นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 1079 กลับบ้าน,มักจะมีคนมองไม่เห็นความดีของข้า

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 1079

เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าความคิดของตนเองนั้นรุนแรงเกินไป เสด็จอาเก้าไม่เคยปฏิบัติต่อนางรุนแรงเช่นนี้ คนรับใช้ในจวนอ๋องเก้าต่างเคารพนางเป็นอย่างมาก ปฏิบัติต่อนางเหมือนเป็นเจ้านายอีกคนหนึ่ง แต่นางรู้สึกไม่ดียิ่งนัก ไม่ดีเอาเสียมาก ๆ ได้โปรดยกโทษให้นางที่เป็นคนจู้จี้จุกจิก เรื่องเพียงเล็กน้อยแต่กลับสามารถทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้

เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และได้ทำการตัดสินใจไปแล้ว

กลับเข้ามาในห้อง เฟิ่งชิงเฉินสั่งให้คนนำน้ำเย็นมาให้นาง หลังจากทำความสะอาดร่างกายเป็นที่เรียบร้อย นางเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาด พูดกับสาวใช้ที่อยู่ด้านข้างว่า “เตรียมรถม้าให้ข้า ข้าจะออกจากจวน”

นางไม่ใช่คนขี้ลังเล ในเมื่อนางได้ทำการตัดสินใจไปแล้วว่าจะทำ นางก็ต้องทำ แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะสำคัญ แต่ในฐานะผู้นำของตระกูลเฟิ่ง ชื่อเสียงของจวนเฟิ่งในอนาคตเองก็สำคัญเช่นกัน

ผู้คนอาศัยอยู่บนโลกด้วยหน้าตา เหมือนกับต้นไม้ที่อาศัยอยู่ด้วยเปลือกของมัน นางไม่สนใจที่จะถูกผู้อื่นซุบซิบนินทา หรือถูกต่อว่า แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่านางไม่สนใจในเรื่องชื่อเสียงของตนเอง ไม่สนใจชื่อเสียงของจวนเฟิ่ง ก่อนหน้านี้นางไม่มีอะไร แต่เวลานี้นางมีครอบครัว นางจึงต้องมีความรับผิดชอบ

นางสามารถเสียสละตนเองเพื่อความรักได้ แต่นางไม่อาจสละชื่อเสียงของตระกูลได้ ทำให้คนใช้ในจวนเฟิ่งไม่อาจเงยหน้าขึ้นตอนที่ออกไปใช้ชีวิตกับโลกภายนอกได้ ทำให้คนรับใช้ต้องถูกต่อว่าเสีย ๆ หาย ๆ นางไม่อาจยืนหยัดต่อหน้าคนเหล่านั้นได้

“นี่……” สาวใช้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เฟิ่งชิงเฉินจึงสั่งออกมาด้วยใบหน้าอันเคร่งขรึม “มีอะไรงั้นหรือ? คำพูดของข้า ไม่มีความหมายแล้วงั้นหรือ?”

“ไม่ ไม่ ไม่ใช่เจ้าคะ ข้าจะรีบจัดเตรียมเดี๋ยวนี้” สาวใช้รีบทำความเคารพ ยกกระโปรงขึ้นและรีบวิ่งออกไป

เฟิ่งชิงเฉินเห็นท่าทางระแวดระวังของสาวใช้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยิ้มไม่ออก เสด็จอาเก้ามอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับนางทุกอย่าง แต่ที่นี่ไม่ใช่บ้านของนาง นางสัมผัสไม่ได้ถึงความรู้สึกตอนที่นางอยู่ในจวนเฟิ่ง

จวนเฟิ่งคือบ้านของนาง นางจำเป็นต้องรับผิดชอบ “จวนเฟิ่ง”

ประสิทธิภาพของจวนอ๋องสูงมาก หลังจากผ่านไปเพียงสิบห้านาที พ่อบ้านก็วิ่งเข้ามารายงานด้วยตัวเอง บอกว่ารถม้ากับองครักษ์ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินสามารถออกเดินทางได้

ตอนแรกพ่อบ้านอยากถามเฟิ่งชิงเฉินว่านางจะไปไหน แต่เมื่อเห็นใบหน้าอันเคร่งขรึมของเฟิ่งชิงเฉิน เขาก็หยุดความคิดนั้นเอาไว้ทันที

เจ้านายก็คือเจ้านาย บ่าวรับใช้ก็คือบ่าวรับใช้ ต่อให้คนรับใช้จะมีสถานะสูงส่งเพียงใดก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปถามเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย พ่อบ้านไม่รู้ว่าเพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เกิดอะไรขึ้นกับเฟิ่งชิงเฉินบ้าง แต่สัญชาตญาณในฐานะบ่าวรับใช้บอกกับเขาว่า เวลานี้เฟิ่งชิงเฉินกำลังอารมณ์ไม่ดี และไม่ควรไปยั่วโมโหนาง

พ่อบ้านย้ำกับองครักษ์และคนขับรถม้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ปกป้องเฟิ่งชิงเฉินให้ดี ให้ปฏิบัติตามคำสั่งของเฟิ่งชิงเฉินอย่างเคร่งครัด เฟิ่งชิงเฉินนั่งพิงอยู่บนรถม้า เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็ยิ้มแห้งออกมา

เมื่อก่อนได้ยินคำพูดเหล่านี้ นางเพียงคิดแค่ว่าพ่อบ้านทำไปตามหน้าที่ แต่วันนี้ไม่รู้ทำไม นางรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้เป็นการแดกดัน

หากนางเป็นนายหญิงของจวนอ๋องเก้าจริง พ่อบ้านยังจำเป็นต้องเน้นย้ำเรื่องเหล่านี้ไหม? มันไม่จำเป็น เนื่องจากคนขับรถม้าและองครักษ์จะปฏิบัติตามคำสั่งของนางโดยปริยาย และไม่มีทางขัดคำสั่งของนางเป็นอันขาด

แน่นอน นางไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นนายหญิงของจวนอ๋องเก้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกเสียใจ

ทันทีที่ทุกอย่างเสร็จสิ้น ขบวนก็พร้อมออกเดินทาง และในตอนนั้นเอง เสียงแห่งความวุ่นวายก็ดังมาจากทางด้านหลัง พ่อบ้านรีบวิ่งไปจัดการมันทันที เฟิ่งชิงเฉินหลับตาและนั่งพิงรถม้า ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นแต่อย่างใด และเหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ นางไม่อยากยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องในจวนอ๋องเก้า

แต่เรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง มันกลับต้องการเข้ามาเกี่ยวข้องกับนาง เสียงร้องไห้อันเจ็บปวดของเจ๋อเจ๋อดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของรถม้า “เฟิ่งชิงเฉิน ข้ารู้ว่าเจ้าชื่อเฟิ่งชิงเฉิน พาข้าออกไปที พาข้าออกไปด้วย ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว”

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าเคยบอกว่าจะรักษาอาการป่วยให้ข้า เจ้าพาข้าไป พาข้าไป ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ ข้าไม่อยาก……” เสียงค่อย ๆ อ่อนแรงลง น่าจะเป็นเพราะถูกองครักษ์ควบคุมตัวไว้

“อายุเพียงเท่านี้ แต่กลับสามารถข้ามผ่านการป้องกันของจวนอ๋องเก้ามาได้ ไม่ธรรมดาจริง ๆ” เฟิ่งชิงเฉินแอบชื่นชมอยู่ในใจ

นอกจากแนวโน้มในเรื่องของความเกเรและกดขี่ข่มเหงในตัวของเจ๋อเจ๋อ เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกนับถือในตัวของเจ๋อเจ๋อ อายุเพียงเท่านี้แต่กลับมีความมุ่งมั่นอันแรงกล้า มันแข็งแกร่งกว่าผู้ใหญ่เสียอีก

“ยังจะยืนอยู่ทำไม ยังไม่รีบพากลับเข้าไปอีก” สีหน้าของพ่อบ้านดูไม่ดี การที่ปล่อยให้เจ๋อเจ๋อออกมาวิ่งเล่นแบบนี้ มันถือเป็นการละทิ้งหน้าที่ของเขาเช่นกัน

“ไม่ ไม่นะ เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าพาข้าไปด้วย หากเจ้าไปแล้วบาดแผลของข้าจะทำอย่างไร ข้าไม่อยาก ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว” ในตอนที่เจ๋อเจ๋อไม่ก้าวร้าว ความฉลาดของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกตกใจยิ่งนัก ความคิดของเขาใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ รู้ว่าต้องพูดอย่างไรถึงทำให้เฟิ่งชิงเฉินหวั่นไหวได้

“นายน้อยเจ๋อเจ๋อ เจ้าไม่ต้องกังวล แม่นางเฟิ่งแค่ออกไปด้านนอกเพียงชั่วครู่เท่านั้น ไม่นานก็จะกลับมา” พ่อบ้านเห็นเจ๋อเจ๋อดิ้นรนไม่ยอมหยุด จึงเอ่ยปากออกไป แต่เจ๋อเจ๋อก็ไม่ฟัง

ยืดลำคอให้ตั้งตรง เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่า การจากไปของเฟิ่งชิงเฉินครั้งนี้ นางจะไม่กลับมาที่นี่อีก เจ๋อเจ๋อตะโกนออกไปอีกครั้ง บาดแผลบนร่างกายของเขาฉีกขาด เลือดไหลออกมาทั่วร่าง แต่เขากลับไม่สนใจความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย

เขาจะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ ที่นี่น่ากลัวเกินไป เขาสำนึกผิดแล้ว เขารู้แล้วว่าไม่ควรฆ่าใครตามใจชอบ แต่ไม่ควรทำร้ายใครตามความชอบใจของตัวเอง ความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นทำร้ายนั้นช่างเจ็บปวดและยากที่จะยอมรับ

“เฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าพาข้าไปด้วย ข้ารับประกัน จากนี้ไปข้าจะเป็นเด็กดี เชื่อฟังคำสั่งสอนของเจ้า ข้าสัญญา ข้าจะไม่สังหารใครตามใจชอบอีก เฟิ่งชิงเฉิน……อย่าทิ้งข้าไว้เช่นนี้ อย่าทิ้งข้าไว้เพียงลำพัง” เจ๋อเจ๋อตะโกนอย่างเศร้าสร้อย เฟิ่งชิงเฉินได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเห็นใจ

อย่าทิ้งข้าไปเลย

ตอนที่นางเป็นเด็ก นางจะนอนบนรั้วเหล็กของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทุกวัน ผ่านรั้วเหล็กดังกล่าว นางมองดูผู้คนที่เดินอยู่ด้านนอก หวังว่าหนึ่งในนั้นจะมีพ่อหรือแม่ของนางอยู่ พวกเขาจะมารับนางกลับบ้าน นางจะสามารถเป็นเหมือนเด็กคนอื่น ๆ ทั่วไป มีพ่อ มีแม่ มีอาหารให้กินและเล่นได้ตามใจชอบ

อย่าทิ้งข้าไปเลย ข้าทิ้งข้าให้ต้องอยู่คนเดียว

หลังจากเติบใหญ่ นางฝันร้ายนับครั้งไม่ถ้วน เกี่ยวกับเรื่องราวที่พ่อแม่ของนางทิ้งนางไป

พี่สาวบอกว่านางเป็นคนที่ดีกับคนข้างกาย ดูผิวเพลินอาจเป็นคนใจดีแต่แท้จริงแล้วโหดเหี้ยมและไร้ความรู้สึก แต่ยังคงมีร่องรอยของความเมตตาและนุ่มนวลฝังลึกอยู่ในกระดูกดำ และเสด็จอาเก้าก็พูดกับนางเสมอว่านางเป็นคนใจอ่อน ดังนั้น……

นางจึงเป็นคนใจอ่อน

“พานายน้อยเจ๋อเจ๋อขึ้นรถมา” เฟิ่งชิงเฉินสั่งผ่านม่านของรถม้า องครักษ์ที่อยู่ด้านนอกถึงกับผงะ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงตอบสนองและวิ่งออกไป

อุ้มเจ๋อเจ๋อขึ้นมา พ่อบ้านเองก็วิ่งตามมา “แม่นางเฟิ่ง นายน้อยเจ๋อเจ๋อไม่มีทางเป็นอะไรอย่างแน่นอน ท่านไม่ต้องเป็นห่วง พวกข้าจะดูแลนายน้อยเจ๋อเจ๋อเป็นอย่างดี”

“ไม่ ข้าไม่ต้องการ ข้าจะไปกับเจ้า” เจ๋อเจ๋อถูกองครักษ์จับข้อมือและยกขึ้นมา แต่ดูเหมือนว่าเขากำลังยิ้มอยู่ เนื่องจากหลายวันที่ผ่านมา เวลานี้สภาพของเจ๋อเจ๋อไม่ต่างอะไรกับขอทาน ต้องบอกเลยว่าวิธีการทรมานผู้คนของเสด็จอาเก้านั้นช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก

“ไม่ต้องร้อนรน เจ๋อเจ๋อเป็นคนไข้ของข้าอยู่แล้ว ตามข้าไปก็เป็นสิ่งที่สมควร อุ้มเขาขึ้นมา” เฟิ่งชิงเฉินแค่คิดจะพูดออกมา แต่เจ๋อเจ๋อมีความว่องไวเหมือนกับสัตว์ร้ายจริง ๆ

ถึงตอนนี้พ่อบ้านยังคิดไม่ถึงว่า นางจะออกไปโดยไม่กลับมา บางทีในสายตาของพ่อบ้านอาจจะคิดว่า ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่เข้ามาอยู่ในจวนอ๋องเก้าแล้วอยากจะออกไปอยู่ด้านนอก

ดูจากท่าทางแล้ว ไม่ว่าจะในสายตาของใคร เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนที่ฝักใฝ่ในกาม ยอมถวายตัวเพื่อเข้ามาเป็นผู้หญิงในราชวงศ์

“ร่างกายของนายน้อยเจ๋อเจ๋อเต็มไปด้วยเลือด แม่นางเฟิ่ง ท่านรอสักครู่ได้หรือไม่ ให้คนล้างตัวให้นายน้อยเจ๋อเจ๋อก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง” ร่างกายของเจ๋อเจ๋อไม่ได้มีแค่เลือดเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยฝุ่นและหยาดเหงื่อ

คุ้นเคยกับนิสัยรักความสะอาดของเสด็จอาเก้า ทำให้คนรับใช้ในจวนอ๋องเก้าไม่อาจยอมรับสภาพของเจ๋อเจ๋อในเวลานี้ได้

“ไม่เป็นไร พาขึ้นมาก็พอแล้ว ข้าไม่ได้สนใจอะไร” คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินดูล้ำลึกเป็นอย่างมาก พ่อบ้านได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่านางไม่อยากลงจากรถม้า และในความเป็นจริงนางก็ไม่ได้อยากลงจากรถม้า เรื่องจากนางต้องการกลับบ้านของนาง

เมื่อพ่อบ้านเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินตัดสินใจแล้ว คิดว่าอีกไม่นานก็คงกลับมา เขาจึงไม่พูดอะไรมาก ให้คนอุ้มเจ๋อเจ๋อขึ้นไปส่ง ทันทีที่เจ๋อเจ๋อเข้ามานั่งบนรถม้า เขาก็กระโดดไปนั่งตรงมุมหนึ่ง ดวงตาของเขาเหมือนกับสัตว์ตัวน้อยที่จ้องมองมายังเฟิ่งชิงเฉินด้วยความระแวดระวัง ร่างกายของเขาสั่นเทาเล็กน้อย ราวกับลูกสุนัขที่ถูกทอดทิ้ง

“มานี่สิ” เฟิ่งชิงเฉินกวักมือเรียกเจ๋อเจ๋อ บอกให้มานั่งข้าง ๆ ของนาง

แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเตือนตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอย่าปฏิบัติต่อเจ๋อเจ๋อในฐานะเด็กคนหนึ่ง ระวังอย่าให้เขาถูกทำร้าย แต่เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกหดหู่ใจ การมีคนอยู่เป็นเพียงนางจะสามารถทำให้นางรู้สึกคลายเหงาได้ แม้ว่าคนดังกล่าวจะเป็นคนที่ดุร้ายและโหดเหี้ยมอย่างเจ๋อเจ๋อ…… 

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท