและไร้เดียงสาเช่นนี้……”
“เหนียงเหนียง……” เฟิ่งชิงเฉินสูดลมหายใจเข้า ไม่รู้ว่าควรอธิบายออกไปอย่างไร
ไม่มีแม่คนไหนสามารถยอมรับกับเรื่องพวกนี้ได้อย่างใจเย็น