นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 1073
เหมือนกับที่เฟิ่งชิงเฉินพูดไว้ คนป่วยไม่ใช่เจ๋อเจ๋อ แต่เป็นพ่อของเจ๋อเจ๋อ เป็นไปได้ว่าเจ๋อเจ๋อนั้นได้รับยีนแห่งความโหดเหี้ยมมาตั้งแต่เกิด แต่หากไม่มีความร่วมมือจากพ่อของเขา เขาก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพของทุกวันนี้
จากมุมมองของจิตแพทย์ การใช้ความรุนแรงเพื่อควบคุมความรุนแรงนั้นไม่ได้อยู่ในหลักการทางวิทยาศาสตร์ เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่จิตแพทย์ นางไม่รู้ว่าจะรักษาโรคของเจ๋อเจ๋อได้อย่างไร และนางก็ไม่สามารถใช้วิธีการของจิตแพทย์ได้
เฟิ่งชิงเฉินเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่า การรับมือกับเด็กอย่างเจ๋อเจ๋อ จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงเข้าช่วย ก่อนอื่นต้องทำให้เขาหวาดกลัว จากนั้นก็ทำให้เขาเจ็บปวด สุดท้ายค่อยสอนเขาว่าอะไรถูกอะไรผิด
พ่อของเจ๋อเจ๋อบอกว่าเขาเชิญหมอจากทั่วทั้งใต้หล้ามาทำการรักษา แต่กลับไม่คิดว่าลูกชายของตนเองกำลังป่วย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ส่งองครักษ์จำนวนมากขนาดนี้มาคอยปกป้องลูกชายของเขาจากหมออย่างใกล้ชิด โชคดีที่เสด็จอาเก้าออกมาหน้ามาช่วย เรื่องนี้จึงง่ายขึ้นมาไม่น้อย
เสด็จอาเก้าไม่เกรงใจเจ๋อเจ๋อเลยแม้แต่น้อย เขาจับปลอกคอของเจ๋อเจ๋อและยกขึ้นไปบนอากาศ เมื่อร่างของเจ๋อเจ๋อลอยขึ้น ปลอกคอก็รัดลำคอของเขาด้วยความเจ็บปวด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมแพ้
เจ๋อเจ๋อตะโกนอย่างสุดเสียง เหล่าองครักษ์รีบวิ่งเข้ามาด้านหน้า แต่ทันทีที่เข้ามาพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงรัศมีอันรุนแรงจากร่างกายของเสด็จอาเก้า มันน่ากลัวมากกว่าของเจ๋อเจ๋อเสียงอีก ทำให้องครักษ์เหล่านี้ไม่กล้าเคลื่อนไหว แน่นอน……
สิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวที่สุดไม่ใช่เสด็จอาเก้า แต่เป็นแม่ทัพกองทหารที่เข้ามาหลังจากนั้น
“ข้าได้ยินมาว่ามีพวกอันธพาลบุกเข้ามาในจวนเฟิ่ง และเป้าหมายของพวกเขาก็คือชีวิตของเสด็จอาเก้า มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยอย่างนั้นหรือ?” ตี๋ตงหมิงเข้ามาในชุดของแม่ทัพ ดูสง่างามเป็นอย่างมาก ทันทีที่เข้ามาก็เห็นเหล่าองครักษ์ล้อมรอบเสด็จอาเก้าเอาไว้ เขาขมวดคิ้วและกล่าวออกมาว่า “หายากจริง ๆ ข้ามาถึงที่เกิดเหตุได้ทันเวลาอย่างนั้นหรือ”
น้ำเสียงฟังดูเหยียดหยามไม่เข้ากับเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่จริง ๆ เฟิ่งชิงเฉินกลอกตาขาว มองเขาอย่างหงุดหงิด
มาถึงจุดนี้เฟิ่งชิงเฉินถึงได้เข้าใจ เสด็จอาเก้าได้วางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เขาค่อย ๆ ดำเนินการกับองครักษ์ของเจ๋อเจ๋อทีละขั้นตอน ไม่อย่างนั้นจะบังเอิญถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ทันทีที่องครักษ์เหล่านี้ต้องการสู้ ตี๋ตงหมิงก็เข้ามาทันที
ถูกจับคาหนังคาเขา องครักษ์ของลัทธิปีศาจไม่อาจพิสูจน์ความจริงได้เลย อีกอย่างเจ้าพวกนี้ก็ใช้อำนาจของทางการมาปกป้อง เสด็จอาเก้าและตี๋ตงหมิงยืนยันว่าพวกเขาต้องการทำร้ายเสด็จอาเก้า ต่อให้พวกเขาพูดอะไรออกมามันก็ไร้ประโยชน์
องครักษ์มองหน้ากัน แลกเปลี่ยนความคิดด้วยสายตา หลังจากนั้นก็พยักหน้า เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องรับรองนั้นเคร่งขรึมขึ้นมาก ในตอนที่นางคิดจะหยิบปืนออกมาเพื่อป้องกันตัวเอง เสด็จอาเก้าก็เอ่ยปากออกมาว่า “หากข้าเป็นพวกเจ้า ข้าจะไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด แต่หากเริ่มเคลื่อนไหวไปแล้ว เช่นนั้นก็เท่ากับว่าพวกเจ้ายอมรับความล่มสลาย”
หากสามารถยืมพลังของจักรพรรดิจัดการกับลัทธิปีศาจได้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่น่าพอใจสำหรับเสด็จอาเก้า แต่เสด็จอาเก้ารู้ดี ด้วยนิสัยของจักรพรรดิ สุดท้ายเขาก็ต้องเชื่อมความสัมพันธ์กับลัทธิปีศาจอยู่ดี
เนื่องจากดินแดนของลัทธิปีศาจไม่ได้อยู่ในเขตของตงหลิง และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตงหลิงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ลัทธิปีศาจมักจะสร้างปัญหาให้กับเป่ยหลิงเป็นครั้งคราว มีคนของลัทธิปีศาจคอยกดดันเป่ยหลิง จักรพรรดิเองก็รู้สึกพอใจมากเช่นกัน
ดูเหมือนคำพูดของเสด็จอาเก้าจะส่งผล องครักษ์ของเจ๋อเจ๋อถอยกลับไป เจ๋อเจ๋อเห็นเช่นนั้นก็ร้องออกมาดังกว่าเดิม ใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดงด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว
ดื้อรั้นเป็นอย่างมาก เฟิ่งชิงเฉินแอบชื่นชมในใจ แต่ก็รู้สึกหดหู่ในขณะเดียวกัน
ช่วยไม่ได้ ยิ่งเด็กดื้อรั้นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสอนยากมากเท่านั้น สำหรับการสั่งสอนเจ๋อเจ๋อ นางไม่รู้ว่านางต้องสูญเสียเซลล์สมองไปกี่เซลล์
องครักษ์แห่งลัทธิปีศาจหวาดกลัวคำพูดของเสด็จอาเก้า พวกเขาไม่กล้าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า เสด็จอาเก้าเหลือบตามอง ดูเหมือนว่าเจ๋อเจ๋อจะทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาจึงปล่อยมือ……
เสียงปังดังขึ้น ร่างของเจ๋อเจ๋อตกลงพื้น ก้นของเขากระแทกพื้นอย่างแรง แสดงความเจ็บปวดออกมาทางสายตา แต่เขาก็ไม่ได้ตะโกนหรือร้องไห้ออกมา เพียงแค่จ้องมองมาที่เสด็จอาเก้าด้วยสายตาที่เหมือนกับงูพิษ
เด็กตัวเล็กแค่นี้ แต่กลับมีสายตาอันดุร้ายและเหี้ยมโหด ไม่ธรรมดาจริง ๆ
“นายน้อย” องครักษ์คิดจะวิ่งเข้ามาอุ้มเจ๋อเจ๋อ แต่ตี๋ตงหมิงเคลื่อนไหวเร็วกว่าเขาก้าวหนึ่ง เขานำองครักษ์ของเขาเข้ามาขวาง ทำให้เสด็จอาเก้าและเจ๋อเจ๋ออยู่ตรงกลาง “พวกเจ้าอย่าทำอะไรผลีผลาม เวลานี้พวกเจ้ายังเป็นผู้ต้องสงสัย หากพวกเจ้าเคลื่อนไหว ข้าก็สามารถออกคำสั่งสังหารพวกเจ้าได้ทุกเมื่อ”
ตี๋ตงหมิงไม่ได้โอหังเพียงแค่คำพูด แต่การกระทำของเขานั้นโอหังเสียยิ่งกว่า เขาสั่งให้องครักษ์ของเขายึดอาวุธของอีกฝ่ายมา แน่นอนว่าองครักษ์ของลัทธิปีศาจไม่ได้ขัดขืน เจ๋อเจ๋อจึงลุกขึ้นยืนและพูดออกมาด้วยความโกรธ “พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาจับคนของข้า เจ้าช่างกล้าเสียเหลือเกิน”
หลังจากเขาพูดประโยคดังกล่าวออกมา เขาก็ไอออกมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง จากนั้นล้มลงพื้น ก้นของเขาได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาผิดรูปจนทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นทุกข์ แต่โชคดีที่ไม่มีใครที่อยู่ที่นั่นเห็นใจเขาแม้แต่คนเดียว
เด็กที่ไม่ได้รับการสั่งสอน
เสด็จอาเก้าจ้องมองเจ๋อเจ๋อด้วยสายตารังเกียจ จากนั้นกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น “ที่นี่คือเมืองจักรพรรดิแห่งตงหลิง ถือเป็นอาณาเขตของข้า คนของลัทธิปีศาจอย่างพวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาโลดโผนที่นี่ เข้าไปอยู่ในคุกเสียโดยดี เพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ข้ารับประกันว่าพวกเจ้าจะไม่มีอันตรายถึงชีวิต”
คำพูดก่อนหน้านี้คือพูดให้เจ๋อเจ๋อฟัง แต่ประโยคหลังคือสิ่งที่ต้องการพูดกับองครักษ์ องครักษ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หากต่อสู้กันขึ้นมาจริง ๆ คนที่ตี๋ตงหมิงพามาด้วยเหล่านี้คงไม่ใช่คู่มือของพวกเขา แต่หากลงมือลงไปแล้ว พวกเขาก็คงจบไม่สวยเช่นกัน พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของตงหลิง อาจถึงขั้นยกทัพใหญ่ไปตีลัทธิปีศาจ
คนในยุทธจักรแม้จะเป็นยอดฝีมือ ไปไหนมาไหนล้วนไร้ร่องรอย แต่……ต่อให้พวกเขาเก่งกาจแค่ไหนพวกเขาก็ยังเป็นแค่มนุษย์ เมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพของประเทศ พวกเขาก็ไม่อาจต้านทานได้
“เสด็จอาเก้า เจ้ารับประกันได้หรือไม่ว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนายน้อย?” องครักษ์ผู้หนึ่งกล่าวออกมา
ในความเป็นจริงแล้วลัทธิปีศาจเองก็เลือกรังแกคนที่อ่อนแอกว่าและเกรงกลัวต่อความชั่วร้าย หากคนที่ต้องลงมือด้วยเป็นเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขาคงลงมือทันทีโดยไม่คิดอะไร แต่คนที่พวกเขากำลังมีเรื่องด้วยนั้นเป็นเสด็จอาเก้า ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องคิดให้มาก
“ข้ารับประกันว่านายน้อยของเจ้าจะไม่มีอันตรายถึงชีวิต” เสด็จอาเก้ากล่าวออกมาอย่างระมัดระวัง แต่เพื่อทำให้คนพวกนี้ยอมจำนนแต่โดยดี เสด็จอาเก้าจึงกล่าวเสริมออกมาอีกหนึ่งประโยคว่า “ข้าจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง โดยที่คนหนึ่งในพวกเจ้าจะเป็นผู้ถูกเลือก เป็นผู้ที่จะส่งจดหมายฉบับดังกล่าวไปยังประมุขของพวกเจ้า”
หรือพูดอีกอย่างก็คือ เสด็จอาเก้าจะช่วยอธิบายแทนพวกเขา ไม่ใช่ว่าพวกเขาไร้ซึ่งกำลังในการปกป้อง แต่ทั้งหมดเป็นเพราะเสด็จอาเก้าแข็งแกร่งเกินไป
“ได้ พวกข้าเชื่อใจในตัวของเสด็จอาเก้า”
ปัง……ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้นำ องครักษ์ของลัทธิปีศาจวางอาวุธของตนเองลงบนพื้น ยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อยอมทำตามคนของตี๋ตงหมิงแต่โดยดี
ทหารที่ตี๋ตงหมิงพามาด้วยนั้นล้วนแต่เคยผ่านการต่อสู้กันดุเดือด คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวทุกอย่างจะจัดการได้ง่ายถึงเพียงนี้ และดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีความสุขเป็นอย่างมาก สีหน้าของตี๋ตงหมิงเองก็เต็มไปด้วยความพอใจพร้อมกับหันมาทางเฟิ่งชิงเฉิน
“มองไม่ออกเลยว่าเจ้านั้นเป็นดวงดาวนำโชคของข้า เฟิ่งชิงเฉิน ข้าพบว่าตั้งแต่เจ้ากลับมาจากซานตง ทุกครั้งที่ข้าได้พบเจ้าล้วนมีแต่เรื่องดี ๆ และด้วยเรื่องราวดี ๆ ทั้งหมดที่ผ่านมา ทำให้ข้ามีผลงานเพิ่มมากขึ้น และสามารถก้าวไปถึงตำแหน่งแม่ทัพอันดับหนึ่งได้”
“เจ้าฝันไปเถอะ” เฟิ่งชิงเฉินพูดออกไปอย่างอารมณ์เสีย หลังจากองครักษ์ทั้งหมดของเจ๋อเจ๋อจากไป เฟิ่งชิงเฉินก้าวมาข้างหน้าและชี้เจ๋อเจ๋อที่กำลังจ้องมองเสด็จอาเก้าอยู่ “พวกเราจะทำอย่างไรกับเขาดี?”
“รักษา” แม้ว่าจะไม่สามารถเปลี่ยนเจ๋อเจ๋อให้กลายเป็นคนปกติได้ แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้เขาเสื่อมโทรมไปมากกว่านี้ เสด็จอาเก้าไม่ได้มีจิตใจโอบอ้อมอารี แต่เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงเฉินเล่าว่าเจ๋อเจ๋อฆ่าคนเป็นงานอดิเรก เขาก็อดขนลุกขึ้นมาไม่ได้
หากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนผู้นี้ได้ เขาจะต้องตายก่อนวัยอันควร อยู่บนโลกนี้ต่อไปก็มีแต่ทำให้ผู้คนต้องล้มตายเท่านั้น
ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเต็มไปด้วยความโศกเศร้า นางพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ก็ได้”
“ข้าไม่ต้องการ เจ้าอย่ามาแตะต้องตัวข้า เจ้าเป็นผู้หญิงน่ารังเกียจ ข้าเกลียดเจ้า ข้าเกลียดเจ้า” เจ๋อเจ๋อไม่กล้าพูดอะไรเมื่อเผชิญหน้ากับเสด็จอาเก้า แต่เมื่อได้ยินเสียงของเฟิ่งชิงเฉิน เขาก็จ้องมองมาที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยแววตาแห่งอาฆาต แววตานั่นดูดุร้ายเสียยิ่งกว่าดวงตาของเสด็จอาเก้าเสียอีก
เกลียดนางอย่างนั้นหรือ? เฟิ่งชิงเฉินอารมณ์เสีย เจ้าเกลียดข้า เช่นนั้นข้าจะชอบเจ้าได้อย่างไร
“เจ้าเด็กผีส่งมากเกิด มองอะไรของเจ้า คิดว่าข้าอยากจะแตะต้องตัวเจ้ามากหรือไง” มือทั้งสองข้างของเฟิ่งชิงเฉินเท้าเอว จ้องมองอีกฝ่ายด้วยอารมณ์ของเด็ก
เสด็จอาเก้าแอบมองท้องฟ้าเงียบ ๆ เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ