นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 1077
ไม่ว่าพ่อบ้านจะพูดออกมาอย่างไร เฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงไม่ไหวติง บอกว่าไม่ก็คือไม่ ถ้าพ่อบ้านมีเคราคงถูกเฟิ่งชิงเฉินถอนจนโกรธเคือง
พ่อบ้านยกกาน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมากรอกใส่ปากของตัวเอง สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกล่าวว่า “แม่นางเฟิ่ง ท่านต้องการอะไรกันแน่?”
“ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น” เฟิ่งชิงเฉินกางมือทั้งสองข้างของนางออกด้วยท่าทางเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก
นี่เป็นเรื่องในจวนอ๋องเก้า มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง หากนางปรากฏตัวออกไปในฐานะตัวแทนของสตรีของจวนอ๋องเก้า ต่อให้เป็นความยินยอมของเสด็จอาเก้า แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง
“ท่านไปสักครั้งมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร” พ่อบ้านเดินไปรอบ ๆ อย่างใจจดใจจ่อ เขาเตรียมทุกอย่างไว้สำหรับเฟิ่งชิงเฉินเรียบร้อยแล้ว และด้านนอกก็เต็มไปด้วยข่าวลือ หากเวลานี้เฟิ่งชิงเฉินยังปฏิเสธ เช่นนั้นเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
เฟิ่งชิงเฉินหาวออกมาหนึ่งครั้ง “ทำไปข้าก็ไม่ได้อะไรเหมือนกัน เหตุใดต้องทำให้เสียเวลาด้วย”
“ท่านจะพูดว่าเสียเวลาได้อย่างไร นี่เป็นการปกป้องอำนาจและสถานะของตัวท่านเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านอ๋องถูกแย่งตัวไป” พ่อบ้านพบว่า คนที่เกี่ยวข้องกับไม่รีบร้อน แต่คนที่ไม่เกี่ยวกับร้อนตัวไปเอง เหมือนกับจักรพรรดิที่ใจเย็นแต่ขันทีกลับร้อนรนดั่งไฟ
ก็ได้ เขาพูดผิดไปแล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นขันที แต่แม่นางเฟิ่งก็ไม่ใช่จักรพรรดิ
“มันก็เป็นแค่เพียงเรื่องน่าเบื่อเท่านั้น อำนาจและสิ่งที่เจ้าพูดถึงทุกอย่างล้วนแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้าไม่เห็นด้วย ต่อให้ฉู่ฉางฮว๋าพูดอย่างไรก็ไม่สามารถเข้ามาในจวนอ๋องเก้าได้ เสด็จอาเก้าเห็นด้วย ต่อให้ข้าออกไปโวยวายด้านนอก ป่าวประกาศให้ทุกคนได้รู้ หากเสด็จอาเก้าต้องการแต่งงาน ยังไงเขาก็แต่ง ฝนตกลงมาจากท้องฟ้า มนุษย์ต้องมีคู่ครอง พ่อบ้าน เรื่องบางเรื่องไม่ใช่ว่าข้าอยากให้มันเกิดขึ้น แต่ข้าไม่อาจหยุดมันได้ หากเจ้ากังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ควรไปขอร้องเสด็จอาเก้า ไม่ใช่ข้า ข้าไม่สามารถตัดสินใจกับเรื่องนี้ได้” เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นยืน จากไปด้วยท่าทางเคารพ
เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงเฉินพูดเช่นนั้นออกมา พ่อบ้านก็พูดอะไรไม่ออก ถอยกลับไปแต่โดยดี แต่ใจคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินนั้นแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
ทุกวันนี้ มีผู้หญิงคนไหนไม่เป็นแบบนี้บ้าง ภายนอกทำตัวเหมือนมีเหตุผล ใจกว้าง ยอมรับให้สามีของตนมีนางสนมคนอื่นนอกจากตัวเองได้ แต่ในใจคิดที่จะสังหารนางสนมที่โปรดปรานเหล่านั้น และนางสนมผู้งดงามเหล่านั้นก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงที่เชื่อฟัง แต่เฟิ่งชิงเฉิน?
“แม่นางเฟิ่งไม่สนใจท่านอ๋องของพวกเราเลยอย่างนั้นหรือ?” พ่อบ้านตั้งคำถามกับตัวเอง จากนั้นก็ส่ายหน้าออกมา
เขาเองก็มองออกว่าเฟิ่งชิงเฉินแคร์เสด็จอาเก้าหรือไม่ คิดว่าน่าจะแคร์อยู่นะ แต่มีข่าวลือมากมายว่าฉู่ฉางฮว๋าจะแต่งงานกับเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย แต่จะบอกว่าไม่สนใจได้อย่างไร ไม่เช่นนั้นเฟิ่งชิงเฉินจะตามติดเสด็จอาเก้าอยู่ตลอดเวลาเลยงั้นหรือ
ต้องรู้ก่อนว่ามีคนมากมายต้องการแต่งงานกับเฟิ่งชิงเฉิน ไม่ต้องพูดถึงคุณชายใหญ่ คนของตระกูลหยุนเองก็มาประเคนถึงบ้าน เพียงแค่เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า นางก็สามารถเป็นนายหญิงของตระกูลหยุนได้ทันที ไม่เพียงแค่จะได้รับการคุ้มครองจากเมืองหยุนและตระกูลหยุน แต่ยังได้รับเกียรติจากคนทั้งโลก แต่……
เฟิ่งชิงเฉินกลับเลือกเสด็จอาเก้า และทำให้ถูกกล่าวหาและนินทาอยู่มากมาย
“เฮ้อ……เรื่องของเจ้านาย พวกเราในฐานะคนรับใช้ช่างไม่เข้าใจจริง ๆ” พ่อบ้านชราถอนหายใจออกมา โยนบัตรเชิญของฮูหยินแห่งประเทศไปไว้ด้านข้าง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะเป็นนายหญิงของจวนอ๋อง สำหรับพวกเขาแล้วมันก็ไม่ได้ต่างอะไรมากมาย ขอแค่ไม่ใช่คนบ้า และเอาใจใส่ท่านอ๋องเป็นอย่างดีใจทุก ๆ วัน พวกเขาก็สามารถรับได้ แน่นอน เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะยอมให้ท่านอ๋องของพวกเขาแต่งออกไปเป็นลูกเขย ต่อให้ตายก็ไม่ยอม ดังนั้นฉู่ฉางฮว๋าจึงไม่มีทางได้แต่งเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องเก้าเป็นแน่
เรื่องของฉู่ฉางฮว๋า เฟิ่งชิงเฉินไม่เอามาเก็บไว้ในใจเลยแม้แต่น้อย ถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอน จะให้มารู้สึกอิจฉา เรื่องพวกนี้มันอยู่ห่างไกลจากความคิดของนาง
หากผู้ชายคนนี้ไม่มีเจ้าอยู่ในใจ ต่อให้เจ้าจะประกาศตัวเองว่าเป็นผู้ชอบธรรม มีสิทธิ์ในการแต่งงานและครอบครองมันก็ไร้ประโยชน์ ตรงกันข้าม หากเจ้าอยู่ในใจของเขา ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรมันก็น่าสนใจไปเสียหมด
เนื่องจากเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ออกไปร่วมงานเลี้ยงฮูหยินสวนดอกไม้ในพระราชวัง เรื่องของเสด็จอาเก้ากับฉู่ฉางฮว๋าร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขั้นที่บอกว่าเฟิ่งชิงเฉินเข้ามาขออยู่ในจวนอ๋องเก้าเพื่อเป็นไม้กันหมา เนื่องจากกลัวเสด็จอาเก้าจะไปแต่งงานกับฉู่ฉางฮว๋า และต้องการให้เสด็จอาเก้ามอบสถานะบางอย่างให้แก่นาง
หลังจากเฟิ่งชิงเฉินได้ยินเช่นนั้นนางก็รู้สึกเบื่อจนขี้เกียจจะสนใจ เอาสมาธิไปอยู่กับการอบรมสั่งสอนเจ๋อเจ๋อ หลังจากเจ๋อเจ๋อถูกเสด็จอาเก้าสั่งสอนมาครั้งหนึ่ง ไม่เพียงแต่ไม่ยอมเชื่อฟังเท่านั้น เขายังดื้อรั้นมากกว่าเดิมอีกด้วย
เสด็จอาเก้าก็ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด ให้เฟิ่งชิงเฉินรักษาบาดแผลให้เจ๋อเจ๋อ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเจ๋อเจ๋อจะยังไปไม่ถึงโลกหลังความตาย เจ๋อเจ๋อไม่ควรอยู่เฉย ๆ ในช่วงพักฟื้น ให้เจ๋อเจ๋อตักน้ำผ่าฟืน มีงานให้ทำในทุกวัน หากทำงานที่ได้รับมอบหมายไม่สำเร็จก็จะไม่ได้กินข้าว
ตอนแรกเจ๋อเจ๋อไม่สนใจกับเรื่องพวกนี้ ทำให้คนรับใช้ในจวนอ๋องเก้าเต็มไปด้วยความวุ่นวาย แต่หลังจากความหิวโหย และถูกสั่งสอนอยู่หลายครั้ง เขาถึงเริ่มลงมือทำงาน
เฟิ่งชิงเฉินเห็นสภาพน่าสงสารของเจ๋อเจ๋อเปลี่ยนเป็นความชั่วร้าย นางรู้สึกเห็นใจและปวดใจสลับกันไป หลังจากนั้นนางจึงเลือกที่จะไม่มอง เพียงแค่ทำการรักษาให้เจ๋อเจ๋อในทุกวันตอนค่ำ รับประกันว่าเขาจะไม่ตาย นอกจากนั้นเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่สนใจเรื่องไหนที่เกี่ยวกับเขาเลย และใช้ชีวิตอย่างขี้เกียจอยู่ในจวนอ๋องเก้าไปวัน ๆ
วันนี้อากาศแจ่มใส เสด็จอาเก้าตื่นและเข้าไปในราชสำนักแต่เช้า เฟิ่งชิงเฉินว่างจนรู้สึกเบื่อ คิดที่จะกลับไปยังจวนเฟิ่งว่าก่อสร้างไปถึงไหนแล้ว พ่อบ้านก็เข้ามารายงานว่าคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวัง หวังจิ่นหลิง เข้ามาขอพบ
“พบเสด็จอาเก้า?” เฟิ่งชิงเฉินถามกลับไป พ่อบ้านส่ายหน้าและกล่าวออกมาว่า “คุณชายใหญ่กล่าวว่าต้องการเข้าพบแม่นางเฟิ่ง”
“เชิญคุณชายใหญ่ไปรอข้าที่ห้องรับรองสักครู่ เดี๋ยวข้าออกไป” เฟิ่งชิงเฉินมองเครื่องแต่งกายของตนเอง คิดว่ามันไม่เหมาะสมจึงเดินเข้าไปเปลี่ยน
กลับมาในห้อง เห็นเสื้อผ้าวางเรียงกันเป็นแถว เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก นางดูบอบบางขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้แต่จะออกไปเจอกับหวังจิ่นหลิงยังต้องพิจารณาเรื่องเสื้อผ้าไม่เหมาะสม
“ฮึฮึ……” เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะออกมา เฟิ่งชิงเฉินชี้นิ้วไปยังเสื้อผ้าที่วางเรียงราย สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังรีบวิ่งออกมาด้านหน้า หยิบเสื้อผ้าที่เฟิ่งชิงเฉินชี้ขึ้นมา เตรียมเปลี่ยนมันให้กับเฟิ่งชิงเฉิน แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับยิ้มและปฏิเสธออกไป
นางไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมแบบเจ๋อเจ๋อได้ แต่นางก็อยากรักษาความเป็นตัวเองเอาไว้บ้าง ตัวอย่างเช่นธรรมเนียมการเปลี่ยนเสื้อผ้าของแขก นางไม่อยากรับมันไว้
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นอันเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็เดินไปยังห้องรับรองเพื่อพบกับหวังจิ่นหลิง หวังจิ่นหลิงเห็นเฟิ่งชิงเฉินเดินมาแต่ไกล ๆ เขาก็ลุกขึ้นเพื่อกล่าวทักทาย “ชิงเฉิน ไม่เจอกันนานเลย”
“ใช่ ไม่เจอกันนานเลย จิ่นหลิง เจ้ายังคงมีเสน่ห์เช่นเคย” นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนพบกันหลังจากเฟิ่งชิงเฉินกลับมาจากซานตง
พูดไปพูดมามันก็บังเอิญยิ่งนัก หวังจิ่นหลิงไปหาเฟิ่งชิงเฉินที่จวนเฟิ่ง ไปตามเฟิ่งชิงเฉินที่วิหารชมเดือน หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินกลับมา บ้านของหวังจิ่นหลิงก็มีปัญหาเกิดขึ้น เขาจึงจำเป็นต้องกลับบ้านไปก่อน ในตอนที่กลับมายังจวนเฟิ่งอีกครั้งก็พบว่าเฟิ่งชิงเฉินย้ายมาอยู่ที่จวนอ๋องเก้าเสียแล้ว
“เจ้านี่มัน……กับข้ายังต้องพูดเช่นนี้ด้วยหรือ” หวังจิ่นหลิงยิ้มพร้อมส่ายหน้า แสดงท่าทางของสุภาพบุรุษที่สุภาพและอ่อนโยน
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างซุกซน “ข้ารู้แล้วว่าคำพูดเช่นนี้คุณชายอย่างเจ้าได้ยินมามากพอแล้ว แต่ข้ายังต้องพูดออกมา ใครใช้ให้เจ้าสง่างามมากกว่าคนทั่วไป ช่างวิเศษและเป็นที่น่าพอใจยิ่งนัก”
คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เป็นสิ่งที่เกินกว่าความจริงเลยแม้แต่น้อย ความสง่างามและรูปลักษณ์ของหวังจิ่นหลิงนั้นเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนหลงใหล ขอแต่ได้อยู่ร่วมกับเขา อาจจะทำให้เสียสติโดยไม่รู้ตัว
“เช่นนั้นข้าจะรับไว้โดยไม่เกรงใจแล้วกัน” หวังจิ่นหลิงยิ้มออกมาและตอบรับคำชื่นชมของเฟิ่งชิงเฉิน
เขาได้ยินคำชื่นชมมามากพอแล้ว แต่เมื่อได้ยินจากปากของเฟิ่งชิงเฉิน มันก็ดูแปลกไปเล็กน้อย
หลังจากที่ทั้งสองหัวเราะอย่างสุขใจ พูดคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ คุยกันเหมือนเพื่อน ย้อนอดีตและปัจจุบัน เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายสบายดี ทั้งสองฝ่ายก็สบายใจ
หลังจากที่แต่ละคนพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเป็นอันเรียบร้อย หวังจิ่นหลิงก็ยกชาขึ้นมาจิบ ควันสีเขียวยังคงอยู่ด้านหน้าของหวังจิ่นหลิง ปกปิดความเศร้าในดวงตาของเขา
ความเงียบเข้ามาปกคลุมในห้องอยู่ครู่หนึ่ง เฟิ่งชิงเฉินหรี่ตาลง วางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ ยิ้มและหันไปมองหวังจิ่นหลิง “จิ่นหลิง เจ้ามีอะไรก็พูดออกมาตามตรง ระหว่างพวกเรายังมีเรื่องอะไรต้องปิดบังกันอีกอย่างนั้นหรือ?”