ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 385
ไท่เป่ากล่าวต่อไป “จุดที่สี่ ตอนที่คณะเชิดมังกรไฟเดินแห่ขบวนมา ก็มีคนร่วมเดินขบวนจำนวนมาก ตอนที่เฉินหลิวหลิ่วเกือบจะโดนไฟเผา เจ้าบอกว่าตอนนั้นมีบ่าวรับใช้มากมายอยู่ด้วย ในเมื่อมีบ่าวรับใช้ ก็ต้องรู้ว่ามีคนอยู่ในเรือนด้านข้าง ทำไมถึงไม่รีบเข้าไปแจ้งให้พวกเขารีบหนีออกมา?”
มหาเสนาบดีเซี่ยจึงออกมาพูด “ไท่เป่า ในเวลานั้น บ่าวรับใช้หลายคนก็หารู้ไม่ว่าในเรือนด้านข้างมีคนอยู่ อีกทั้งเกิดไฟไหม้อย่างฉับพลัน ทำให้ทุกคนวิ่งกันอย่างวุ่นวาย ไหนจะต้องช่วยอพยพคนที่เดินร่วมขบวนมาด้วยอีก ทำให้ลืมเรื่องอื่นไปชั่วขณะก็เป็นได้”
ไท่เป่าขึ้นเสียงดัง “ดี ถือว่าบ่าวรับใช้ไปร่วมขบวนไม่รู้เรื่อง แต่ว่าในเวลานั้นก็มีคนของเจ้าคอยสังเกตการณ์มาโดยตลอด เหตุใดคนผู้นี้ถึงไม่ไปแจ้งเรื่องเล่า?”
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง “สถานการณ์ในตอนนั้นวุ่นวายมาก มันไม่ได้ง่ายดายดั่งที่ท่านไท่เป่าคิด ท่านจำเป็นต้องเคืองโกรธด้วยหรือ?”
ไท่เป่ามองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่า “ใช่ มันอาจจะไม่ง่ายดายอย่างที่ข้าคิดไว้ บางทีมันอาจจะมีอะไรที่ค่อนข้างจะซับซ้อนกว่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านว่าจริงหรือไม่?”
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้พูดอะไร เพราะไม่มีอะไรต้องให้พูดแล้ว นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่าจอกสุราของเหลียงซื่อและเซี่ยจื่ออันนั้นไม่ได้ถูกเก็บออกไป เขาจงใจวางหลุมพรางเอาไว้ ให้ซีเหมินเสี่ยวเยว่ยอมรับว่าคนของนางเป็นคนเก็บไป แล้วทำไมเก็บไปแต่จอกสุราแต่ไม่เก็บจานชามอื่น ๆ? จุดนี้เองที่จะเป็นพิรุธใหญ่โต
นางเองก็ไม่อาจปฏิเสธว่าไม่มีใครเก็บจอกสุราออกไป เพราะนางไม่ต้องการเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลีกเลี่ยงได้ก็ให้หลีกเลี่ยง ที่ไท่เป่ามาในวันนี้ ไม่ได้มาเพื่อเหลียงซื่อ แต่เขามาเพื่อตรวจสอบคดีนี้ต่างหาก ถ้าซีเหมินเสี่ยวเยว่จะซวยก็เป็นเรื่องของนาง ขอเพียงอย่าดึงนางเข้าไปเกี่ยวข้องก็พอ
อีกอย่าง ไม่ว่าจะมีการเก็บจอกสุราไปหรือไม่ แต่ซีเหมินเสี่ยวเยว่ก็ยอมรับไปแล้ว เช่นนั้น เรื่องที่เก็บจอกสุราไปก็ถือเป็น “เรื่องจริง” แล้ว เมื่อไม่มีใครคัดค้าน เรื่องราวก็จะต้องเป็นไปตามนี้ต่อไป
ไท่เป่าเอ่ยถามซีเหมินเสี่ยวเยว่ “อยากให้ข้าถามต่อไปอีกหรือไม่? หรือว่าจะให้ถามคุณหนูรองตระกูลเซี่ยกับองค์รัชทายาทว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีทำร้ายร่างกายคนได้อย่างไร”
ซีเหมินเสี่ยวเยว่แทบจะทรุดล้มลงไปที่พื้น เซี่ยหว่านเอ๋อที่ได้ยินดังนั้นก็รู้ตกใจเล็กน้อย แต่ว่าพอนึกผลที่จะได้รับ สีหน้าของนางก็ซีดขาวขึ้นมาในทันที
ไท่เป่ามองไปที่ซีเหมินเสี่ยวเยว่ และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “คำบอกเล่าของเจ้าก่อนหลังไม่สอดคล้องกัน ดูจากเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนั้น รวมทั้งการที่เจ้าย้ายหีบเครื่องประดับกับเงินถมสินสอดไปล่วงหน้าแล้ว แทบจะยืนยันได้แล้วว่า เจ้ารู้ว่าจะมีเหตุการณ์เพลิงไหม้เกิดขึ้นที่เรือนด้านข้าง เสี่ยวเยว่เอ๋ย สิ่งที่เจ้าผิดพลาดมากที่สุดก็คือถูกผู้อื่นหลอกใช้ เจ้าไม่ควรให้คนของเจ้าไปจัดหาคณะเชิดมังกรไฟเลย ตอนนี้ผู้ที่ไปติดต่อคณะเชิดมังกรไฟ ก็เป็นคนของเจ้า อีกทั้ง ตั๋วเงินที่จ่ายออกไป ก็ยังเป็นของจวนกั๋วกงอีกด้วย”
ซีเหมินเสี่ยวเยว่มีสีหน้าที่ซีดขาวขึ้นมาในทันที นึกถึงวันนั้นตอนที่คุยกันว่าจะเชิญคณะเชิดมังกรไฟมา เดิมทีนางอยากจะให้คนของจวนมหาเสนาบดีเป็นคนไปจัดการ ทว่าบ่าวรับใช้ในจวนทั้งหมดต่างก็ออกไปคอยรับใช้แขกเหรื่อกัน
แน่นอนว่านางก็ต้องออกเงินเองไปก่อน ในเงินถมสินสอดที่ทางจวนกั๋วกงให้มาก็มีตั๋วเงินรวมอยู่ด้วย นางก็เลยหยิบออกมาจ่าย
เดิมทีก่อนหน้านี้ก็ได้พูดกันไว้แล้วว่า หากเกิดเรื่องอันใด ถือว่าเป็นอุบัติเหตุจากมังกรไฟที่เกิดขึ้นในจวนมหาเสนาบดีเท่านั้น และแม้ว่าทางศาลาว่าการจะเข้ามาตรวจสอบ แต่ว่าหากตรวจสอบแล้วไม่เจอหลักฐานอะไร สุดท้ายแล้วก็จะถูกตัดสินว่าเป็นแค่อุบัติเหตุ แต่ภายหลังกลับเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่เรือนหอด้วย อีกทั้งยังทิ้งร่องรอยหลักฐานเอาไว้อีก เมื่อทั้งสองเหตุการณ์มีความเชื่อมโยงกัน ทางศาลาว่าการก็ย่อมจะให้ความสำคัญอยู่แล้ว
ถ้าหากคาดคั้นถามเอาจากทางฝั่งของคณะมังกรไฟ เกรงว่าจะเผยพิรุธออกมา อีกทั้งทางฝั่งของคณะมังกรไฟย่อมจะถูกตรวจสอบไปแล้วอย่างแน่นอน เพราะว่าไท่เป่ารู้แล้วว่า ตั๋วเงินที่พวกเขารับไป เป็นของจวนจิ้นกั๋วกง
จื่ออันที่เห็นฮูหยินผู้เฒ่ากับมหาเสนาบดีเซี่ยที่แม้ว่าจะรู้ว่าความนัยที่ไท่เป่าสื่อออกมาว่าหมายถึงอะไร แต่ทั้งสองคนก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ช่างหน้าหนาหน้าทน ทำให้คนรู้สึกประหลาดใจจนอ้าปากค้างได้จริง ๆ
ไท่เป่าลุกขึ้น กวาดตามองดูผู้คน สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าซีเหมินเสี่ยวเยว่ ชักสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมกล่าวเสียงดัง “เรื่องที่เจ้าพูดมาวันนี้ ข้าจดจำไว้แล้ว และจะแจ้งกับกรมอาญาตามความเป็นจริง เพื่อใช้เป็นสำนวนในการสรุปคดี ไม่ต้องถามอะไร เพราะข้ามีอำนาจในการจัดการกับคดีนี้ ทางกรมอาญาได้มอบหมายให้ข้าช่วยสอบสวนและฟ้องร้องคดีนี้แล้ว วันนี้ข้าจะยังไม่ดำเนินคดีอะไรกับเจ้า แต่ว่าพรุ่งนี้ คนของทางศาลาว่าการก็จะมาพบเจ้าเอง”
หลี่ซื่อตะโกนเสียงดัง “ท่านหมายความว่าอย่างไร? ท่านจะร่วมมือกับผู้อื่นมารังแกคนของตระกูลซีเหมินอย่างนั้นหรือ?”
ไท่เป่าไม่ได้มองไปที่นาง แต่มองไปที่จิ้นกั๋วกง แล้วกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าพูดอะไรบ้างสิ”
เขาพูดออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยอย่างนี้ ทำให้จิ้นกั๋วกงตั้งตัวไม่ทัน
แต่ว่าไม่ช้าเขาก็เข้าใจความหมายของไท่เป่า หากตอนนี้จวนกั๋วกงไม่เข้าไปข้องเกี่ยว มันก็ยังทันอยู่
เขาจึงกล่าวออกไปอย่างไม่ลังเลใจในทันที “หากเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นในจวนมหาเสนาบดี ไม่ใช่อุบัติเหตุจริง แต่มีคนจงใจทำให้เกิดขึ้น ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร ต่อให้เป็นคนของจวนกั๋วกงก็ตาม ก็จะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย”