ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 81
เป็นความโชคดีที่มู่หรงเจี๋ยพูดถึงเรื่อง “ข่าวลือนอกวัง” ขึ้นมาในเวลานี้พอดี “เสด็จแม่ วันนี้ตอนที่ลูกออกไปนอกวัง ลูกได้ยินผู้คนนอกวังพูดกันว่าจื่ออานโดนฮองเฮาโยนเข้าไปในห้องลงทัณฑ์”
ฮองเฮาตกใจเล็กน้อย แล้วมองไปยังมหาเสนาบดีเซี่ยและหลิงหลงฟูเหริน ก็เห็นว่าทั้งคู่มีท่าทีที่เปลี่ยนไป และดูท่าทาร้อนรน
ในใจหวงไท่โฮ่วนั้นก็เข้าใจความหมายทันที
ใบหน้านางฉายแววโกรธเล็กน้อย พยายามลำดับเรื่องของวันนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ นางก็สามารถเดาคร่าว ๆ ได้เลยว่าเป้าหมายที่มหาเสนาบดีเซี่ยเขาวังมานี้คืออะไร การเข้าวังมาครั้งนี้ก็เพื่อที่จะขอประทานอภัยโทษ เมื่อเดินเข้าประตูมาก็โค้งตัวคำนับหน้าผากจรดแตะพื้นและร้องไห้คร่ำครวญ คงคิดว่าการที่วังหลวงเรียกตัวเซี่ยจื่ออานมาก็เพื่อสอบสวนเรื่องการล้มงานอภิเษก เขาจึงพาหลิงหลงฟูเหรินมาด้วยเพื่อปฏิเสธว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ
หากจะบอกว่า หยวนซื่อไม่ได้เป็นแบบที่พวกเขาพูดมาทั้งหมดจริง ๆ ถ้าอย่างนั้น ความคิดของนางสนมเหมยก็ควรค่าที่จะไตร่ตรองดู
กุเรื่องราวใหญ่โตเพื่อที่จะมายืนยันว่านางเป็นหญิงชั้นต่ำผิดศีลธรรม หากหนึ่งในนั้นไม่มีผลประโยชน์ นางก็จะไม่เชื่อ
สิ่งที่หวงไท่โฮ่วเกลียดที่สุดก็คือการที่คนในครอบครัวทะเลาะกันเอง หรือคนในวงศ์ตระกูลบาดหมางกัน หากนางสนมเหมยยุแยงให้องค์รัชทายาททั้งสามพระองค์แย่งชิงตำแหน่งสูงกันจริง ๆ แล้วทำไมถึงได้ล้มเลิกความคิดนี้ของนางไปก่อน ถึงแม้หวงไท่โฮ่วจะพอเดาออก แต่ก็ขอให้ตนเดาผิดเพื่อจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เหมารวมมาถึงหลานชายของตนไปด้วย
เพราะฉะนั้น นางจึงตั้งตาคอยให้ซุนกงกงกลับมาสอบสวนว่า แท้จริงแล้วนางข้าหลวงนางนั้นเป็นผู้ใดกันแน่ และพานางซักไซ้ความ เพื่อใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่านางสนมเหมยนั้นบริสุทธิ์
ซุนกงกงกลับมาด้วยความรวดเร็ว เขาโค้งคำนับจากนั้นกล่าวว่า “ไทเฮา กระหม่อมไปตรวจสอบมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ พอดีกับที่ผู้รับหน้าที่ขันทีในตำหนักชั้นในเป็นผู้สรรเสริญหยวนซื่อ ขันทีผู้นั้นจึงบอกกับกระหม่อมตรง ๆ ว่าหลายปีมานี้ หยวนซื่อไม่ได้เข้ามาในวังหลวงเลย แต่กระหม่อมไม่เชื่อ จึงเข้าไปตรวจสอบบันทึกการเข้าเยี่ยมของนางสนมเหมยที่นั่นแล้วก็ไม่มีจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
สีเลือดบนใบหน้าของนางสนมเหมยเริ่มถอดสีลงเรื่อย ๆ เมื่อครู่นางยังคงหวังอยู่ว่า ตำหนักชั้นในคงจะทำลายบันทึกที่ผ่านมาหลายกว่าปีแล้ว แต่สุดท้ายแล้วผ่านมานานขนาดนี้ ตำหนักชั้นในไม่น่าจะเหลือบันทึกที่ไร้ประโยชน์นี้ไว้อีก
ฮองเฮาก็หัวเราะอย่างเย็นชาขึ้นมา “ไม่รู้ว่าที่สนมเหมยพูดมา จะเป็นเรื่องของปีลิงเดือนม้าหรือไม่?”
หวงไท่โฮ่วกล่าวอย่างสง่าผ่าเผย “สนมเหมย เจ้าว่ามาสินี่มันเรื่องอะไรกัน?”
นางสนมเหมยหลบแววตาที่ตื่นตระหนกไว้ครู่หนึ่ง และกล่าวต่อว่า “ไทเฮา เป็นไปได้ว่าหม่อมฉันอาจจะจำผิด คงจะเป็นหม่อมฉันเองเพคะที่ออกจากวังไปจวนมหาเสนาบดี ใช่แล้วเพคะ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จวนมหาเสนาบดีเพคะ”
มหาเสนาบดีเซี่ยก็พูดต่อทันควัน “พอแม่นางผู้นี้กล่าวมา กระหม่อมก็คิดขึ้นมาได้ว่า มีอยู่ปีหนึ่งที่แม่นางออกจากวังไปที่จวน แล้วหยวนซื่อก็เคยโมโห ครั้งนั้นหยวนซื่อได้วาดภาพให้แม่นางชม แต่ดันถูกนางข้าหลวงที่อยู่ข้าง ๆ แม่นางทำน้ำชาหกใส่จนเปียก นางจึงพูดตรงนั้นเลยว่าจะฆ่านางข้าหลวงคนนั้น”
จื่นอานแทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง เขาบ้าไปแล้วหรือไง? ไอตำแหน่งมหาเสนาบดีอะไรนี่ แท้จริงแล้วได้มาได้อย่างไร? คนที่มีปัญญาแบบนี้ ก็เป็นมหาเสนาบดีได้หรือ?
มิน่าล่ะ มู่หรงเจี๋ยถึงได้แค้นใจนัก ผู้ที่เป็นขุนนางชั้นสูงในวังเยี่ยงนี้ ช่างไร้เกียรติเสียจริง
จริง ๆ แล้วจื่ออานกลับดูมหาเสนาบดีเซี่ยผิดไป เขาไม่ได้โง่เขลา แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว จึงทำได้แต่สนับสนุนคำพูดนางสนมเหมยไปอย่างหลับหูหลับตา เพราะหากเขาสลัดนางสนมเหมยทิ้งตอนนี้ คราหน้าก็จะขาดคนที่มีกำลังอำนาจตรงนี้ไป
ดังนั้น เขารู้ดีว่าสิ่งที่เขาพูดออกไปแล้วไม่น่าเชื่อถือ แต่ก็ไม่มีทางเลือกจึงต้องตามน้ำไปกับคำพูดของนางสนมเหมย
เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ เขาเองก็มองออกแล้ว ว่าการที่ตนเองเขาวังมาขออภัยโทษ มีคนตั้งใจจัดแจง และข่าวที่เซี่ยจื่ออานถูกโยนเข้าห้องลงทัณฑ์ ก็มีคนจงใจปล่อยข่าวออกไปเช่นกัน