ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 369
มีดเล่มนี้ หากฟาดลงไปโดนกายของอ๋องเหลียงแล้วล่ะก็ อ๋องเหลียงจะต้องกลายเป็นอ๋องเหลียงสองท่านเป็นแน่
จื่ออันตกใจเสียจนแข้งขาเริ่มจะอ่อนแรงลง สายเกินไปที่จะหยุดเสียแล้ว
เดิมนั้นคิดว่าอ๋องเหลียงจะหลีกหนีมิได้ แต่คาดไม่ถึงว่าจู่ ๆ เขาก็กระโดดขึ้นมาในคราเดียว จากนั้นกระโดดอย่างรวดเร็วสองสามก้าวไปยังต้นไทรที่ล้มลง แล้วกระโดดจากต้นไทรขึ้นไปยังหลังคา
แต่ว่าความคมของมีดนั้นก็ยังคงทำให้ชุดของเขาขาดลง
จื่ออันมองไปอย่างตกใจ นี่คืออ๋องเหลียงที่ผู้อื่นเอ่ยถึงว่าเหลวไหลไร้ความสามารถจริงหรือ? ผู้ที่เดินไม่ค่อยจะตรงนัก แต่กลับสามารถกระโดดขึ้นไปได้
อ๋องเหลียงส่งเสียงคำรามมาจากบนหลังคา “เซี่ยจื่ออัน อาศัยช่วงที่องครักษ์ทั้งหลายยังมามิถึง เจ้ารีบนำเจ้าโง่นี้ออกไปเสีย”
ตาวเหล่าต้าผู้ซึ้งยังไม่รู้ว่าตนทำอะไรผิดลงไป และแสดงออกมาราวกับผู้บริสุทธิ์ มองไปยังจื่ออันอย่างตกตะลึง
จื่ออันถอนหายใจออกมา นางจึงเข้าไปดึงเขาออกมา “ไปกันเถอะ หากยังอยู่ที่นี่ไม่รีบออกไป ก็จะสายไปเสียแล้ว”
ตาวเหล่าต้าตกใจเสียจนใบหน้าซีดขาว วิ่งออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็นึกถึงอาหารเช้าที่วางไว้อยู่ที่โต๊ะน้ำชาขึ้นมาได้ เร่งรีบหมุนตัววิ่งกลับไป “ซาลาเปาเนื้อของข้า”
“เสี่ยวซุนช่วยเขาหยิบมา!” จื่ออันส่งเสียงตะโกนออกไป “หากยังไม่ไปอีก ต่อไปก็จะไม่มีข้าวกินแล้ว”
ตาวเหล่าต้ารู้สึกว่าหากไม่มีข้าวกินแล้วคงจะหนักหนาเอาการ ซาลาเปาเหล่านี้ก็มิอาจกินไปได้ตลอดชีวิต หลังจากชั่งใจดูแล้ว กัดฟันใหญ่วิ่งออกไปกับจื่ออัน
อยู่บนรถม้ารออยู่เพียงครู่นึง จึงพบเสี่ยวซุนที่กำลังวิ่งออกมา นางถือห่อผ้าอาหารเช้าใบใหญ่ออกมา นางปีนขึ้นมาบนรถม้า แล้วโยนไปให้ตาวเหล่าต้า เอ่ยออกมาทั้งที่ยังเหนื่อยหอบ “ต่อไปเจ้ามิอาจประมาทเลิ่นเล่ออย่างนี้ได้อีกต่อไปแล้วนะ หากว่าท่านอ๋องเกิดอันตรายอะไรขึ้นมา คุณหนูใหญ่ของพวกเราก็จะโชคร้ายไปด้วย”
ตาวเหล่าต้าตกตะลึง “ทำไมกัน? หรือว่าเขาจะกลายเป็นผี แล้วกลับมาหาคุณหนูใหญ่หรืออย่างไร? หากเป็นผีแล้วข้าก็ไม่อาจที่จะฆ่าให้ตายได้”
จื่ออันรู้สึกว่าจำเป็นต้องพูดถึงหลักเหตุผลของการเป็นคน
“เจ้าชื่ออาต้าใช่หรือ?” จื่ออันไม่มีทางที่จะเรียกเขาว่าเหล่าต้า
“ตาวเหล่าต้า!” เขาเอ่ยแก้ มือนั้นกอดอาหารเช้าพวกนั้นเอาไว้แน่น กลัวว่าเสี่ยวซุนจะแย่งเอาไป
“ต่อไปข้าจะเรียกเจ้าว่าอาต้า”
“แต่ว่าข้านั้นชื่อว่าตาวเหล่าต้า”
“อาต้า หรือเจ้าจะยอมไม่มีเนื้อกิน” จื่ออันกัดฟันเอ่ยออกมา
“…” เขาเอ่ยอย่างประนีประนอม “ข้ามีชื่อว่าอาต้า”
จื่ออันยื่นมือออกมา “มีดเจ้าเอามาให้ข้าซะ”
ตาวเหล่าต้าลังเลไปครู่นึง จึงได้นำมีดส่งไปให้จื่ออัน “ท่านแม่เป็นคนมอบให้ข้า คุณหนูใหญ่อย่าได้นำมันไปขายนะขอรับ”
“ไม่ขายของเจ้าหรอก” จื่ออันชี้ไปที่หน้าผาก “จำเอาไว้ หากว่าไม่ให้เจ้าลงมือแล้ว เจ้าห้ามลงมือ ถึงแม้ว่าจะเป็นตอนที่ข้าโดนผู้อื่นรังแกก็ตาม หากเจ้าจะลงมือ แต่ก็ห้ามใช้มีดฟันลงไปที่ผู้อื่น ยังมีอีก เจ้าจะต้องจำเอาไว้ ใครที่เป็นศัตรูของข้า ใครที่เป็นเพื่อนของข้า ข้าจะค่อย ๆ พูดให้เจ้าฟัง ไม่สิ อีกครู่หนึ่งข้าจะพูดให้เจ้าฟัง ยังมีอีก อ๋องเหลียงเป็นเพื่อนของข้า ต่อไปนี้เจ้ามิอาจลงมือกับเขาได้อีก แม้ว่าเขาจะขู่คำรามใส่ข้าสองสามประโยค เจ้าก็ห้ามลงมือโดยเด็ดขาด”
ตาวเหล่าต้าเปิดตาใหญ่ของเขา “ไม่ลงมือ แต่ก็มีข้าวกินหรือ?”
“มี ครบทั้งสามมื้อ”
ตาวเหล่าต้าตัวสั่น แสดงออกมาว่าดีอกดีใจ เขาตลอดชีวิตมานี้ ไม่เคยยินมาว่าไม่ช่วยผู้คนทุบตีแล้วก็ยังจะมีข้าวกิน
เขาพยักหน้าราวกับโขลกกะเทียมอยู่ “ขอรับ ขอรับ ทำตามที่คุณหนูใหญ่เอ่ยทั้งหมดขอรับ”
เสี่ยวซุนเหลือบมองมายังเขา “น้ำเสียงของเจ้า ทำไมถึงได้แปลกประหลาดนัก? เดี๋ยวก็เป็นคนทางใต้ อีกเดี๋ยวก็ไม่รู้ว่าเป็นคนที่ใด”
“ข้าเป็นคนทางใต้ หลังจากนั้นก็ไปยังทางเหนือ น้ำเสียงของทั้งสองที่นี้ล้วนมีผสมอยู่นิดหน่อยขอรับ” คำพูดประโยคนี้กลับพูดเหมือนกับคำพูดในเมืองหลวง แต่ว่า พูดออกมาค่อนข้างรุ่มร่าม
เสี่ยวซุนเอ่ย “เจ้าจะต้องเรียนคำพูดเมืองหลวง ไม่งั้นแล้วผู้อื่นในจวนจะหัวเราะเจ้าเอาได้”