นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 1071 สั่งสอน,ปราบปราม

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 1071

สุดท้ายเฟิ่งชิงเฉินก็เชื่อฟังคำพูดของเสด็จอาเก้าแต่โดยดี ค้างที่จวนอ๋องเก้าหนึ่งคืนและค่อยเดินทางกลับจวนเฟิ่งในวันพรุ่งนี้

นางจำเป็นต้องฟื้นฟูสภาพจิตใจ มีเพียงแบบนี้เท่านั้น นางถึงมีพลังไปสู้กับปีศาจตัวน้อยนั่น ไม่อย่างนั้นไม่ช้าก็เร็วนางคงไม่ต่างอะไรกับหมอที่เคยรักษาเขาเหมือนที่ผ่านมา ก็คือไม่ตายก็เป็นบ้า

ผู้หญิงกับผู้ชายนอนบนเตียงเดียวกัน คงยากที่จะหลีกเลี่ยงการกระทำบางอย่าง แต่ด้วยสภาพจิตใจของเฟิ่งชิงเฉินในเวลานี้ เสด็จอาเก้าจึงกอดเฟิ่งชิงเฉินไว้ในอ้อมแขน พลิกตัวไปบนเตียงรอบหนึ่ง จากนั้นก็ปล่อยนางไป

หลังจากผ่านการออกกำลังกาย การนอนหลับก็ยิ่งสบายขึ้น เฟิ่งชิงเฉินนอนหลับสนิท หลังจากตื่นขึ้นมาก็พบว่าสภาพจิตใจนั้นดีขึ้นมาก ความหดหู่ของเมื่อวานหายไป ใบหน้าสดใส และพ่อบ้านชราก็ยิ้มให้นางด้วยความนับถือ

วัยรุ่นนี่นะ ควรจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันให้มาก ๆ แบบนั้นถึงจะทำให้สภาพจิตใจและอารมณ์คงที่ เห็นเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินเดินออกมาพร้อมกัน พ่อบ้านจึงรีบสั่งให้คนรับใช้จัดวางอาหารเช้าทันที

อาหารเช้าในวันนี้อุดมสมบูรณ์มากกว่าปกติ และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือเลือดกวางสีแดงในถ้วย ท่านอ๋องเก้าเหลือบมองหน้าของพ่อบ้านชรา พ่อบ้านหรี่ตาลงเล็กน้อยด้วยใบหน้าอันภาคภูมิใจ

เสด็จอาเก้าเก็บสายตากลับมาด้วยความไม่พอใจ ทำเหมือนพ่อบ้านชราเป็นเลือดกวาง และไม่มองไปที่เขาอีก

เสด็จอาเก้าแอบถอนหายใจที่เจ้านายไม่มีความจริงใจเอาเสียเลย เมื่อคืนวานพวกเขากลิ้งอยู่บนเตียงตั้งหลายรอบ แน่นอนว่าพ่อบ้านชรารู้เรื่องที่เกิดขึ้น มันช่างเป็นสิ่งที่ทำให้คนพูดไม่ออกเสียจริง

หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินก็ออกจากจวนมาพร้อมกัน เฟิ่งชิงเฉินคิดว่าเสด็จอาเก้าจะเดินออกมาส่งนางเท่านั้น จึงไม่ได้ถามอะไรมาก แต่เมื่อเห็นเสด็จอาเก้าขึ้นรถม้าคันเดียวกับนาง นางจึงถามออกมาด้วยความสงสัยว่า “เจ้าจะไปจวนเฟิ่งกับข้างั้นหรือ?”

“อื้อ” เสด็จอาเก้านั่งลงบนรถม้าและตอบกลับมาโดยท่าทาง

“เจ้ายุ่งมาเลยไม่ใช่หรือ?” มีคนคอยสนับสนุน แม้ในใจของเฟิ่งชิงเฉินจะรู้สึกดีใจ แต่นางกังวลว่าจะทำให้เสด็จอาเก้าเสียเวลากับเรื่องสำคัญมากกว่า

“ต่อให้ยุ่งแค่ไหนมันก็ไม่ได้เสียเวลาขนาดนั้น” เมื่อรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินถูกคนทรมานในจวนเฟิ่ง เขาจะนิ่งดูดายอยู่ได้อย่างไร เขาเองก็อยากเห็นนายน้อยเจ๋อเจ๋ออยู่เหมือนกัน เด็กอายุเพียงหกขวบ ต้องบอกเลยว่าเป็นเด็กที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก

“อื้อ อื้อ อื้อ” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าติดต่อกันหลายครั้งด้วยความรู้สึกประทับใจ

นักรบที่แท้จริงกล้าเผชิญกับความท้าทาย และเสด็จอาเก้าก็เป็นนักรบที่แท้จริงผู้นั้น

มีเสด็จอาเก้าอยู่เป็นเพื่อน เฟิ่งชิงเฉินอารมณ์ดีขึ้นมา ไม่ต้องพูดถึงว่าจะทำอย่างไรกับเจ๋อเจ๋อ อย่างน้อยก็มีคนกล้าได้กล้าเสีย เดินเข้าไปยังจวนเฟิ่ง นางก็ไม่มีทางตื่นตระหนก

ไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินคิดมากเกินไปหรือมีอะไรผิดปกติ นางรู้สึกว่าตั้งแต่เจ๋อเจ๋อเข้ามาในจวนเฟิ่ง ประตูสีแดงชาดสองบานนั้นของจวนเฟิ่งก็มีรัศมีแห่งความเยือกเย็นแอบแฝงอยู่

เฟิ่งชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะตัดสั่น

“เป็นอะไรงั้นหรือ? หรือว่าหนาว?” เสด็จอาเก้าถามออกมาด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เป็นอะไร” เฟิ่งชิงเฉินรีบตอบกลับไป

นางไม่อาจบอกกับเสด็จอาเก้าได้ว่า นางรู้สึกหวาดกลัวบ้านของตนเอง เช่นนั้นจะเป็นเรื่องน่าอายอย่างมาก

“ไม่มีอะไรก็เข้าไปได้แล้ว”

เสด็จอาเก้าเดินอยู่ด้านหน้า ปกป้องเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ด้านหลัง ส่วนองครักษ์ที่คอยปกป้องเขา เสด็จอาเก้าไม่ได้พามาด้วยสักคน เขาไม่ได้ต้องการพึ่งพาความกล้าหาญของใคร ต่อให้เด็กคนนั้นจะมีวิธีการที่โหดเหี้ยมแค่ไหน เขาก็เป็นเพียงแต่เด็กอายุหกขวบ

มันเป็นเพียงปลายฤดูใบไม้ผลิ แต่จวนเฟิ่งในเวลานี้เต็มไปด้วยความหดหู่ แม้ว่าจะไม่มีบรรยากาศนองเลือด แต่ก็ยังให้ความรู้สึกที่เยือกเย็น ทำให้เสด็จอาเก้าอดไม่ได้ที่จะนับถือความสามารถและวิธีการของเจ๋อเจ๋อ

ผู้ที่ออกมาจากลัทธิปีศาจนั้นแตกต่างออกไปอย่างที่คิด เด็กอายุเท่านี้กลับมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใด ต่างสามารถทำให้มันเป็นเหมือนสถานที่หนึ่งของลัทธิปีศาจได้

เสด็จอาเก้าเดินเข้ามาพักหนึ่งก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของใคร ด้านในจวนสะอาดจนน่าตกใจ เสด็จอาเก้าขมวดคิ้วขึ้นมา ถามเฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตา เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้าเพื่อบ่งบอกว่าตนเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

น่าจะเป็นเพราะว่าวันนี้อารมณ์ของนายน้อยเจ๋อเจ๋อเป็นปกติ ดังนั้น……เขาจึงไม่สร้างบรรยากาศนองเลือดขึ้นมา

“พาทุกคนออกมาเดี๋ยวนี้” จนกระทั่งเดินไปสุดทางของห้องรับรอง เสด็จอาเก้าไม่เห็นแม้แต่เงาของใคร เขาจึงเอ่ยปากออกมาอย่างเยือกเย็น

“ขอรับ” ไม่รู้ว่าเสียงดังมาจากทางไหน มันเป็นเสียงของการตอบรับ จากนั้นก็เห็นลมหายใจล่องลอยออกมา ราวกับเป็นสิ่งของบางอย่างที่สกปรกลอยมาจากทางด้านหลัง เฟิ่งชิงเฉินลูบแขนของตัวเอง แสดงให้เห็นว่าความกล้าของนางลดลงแล้ว

“ไป เข้าไปรอ” เข้ามาในจวน เสด็จอาเก้าก็ไม่ได้หวาดระแวงหรือระมัดระวังอะไรมากขนาดนั้น เขาจูงมือเฟิ่งชิงเฉินเดินเข้าไปในจวน

ไม่มีคนรับใช้อยู่ในจวนเฟิ่ง ดังนั้นจึงไม่ต้องคาดหวังเกี่ยวกับเรื่องของชาร้อนและขนมหวานที่จัดเตรียมไว้ ต่อให้มีการจัดเตรียมไว้เฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้าก็ไม่มีทางสัมผัสมัน เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าเจ๋อเจ๋อใส่อะไรลงไปบ้าง

ทั้งสองคนรออยู่ครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มนุ่งห่มผ้าสไบสีแดง ใบหน้าบอบบาง นัยน์ตาใสซื่อ สวมปลอกคอสีทองพร้อมกับกางเกงขาสั้นเดินออกมา ด้านหลังมีองครักษ์ยืนอยู่สองแถว เมื่อลองนับจำนวนดูคร่าว ๆ ก็น่าจะประมาณสามสิบถึงสี่สิบคน

“นายน้อยเจ๋อเจ๋อ” เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นยืน กล่าวทักทายด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก

“สวัสดีหมอเฟิ่ง” เจ๋อเจ๋อทำความเคารพเฟิ่งชิงเฉินด้วยรอยยิ้มอันสดใสบนใบหน้า

เฟิ่งชิงเฉินยกริมฝีปากของนางเบา ๆ เพื่อเผยให้เห็นรอยยิ้มอันแข็งทื่อ เวลานี้แค่นางได้เห็นเจ๋อเจ๋อก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัวแล้ว

นึกถึงตอนแรกที่ได้พบกัน เฟิ่งชิงเฉินเคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้บนใบหน้าของเจ๋อเจ๋อ นางแอบถอนหายใจอยู่ในใจ เด็กที่น่ารักและมีมารยาทเช่นนี้ กลับมีอาการป่วยอันรุนแรงแฝงไว้ในร่างกาย สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมยิ่งนัก นางไม่อยากให้เด็กคนนี้มีรูปร่างเหมือนเทวดาที่สวมหัวใจของปีศาจอันชั่วร้ายอยู่

หลังจากเจ๋อเจ๋อกล่าวทักทายเฟิ่งชิงเฉินเรียบร้อย เขาก็หันไปมองเสด็จอาเก้า รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันไร้เดียงสา ดวงตาที่สดใสราวกับหิมะบริสุทธิ์ ถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจว่า “หมอเฟิ่ง คุณลุงท่านนี้เป็นใคร?”

ดูสิว่าเขาปากหวานแค่ไหน แต่ใครจะไปคิดว่าเด็กที่มีท่าทางเช่นนี้ กลับมีวิธีการและจิตใจอันโหดร้าย

“ข้าแซ่ตงหลิง อยู่ในอันดับที่เก้า เจ้าสามารถเรียกข้าว่าเสด็จอาเก้าหรือท่านอ๋องเก้าก็ได้ ส่วนคำว่าลุงนั้นไม่จำเป็น ข้าไม่อาจรับมันไว้ได้” อย่าคิดว่าเสด็จอาเก้ารู้ถึง “จุดประสงค์ที่แท้จริง” ของเจ๋อเจ๋อ ต่อให้ไม่รู้ เสด็จอาเก้าก็ไม่มีทางมีความรู้สึกที่ดีกับเด็กที่ดูน่ารักและเชื่อฟังแบบนี้

“สวัสดีเสด็จอาเก้า” เจ๋อเจ๋อประสานมือทั้งสองข้างของเขาเพื่อกล่าวทักทายเสด็จอาเก้า ซึ่งดูเป็นการทักทายที่น่ารักและเคารพ

ในความเป็นจริง หากเจ๋อเจ๋อไม่ได้ป่วย เขาก็ถือได้ว่าเป็นเด็กดีคนหนึ่ง เหมือนกับที่เป็นอยู่ในตอนนี้

“นั่งลงเถอะ” เสด็จอาเก้ากวาดสายตามองเหล่าองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังของเจ๋อเจ๋อ เขาเอ่ยปากออกมาอย่างนิ่งสงบ “พวกเจ้าออกไปเถอะ มีข้าอยู่ นายน้อยของพวกเจ้าไม่มีทางเป็นอะไร”

แม้ว่าน้ำเสียงจะฟังดูนิ่งสงบ แต่มันก็เผยให้เห็นถึงความสง่างามที่ยากจะปฏิเสธ เหล่าองครักษ์มองหน้ากัน แสดงสีหน้าลำบากใจออกมา

“อย่าให้ข้าต้องพูดเป็นครั้งที่สาม ออกไป” ครั้งนี้เสด็จอาเก้าเริ่มไม่เกรงใจ ใบหน้าของเหล่าองครักษ์แสดงให้เห็นถึงความกังวล พวกเขาไม่กล้าอยู่ห่างจากเจ๋อเจ๋อ แต่ก็ไม่กล้าทำให้เสด็จอาเก้าต้องขุ่นเคือง

ก่อนเดินทางมายังเมืองจักรพรรดิ พวกเขาก็เขาใจถึงขอบเขตอำนาจในตงหลิง ผู้นำลัทธิปีศาจเองก็ย้ำเตือนพวกเขามาเป็นพิเศษ พวกเขาสามารถมีเรื่องกับใครก็ได้ในตงหลิง ยกเว้นเสด็จอาเก้าคนเดียวเท่านั้นที่ไม่อาจขุ่นเคืองได้

แน่นอนว่าหากปัญหาที่เกิดขึ้นมาถึงจุดที่พวกเขาต้องเป็นศัตรูกัน ลัทธิปีศาจก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ เต็มที่ก็แค่ตายกันทั้งหมด และคนของลัทธิปีศาจก็ไม่มีใครเกรงกลัวต่อความตาย

แม้ว่าเจ๋อเจ๋อจะอายุได้เพียงแค่หกขวบ แต่เขาก็ค่อนข้างรู้เรื่องรู้ราว และเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ทั่วไป เขาก็อาจจะทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ เมื่อเห็นเสด็จอาเก้าเริ่มไม่พอใจ เขาก็รับไล่องครักษ์ออกไปทันที

ในห้องรับรอง มีเพียงแค่เสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินและเจ๋อเจ๋อสามคนเท่านั้น เฟิ่งชิงเฉินก้มหน้าทำเหมือนว่าตนเองไม่ได้อยู่ที่นี่

ช่วยไม่ได้ ผู้ชายสองคนนี้ เด็กคนหนึ่ง ผู้ใหญ่คนหนึ่ง พวกเขาได้เผชิญหน้ากันทันทีหลังจากที่องครักษ์พวกนั้นออกไป

นี่เป็นครั้งแรกที่เฟิ่งชิงเฉินได้เห็นว่ามีคนอื่นที่สามารถเผชิญหน้ากับเสด็จอาเก้าได้นานถึงเพียงนี้และไม่สั่นคลอนนอกจากหวังจิ่นหลิง หากบอกว่าเจ๋อเจ๋อมีจิตวิปริต เช่นนั้นเสด็จอาเก้าก็วิปริตเสียยิ่งกว่า เมื่อคนวิปริตทั้งสองมาเผชิญหน้ากัน แน่นอนว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่……

ถึงผู้อ่าน เลือดกวาง……มันแสดงถึงว่าพ่อบ้านชราสงสัยใน “พละกำลัง” ของเสด็จอาเก้า ฮ่าฮ่าฮ่า……

นานแล้วที่ไม่ได้เขียนบทสนทนาสั้น ๆ “บทสนทนาเล็ก ๆ นั้นฟรี ไม่นำไปคิดกับจำนวนคำ พวกคุณอาจจะไม่ชอบมันก็ได้ แต่อย่างดูถูกฉัน บทสนทนาสั้น ๆ มีไว้เพื่อความสนุกและความบริสุทธิ์ของผู้ชมอันเป็นที่รัก”

สายลับหนึ่ง: ท่านอ๋องไม่สามารถตอบสนองความปรารถนาของแม่นางเฟิ่งได้จริง ๆ ด้วย สุดท้ายก็ทำได้แค่น้ำเดียว

สายลับสอง: พยักหน้า ก่อนหน้านี้อย่างน้อยก็สามน้ำ หรือว่าท่านอ๋องจะป่วย?

สายลับหนึ่ง: แม่นางเฟิ่งเองก็เป็นหมอ หากท่านอ๋องป่วย แม่นางเฟิ่งจะต้องรู้อย่างแน่นอน อาจจะเป็นเพราะร่างกายอ่อนแอ เกรงว่าท่านอ๋องควรจะได้รับการบำรุง

สายลับสอง: บำรุง? บำรุงยังไง?

สายลับหนึ่ง: บำรุงด้วยอาหาร องคชาตเสือโคร่งน่าจะมีผลดีไม่เบา ข้าเห็นจักรพรรดิเองก็กินอยู่บ่อย ๆ

สายลับสอง: เอ่อ……ท่านอ๋องจะกินของแบบนั้นงั้นหรือ?

สายลับหนึ่ง: แน่นอนว่าไม่มีทาง

สายลับสอง: งั้นเจ้าจะพูดออกมาทำไม

สายลับหนึ่ง: แค่พูดออกมามันก็ไม่ได้ผิดอะไร

ใบหน้าของพ่อบ้านชราดูเศร้าหมอง คืนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาบำรุงร่างกายของเสด็จอาเก้าได้บ้าง 

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท