ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 72
“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ทราบ ฮองเฮาโปรดสั่งให้คนไปตรวจสอบอย่างละเอียดด้วยเถิด!” ใบหน้าของมู่หรงเจี๋ยดูจริงจังมาก
จื่ออานเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา ท่าทางเขาช่างดูไม่รู้อิโหน่อิเหน่เสียจริง เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนแพร่ข่าวนี้ออกไป ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะเข้าวังมา เดิมทีคิดว่าพอพวกเขาเข้าวังมาแล้วนางก็จะถูกใส่ความ ที่ไหนได้ที่เข้าวังมาก็เพื่อลบล้างความผิดให้ตนเอง?
สีพระพักตร์ของฮองเฮามืดหม่น “จื่ออาน เจ้าไปที่นั่นกับข้า ไม่จำเป็นต้องพูดถึงที่มาที่ไปของเรื่องการถอนหมั้นในวันนั้นแล้ว ข้ารู้ว่าจะต้องทำเช่นไร”
จื่ออานตอบ “เพคะ!” ไม่พูดก็ดี มิเช่นนั้น ไม่ว่านางจะพูดว่าตนเองรู้สึกแย่และได้รับความทุกข์ทรมานเพียงใด และถึงแม้จะเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบก็จะถูกฮองเฮามองว่าตนจิตใจคับแคบอยู่ดี
แม่นมหยางเตรียมเกี้ยวให้ในทันที จื่ออานออกจากประตูไป มองเห็นแสงแดดส่องประกายระยิบระยับก็รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย
นางต้องรีบรักษาร่างกายให้แข็งแรง มิเช่นนั้น หลังจากกลับไปที่จวนแล้ว นางจะไม่สามารถต่อกรกับกลุ่มหมาป่าชั่วร้ายได้
หลังจากที่ฮองเฮาออกไป องค์จักรพรรดิเหลียงก็ให้หยวนพ่านและข้าหลวงรับใช้ออกไป เขามองไปที่มู่หรงเจี๋ยและกล่าวว่า “เสด็จอา ท่านใช่ไหมที่เป็นคนปล่อยข่าว?”
มู่หรงเจี๋ยเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“เป็นท่านนั่นแหละ!” องค์จักรพรรดิเหลียงถอนหายใจเบา ๆ “มหาเสนาบดีเซี่ยคนนี้บีบบังคับบุตรสาวของตนเองถึงขนาดนั้น ในตอนนั้นข้าช่างตาบอดเสียจริง”
“เจ้าไม่ได้ตาบอดหรอก เขาดูเหมือนสุภาพบุรุษที่ถ่อมตัวมาโดยตลอด ใครจะรู้ว่าจิตใจของเขาจะเต็มไปด้วยกลอุบายที่ชั่วร้าย?”
องค์จักรพรรดิเหลียงยิ้ม “ตั้งแต่ท่านมีอำนาจอยู่ในมือ ท่านก็ได้บีบคั้นเขาให้ออกไป ข้าคิดว่าตอนนั้นท่านอิจฉาในความสามารถของเขา พอลองมองย้อนกลับไปในวันนี้ ท่านช่างมีสายตาที่กว้างไกลยิ่งนัก”
มู่หรงเจี๋ยไม่ได้กล่าวอะไร แต่นัยน์ตาของเขากลับดูไร้ความรู้สึก เขามีอำนาจในมืออยู่แล้ว จะไปอิจฉาบุคคลที่มีความสามารถเพื่ออะไร? ในราชสำนักเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารพวกเขาทั้งหมดล้วนได้รับการตรวจสอบเป็นการส่วนตัวอย่างลับ ๆ เกี่ยวกับอุปนิสัยใจคอของมหาเสนาบดีเซี่ย เขารู้มาตั้งแต่แรกแล้ว
มิเช่นนั้น เขาคงจะไม่หยิบยกขึ้นมาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ทุกคนกลับคิดว่าเขาหวั่นเกรงตำแหน่งของมหาเสนาบดีเซี่ย
เมื่อมาถึงด้านนอกของพระตำหนักโซ่วอัน ฮองเฮาได้ตรัสสั่งกับจื่ออาน “เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าให้คนมาเรียกเจ้าเมื่อไหร่ เจ้าถึงค่อยเข้าไป”
จื่ออานย่อตัวลงสองมือประสานแนบข้างลำตัวด้านหนึ่ง “เพคะ!”
ซุนกงกงออกมาต้อนรับ และตะโกนออกไป “ฮองเฮา เสด็จแล้ว”
ฮองเฮาก้าวไปข้างหน้า ท่วงท่าดูน่าหวั่นกลัว มหาเสนาบดีเซี่ยกับหลิงหลงฟูเหรินที่เห็นดังนั้น อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเกรงกลัว และเป็นอย่างที่คิดไว้ ฮองเฮาทรงกริ้วอยู่ ไม่น่าแปลกใจที่เมื่อกี้ไม่ยอมให้เข้าเฝ้า
พระสนมเหมยก้าวไปข้างหน้า “ฮองเฮาเสด็จแล้วหรือ?”
ฮองเฮาไม่ได้ตอบอะไร เดินตรงไปถวายบังคมหวงไท่โฮ่ว “ถวายบังคมเสด็จแม่”
หวงไท่โฮ่วกล่าว “ฮองเฮามาก็ดีแล้ว เรื่องนี้คงต้องให้เจ้าเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง”
ฮองเฮาเดินไปที่ด้านข้างของหวงไท่โฮ่วและนั่งลงนางเชิดหน้ามองไปยังมหาเสนาบดีเซี่ยด้วยสีหน้าที่เย้ยหยัน “ท่านมหาเสนาบดีมาที่พระตำหนักโซ่วอันแล้วหรือ? เมื่อครู่นี้ไม่ใช่ว่าท่านอยู่ที่ด้านนอกพระตำหนักฉางเชิงแล้วกล่าวว่าต้องการพบข้าหรือ? ตอนข้าออกไปก็ไม่เห็นผู้ใดแล้ว ที่แท้ก็มาที่พระตำหนักโซ่วอันนี่เอง ท่านมหาเสนาบดีช่างเป็นเทพเจ้ามังกรเห็นหัวมิเห็นหางจริง ๆ”
มหาเสนาบดีเซี่ยพร้อมที่จะเผชิญกับความกริ้วของฮองเฮา เขากล่าว “พระองค์โปรดให้อภัยกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้รอเข้าเฝ้าพระองค์อยู่ที่ด้านนอกพระตำหนักฉางเชิงแล้ว เพียงแต่ว่า พระองค์ทรงมีราชกิจมากมาย กระหม่อมเลยมาเข้าเฝ้าหวงไท่โฮ่วก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนกงกงได้ยกน้ำชาเข้าไปถวายฮองเฮา พระองค์รับมา แล้วค่อย ๆจิบ พลางมองไปที่มหาเสนาบดีเซี่ยแล้วกล่าว “พวกเจ้าอยู่ที่พระตำหนักฉางเชิงขอเข้าเฝ้าข้าจนถึงเวลานี้ก็เป็นชั่วยาม ๆ มาแล้ว ทำไมถึงยังคุกเข่าอยู่ที่พื้นเล่า?”
เมื่อพระสนมเหมยเห็นฮองเฮาที่อารมณ์ไม่ดี นางก็รู้ได้ว่านางจะต้องไปทำให้ฮองเฮาขุ่นเคืองพระทัยเป็นแน่ ก็เลยก้าวไปข้างหน้าเพื่ออธิบาย “ฮองเฮาเพคะ พวกของเสนาบดีรู้ว่าตนเองมีความผิด ดั้งนั้นจึงมาคุกเข่าอยู่ที่นี่เพื่อยอมรับผิดและขอรับโทษจากหวงไท่โฮ่วและฮองเฮาเพคะ”