ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 55
ที่ด้านนอกสวนหลวง
กุ้ยไท่เฟยยังไม่ออกจากวังกลับจวนไป อยู่ที่ศาลาในสวนหลวงตระเตรียมขนมไว้มากมาย และให้คนเชิญมู่หรงเจี๋ยมาที่นี่
เดิมทีมู่หรงเจี๋ยก็ไม่เต็มใจที่จะไป แต่ว่ากุ้ยไท่เฟยสั่งคนให้ไปเชิญสามครั้งแล้ว เขาจึงจำต้องไป
แสงสลัวในยามค่ำอันงดงาม กับสายลมพี่พัดแผ่วเบา โคมไฟที่ประดับเป็นจุด ๆ ส่องสว่างอยู่ที่มุมหนึ่งของสวนหลวง
กุ้ยไท่เฟยนั่งตัวตรงอยู่ที่ม้านั่งหิน ในมือถือถ้วยชาเอาไว้ สีหน้าแลดูหดหู่ พอเห็นมู่หรงเจี๋ยมาถึง นางก็เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาดูดุดัน
“เสด็จแม่!” มู่หรงเจี๋ยนั่งลง “ดึกดื่นขนาดนี้ใยท่านถึงไม่กลับจวนเล่า? คืนนี้จะพักในวังหรือ?”
กุ้ยไท่เฟยวางถ้วยชาที่ถืออยู่ลงไปบนโต๊ะอย่างแรง โบกมือสั่งข้ารับใช้ให้ถอยออกไป และกล่าวเสียงดัง “เจ้ายังรู้ด้วยเหรอว่าข้าคือแม่ของเจ้า ข้าถามเจ้าหน่อยเถิด ในสายตาเจ้ายังเห็นข้าเป็นแม่อยู่หรือไม่?”
มู่หรงเจี๋ยขมวดคิ้ว “เสด็จแม่จำเป็นต้องโกรธถึงเพียงนี้ด้วยหรือ?”
”ไม่โกรธได้เช่นไร?” กุ้ยไท่เฟยโกรธจนสมองเบลอ มือไม้สั่น “องค์จักรพรรดิเหลียงจะเป็นหรือตาย นั้นเกี่ยวอะไรกับเจ้า? ข้าได้บอกกับเจ้านานแล้ว ฮองเฮาหวาดกลัวเจ้า ให้เจ้ากับองค์จักรพรรดิเหลียงอยู่ห่างกัน เจ้าก็ไม่ฟังข้าเลย เพื่อเขาแล้ววันนี้เจ้าทำให้ท่านป้าของเจ้าขุ่นเคืองพระทัย เจ้าก็รู้นี่ว่าคืนนี้นางโกรธมากจริง ๆ”
มู่หรงเจี๋ยสีหน้ายังคงเฉยเมย “เช่นนั้นหรือ? เสด็จแม่ใจเย็นลงสักหน่อยเถิด”
“ใจเย็น?” กุ้ยไท่เฟยโมโหมาก “จะมัวใจเย็นอยู่ได้เช่นไร? นั่นคือหลานชายของนาง ถือว่าข้าที่เป็นน้องสาวนางคนนี้พูดไปเปลืองน้ำลายเปล่า ๆ นางยังคงไม่อภัยที่เจ้ากระทำการตามอำเภอใจในวันนี้ เจ้าถูกเสด็จพี่ของเจ้าเลื่อนให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิ ทำให้ฮองเฮาขุ่นเคืองพระทัยยิ่งนัก โชคดีที่ป้าของเจ้าคอยกดดันฮองเฮา และองค์รัชทายาทไว้อยู่”
“ไม่ผิด นั่นคือหลานชายของนาง หากหลานชายของนางอาการดีขึ้น นางจะรู้สึกขอบคุณลูกเอง”
กุ้ยไท่เฟยโกรธจนทุบถ้วยชาจนแตก “เหตุใดเจ้าถึงเชื่อใจเซี่ยจื่ออาน? พูดกับเจ้าตามตรง วันนี้ที่อยู่ในพระตำหนักฉางเชิง หยวนพ่านและหมอหลวงสองสามคนต่างพูดกันว่า องค์จักรพรรดิเหลียงจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้ ย่ำรุ่งพรุ่งนี้เกรงว่าจะเป็นเวลาที่จะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น เรื่องนี้หากเจ้าไม่ยุ่งเกี่ยว ใครก็โทษเจ้าไม่ได้ แต่เจ้ากลับดึงดันให้เซี่ยจื่ออานรักษาเขา หากข่าวแพร่ออกไป คนอื่นจะพูดถึงเจ้าว่าอย่างไร? ที่เซี่ยจื่ออานถอนหมั้นก็ทำให้ฮองเฮาทรงกริ้วมากพออยู่แล้ว ยังทำให้องค์จักรพรรดิเหลียงขุ่นเคืองพระทัยอีก คนอื่นก็จะคิดว่าเจ้าเป็นคนยุยงให้ทำร้ายองค์จักรพรรดิเหลียง”
มู่หรงเจี๋ยรินชาใส่ถ้วยแล้วยื่นไปที่ด้านหน้าของกุ้ยไท่เฟย นัยน์ตาว่างเปล่า “คำพูดพวกนี้ เสด็จแม่คาดเดาเอาเองหรือว่า ฮองเฮาเป็นคนพูดเล่า?”
กุ้ยไท่เฟยผลักถ้วยชาออกไป “นางไม่ได้พูด แต่ข้าเดาว่านางจะต้องคิดเช่นนี้ มิเช่นนั้นคืนนี้นางจะโกรธถึงขนาดนั้นได้อย่างไร คืนนี้นางพูดว่า คุยกันที่นอกห้องพรุ่งนี้ องค์จักรพรรดิเหลียงถูกสนมเอกถอนหมั้นทำให้ตาย เจ้าลองคิดดูสิ ใครเป็นคนดึงดันที่จะให้เซี่ยจื่ออานรักษาองค์จักพรรดิเหลียง? คือเจ้าไง ลูกชายของข้า เจ้าฉลาดมาโดยตลอด ทำไมพอเจอกับเหตุการณ์วิกฤตเช่นนี้ เจ้าถึงยังดื้อรั้นอยู่?”
มู่หรงเจี๋ยยิ้มแล้วยิ้มอีก “ลูกเชื่อใจเซี่ยจื่ออาน”
“เจ้ามั่นใจในตัวเซี่ยจื่ออาน? “กุ้ยไท่เฟยหายใจหอบ “เจ้าฟั่นเฟือนไปแล้วใช่ไหม? หมอหลวงต่างบอกว่าไม่มีทางรักษาแล้ว แต่เจ้ากลับมั่นใจในตัวนาง?”
จู่ ๆ กุ้ยไท่เฟยก็ตะลึงงัน มองไปที่เขาอย่างสงสัย “บอกข้ามาที เจ้าพอใจในตัวนางใช่หรือไม่? เรื่องที่นางถอนหมั้น เกี่ยวข้องกับเจ้าหรือเปล่า?”
“เสด็จแม่คิดว่ายังไงล่ะ?” มู่หรงเจี๋ยหัวเราะอย่างหนัก สุดท้ายแล้วเขาก็ยังคงดื้อรั้นอยู่
กุ้ยไท่เฟยลุกขึ้นในทันที กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกเล็กน้อย “ข้าจะเตือนเจ้าไว้ เซี่ยจื่ออานผู้นี้ไม่อาจเข้าจวนหวางของข้าได้ หากนางโชคดีรักษาองค์จักรพรรดิเหลียงให้หายได้ ข้านี่แหละจะทำให้นางตายเอง”
มู่หรงเจี๋ยมองไปที่นาง ด้วยท่าทีที่ห่างเหิน “เสด็จแม่ตอนนี้ท่านมีความสุขดีหรือไม่?”
“เจ้าหมายความว่ายังไง?” กุ้ยไท่เฟยจ้องไปที่เขา
“หากท่านคิดว่าการอยู่ห่างจากวัง พักในจวนแล้วสุขสบายดี งั้นก็ใช้ชีวิตของท่านให้มีความสุขต่อไป ไม่ต้องไปแทรกแซงเรื่องในวัง นาน ๆ ทีค่อยเข้าวังมาเยี่ยมฮองเฮาจิบชาพูดคุยกับนางก็ดีนะ”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้น “ลูกไม่อาจทิ้งอาซินไว้ที่นั่นได้ อีกทั้งพรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้า คืนนี้ลูกจะไม่ออกจากวัง จะอยู่ที่พระตำหนักฉางเชิงหนึ่งคืน”
“เจ้าเสียสติไปแล้วใช่ไหม?” กุ้ยไท่เฟยลุกขึ้นตามมา “เซี่ยจื่ออานผู้นั้นก็อยู่ที่พระตำหนักฉางเชิงนั่น คืนนี้เจ้าไม่ออกจากวังจะพักด้านใน จะไม่ให้ผู้อื่นนินทาได้อย่างไร?”
มู่หรงเจี๋ยยิ้มอย่างเย็นชา “มีปัญหาอันใดหรือ? ไม่นานนางก็จะได้เป็นสนมเอกของผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิแล้ว”
เขาก้าวเท้ายาว ๆ เดินจากไป หัวเราะอย่างโจ่งแจ้ง ราวกับว่าเขามีความสุขมาก ๆ