ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 321
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็ตกใจ
มู่หรงเจี๋ยก็พูดกับจื่ออัน “ยังไม่รีบเข้าไปช่วยชีวิตเขาอีก?”
จื่ออันเหลือบมองไปที่อ๋องหลี่ด้วยสายตาที่แลดูซับซ้อน ช็อก?
ถ้าความทรงจำของนางไม่ได้สับสนไป เขาเพิ่งพูดคำว่าช็อกไปหนึ่งคำ
ช็อก ไม่ใช่คำที่ใช้ในการแพทย์แผนจีน
อีกอย่าง หลังจากที่ได้ฟังการวิเคราะห์มุมและทิศทางของเขาที่พูดเมื่อครู่นี้แล้ว ก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างจะแปลกไปสักหน่อยที่คำพูดนี้ออกมาจากปากของอ๋องยุคโบราณ
อย่างไรก็ตาม นางรู้สึกว่าการคาดเดาของนางค่อนข้างจะไม่สมเหตุสมผล
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพิจารณาคำถามนี้
จื่ออันที่อยู่ท่ามกลางสายตาของฝูงชน ก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อดึงปิ่นปักผมที่หน้าอกของเด็กรับใช้ที่เฝ้าหน้าประตูออก หลังจากที่ปิ่นถูกดึงออกมาแล้วเลือดก็ได้ไหลทะลักออก แต่จื่ออันก็ได้เตรียมผ้าเช็ดหน้าสำหรับกดลงไปที่แผลนานแล้ว
บาดแผลไม่ใหญ่และไม่ได้มุ่งไปที่ตำแหน่งของหัวใจ จะเห็นได้ว่าคนที่ลงมือนอกจากไม่มีกึ๋นแล้วนั้น ยังไม่ใช่คนที่รู้วิทยายุทธด้วยอย่างแน่นอน เพราะปิ่นไม่ได้เจาะทะลุเนื้อเข้าไป แต่ทะลุชั้นผิวหนังเท่านั้น
เจ้ากรมอาญาก้าวออกมาตรวจสอบด้วยตนเอง แต่ก็ไม่ได้ถ่วงเวลาการรักษาของจื่ออัน
ก่อนหน้านี้จื่ออันได้ใช้กระแสไฟฟ้าช็อตเขาไปแล้ว เพื่อปลุกเขาให้ตื่นจากสภาวะช็อก และได้ฝังเข็มไปที่จุดชี่ฮู่ หยุนเหมิน และจงฝู่เพื่อไม่ให้เขาขยับตัวได้ และแม้แต่เปิดเปลือกตาก็ทำไม่ได้ แต่เขามีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ได้ยินทุกคนพูดได้อย่างชัดเจน
ตอนนี้จื่ออันมาที่จุดฝังเข็มตรงกลางของเขา และฝังเข็มลงไปที่จุดป๋ายฮุ่ยเพื่อปลดปล่อยพลังงานที่ไหลเวียนในร่างกายของเขาออกมา “อีกสักครู่เขาจะฟื้นขึ้นมา”
ในขณะเดียวกันนี้ เจ้ากรมอาญาก็ตรวจสอบเสร็จแล้วเช่นกัน และกล่าวว่า “เขามีร่องรอยของการขัดขืน เล็บของเขาถูกขูดขีดบนโขดหินมาก่อน และเท้าของเขาอยู่เหยียดบนพื้น ทุกคนสามารถดูที่เล็บของเขากับหัวรองเท้า และส้นรองเท้าของเขาได้ ล้วนมีร่องรอยของการเสียดสี”
ทุกคนมองเข้าไป และก็เห็นว่าเล็บของเขาได้รับความเสียหายจริง ๆ สองถึงสามนิ้วในนั้นเปื้อนคราบเลือด หัวรองเท้าและส้นรองเท้าก็ชำรุดสึกหรอเช่นกัน ซึ่งน่าจะเกิดจากการถูกกดไปที่พื้นหรือไม่ก็ถูกกดกระแทกลงไปที่หินตรงภูเขาหินจำลอง
นั่นก็หมายความว่ามีคนบีบคอของเขา
ใบหน้าของซีเหมินเสี่ยวชิ่งซีดเซียว เขาถอยหลังออกมาที่ฝูงชนอย่างเงียบ ๆ เพื่อจะได้หลบหนีออกไป
แต่เฉินหลิวหลิ่วได้คว้าคอเสื้อเขาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง “ถ้ากล้าหนี ข้าจะมัดเท้าทั้งสองของเจ้าไว้กับศีรษะของเจ้าเสีย”
เมื่อเห็นว่าบุตรชายของนางถูกเฉินหลิวหลิ่วจับตัวไว้ ฮูหยินรองของตระกูลซีเหมินก็รีบดุด่าเสียงดัง “เจ้าเด็กเกเร ปล่อยเขาไปนะ ถ้ากล้าทำร้ายเขาล่ะก็ข้าจะฆ่าเจ้า”
ทันใดนั้นก็มีบุรุษสิบสองคนที่สวมใส่ชุดเหมือนกันปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเหลียงซื่อราวกับกองทัพสวรรค์ เหมือนดั่งป้อมปราการทำให้เหลียงซื่อหยุดและถอยหลังกลับไป
ทุกคนมีสีหน้าที่ดุร้าย เหลียงซื่อที่อารมณ์ฉุนเฉียวอยู่ ไม่ได้เกรงกลัวเลยสักนิดเดียว นางตะโกนเรียกเหล่าไท่จวิน “เฉินไท่จวิน ท่านดูคนในตระกูลเฉินของท่านสิ พวกเขาจะกินข้าหรืออย่างไรกัน?”
เหล่าไท่จวินนั่งนิ่งราวกับภูเขาไท่ซาน แม้แต่คิ้วก็ไม่ได้ขมวด นางสูบยาสูบพลาง พูดอย่างเย็นชา “ท่านคิดจะฆ่าหลานสาวของข้า พวกเขาจะกินท่านก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน? อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่ข้าเองก็อยากจะเคี้ยวสักคำ”
อย่างที่มู่หรงเจี๋ยบอก เฉินหลิวหลิ่วคืออัญมณีในฝ่ามือของตระกูลเฉิน และเป็นคนที่เหล่าไท่จวินรักมากที่สุด จะให้ใครมาพูดจาดูหมิ่นดูแคลนแม้นเพียงครึ่งประโยคได้อย่างไร?
เหลียงซื่อแข็งทื่อไป “ท่านกำลังปกป้องคนกระทำความผิดอยู่นะ”
“ตระกูลเฉินก็คอยปกป้องมาโดยตลอด ตอนนี้ท่านเพิ่งจะรู้เหรอ?” เหล่าไท่จวินพูดออกมาพร้อมกับเหลือบตามองเล็กน้อย เส้นผมสีเงินเปล่งประกายท่ามกลางแสงที่ส่องกระทบ และปลายนิ้วค่อย ๆปัดเขม่ายาสูบ แลดูเยือกเย็นอย่างอธิบายไม่ถูก
“ท่านอ๋อง ท่านสนใจกฎเกณฑ์อยู่เสมอ หรือท่านจะไม่สนใจเรื่องนี้?” เหลียงซื่อถูกพี่น้องตระกูลเฉินกดดันให้ถอยไปสองก้าวแล้ว นางจึงรีบพูดเสียงแหลมกับอ๋องหลี่
อ๋องหลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ถามออกไปอย่างใจเย็น “เกี่ยวอะไรกันด้วย?”
“พวกเขาจะลงมือทำร้ายคน”