ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 397
อ๋องอันมองดูนาง เดิมทีก็ไม่อยากแจ้งข่าวนี้กับนาง แต่ว่าดูท่านางน่าจะต้องการเวลาเตรียมใจสักหน่อย “เสด็จอา เขากำลังจะกลับมาแล้ว”
มู่หรงจ้วงตัวสั่นเล็กน้อยอยู่เป็นเวลานาน ถึงจะกล่าวออกมาว่า “อืม”
ใช่ สามปีต้องกลับมาเมืองหลวงหนึ่งครั้งเพื่อรายงานสถานการณ์ ปีนี้ก็เป็นปีที่สามแล้ว
นางสับเท้าเดินออกไป แล้วโบกมือ “ข้ากลับก่อนนะ”
อ๋องอันหยิบชามที่ใส่อาหารปลาขึ้นมา แล้วส่ายหัวเบา ๆ “คนในตระกูลมู่หรง มีรักที่คงมั่นเสียจริง”
เพิ่งจะหันหลังไป ก็มีทหารองครักษ์วิ่งเข้ามา มองไปที่ใบหน้าของอ๋องอันด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ท่านอ๋อง ท่านลองทายดูสิขอรับว่าบ่าวมีข่าวดีอันใดมาแจ้งให้ท่านทราบ?”
อ๋องอันสับเท้าก้าวออกไป
ทหารองครักษ์เดินตามไป “คุณหนูใหญ่ตระกูลหยวนหย่าแล้วนะขอรับ นางหย่าแล้ว!”
อ๋องอันก็ยังเดินต่อไปอยู่ดี
ทหารองครักษ์รู้สึกมึนงง เรื่องที่น่ายินดีถึงเพียงนี้ แต่ท่านอ๋องกลับเดินจากไปง่าย ๆ เช่นนี้น่ะหรือ? รอมาตั้งเนิ่นนานหลายปี เปลี่ยนใจไปแล้วหรืออย่างไร?”
วันต่อมา คนของทางศาลาว่าการก็มาจริง ๆ
ตอนที่ไต่สวน มหาเสนาบดีเซี่ยก็อยู่ด้วย เขาจ้องมองจื่ออันอย่างหวาดระแวงว่านางจะพูดเรื่องที่เซี่ยฉวนพูดไว้ก่อนตายออกมา แต่ว่าจื่ออันก็รักษาคำพูด มิได้พูดถึงแต่อย่างใด
ซีเหมินเสี่ยวเยว่ไม่ได้ยอมรับว่าตนเองเป็นคนวางเพลิง แต่ยอมรับว่าได้สั่งให้คนไปเชิญคณะเชิดมังกรไฟมา
หลี่ซื่อแม่ของซีเหมินเสี่ยวเยว่ได้ใช้เงินไปเป็นจำนวนมาก เพื่อซื้อหนึ่งในผู้ที่เชิดมังกรไฟ ให้เขายอมรับว่าเป็นคนวางเพลิงที่เรือนหอ จุดประสงค์ของนางก็คือเบี่ยงเบนจุดสนใจมาที่อุบัติเหตุจากคณะเชิดมังกร สร้างเรื่องว่ามีคนจงใจวางเพลิง ทำเช่นนี้จึงจะสามารถรักษาชื่อเสียงคณะเชิดมังกรไฟของพวกเขาไว้ได้ เพื่อไม่ให้ข่าวแพร่ออกไป จนทำภายภาคหน้าพวกตระกูลขุนนางระดับสูงไม่กล้าเชิญพวกเขาไปแสดงอีก
ทางศาลาว่าการได้สรุปความเบื้องต้นว่า เพลิงไหม้ที่เรือนด้านข้างคืออุบัติเหตุ แต่ที่เรือนหอมีคนจงใจวางเพลิง
แน่นอนว่ามันเป็นแค่การสรุปความเบื้องต้นเท่านั้น ยังจะต้องตรวจสอบกันอีกต่อไป เพราะว่ายังมีจุดที่น่าสงสัยอยู่มากมาย
จิ้นกั๋วกงเองก็ทนหลี่ซื่อกับซีเหมินเสี่ยวเยว่ไม่ไหวที่พวกนางเอาแต่ร้องไห้คร่ำคราญ จึงได้เข้าวังไปเข้าเฝ้าฮองเฮา พระนางได้เรียกตัวใต้เท้าซุยที่ดำรงตำแหน่งเป็นสมุหราชเลขาธิการมาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว
ฮองเฮาไม่ได้บอกให้ใต้เท้าซุยเล่นพรรคเล่นพวก เพียงแต่บอกว่าในเมื่อทางศาลาว่าการได้สรุปความเบื้องต้นว่าเหตุเพลิงใหม้ที่เรือนด้านข้างเป็นอุบัติเหตุ เช่นนั้นก็ให้ลงโทษผู้ที่จงใจวางเพลิงที่เรือนหอก็พอ จากนั้นก็ให้เลิกแล้วกันไป
ใต้เท้าซุยเห็นว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับจวนมหาเสนาบดีกับจวนกั๋วกงเท่านั้น ไม่ได้ไปทำร้ายผู้อื่น และก็รู้ว่านี่เป็นการต่อสู้กันภายในจวน จึงได้ตัดสินใจยุติคดีนี้ เพราะเขาเองก็ไม่อยากใช้กำลังคนไปกับเรื่องกลอุบายหรือแผนการใด ๆ ที่เกิดขึ้นในจวนของพวกเขาโดยเปล่าประโยชน์
ด้วยเหตุที่ซีเหมินเสี่ยวเยว่จ้างคนอย่างไม่รอบคอบ และยังไม่มีการป้องกันที่ดี ทำให้เกิดเพลิงไหม้ที่จวนมหาเสนาบดีได้จนทำผู้อื่นถึงแก่ความตาย จะต้องรับผิดชอบในข้อหากระทำผิดร่วมกันด้วย นางจึงถูกตัดสินให้จำคุกเป็นเวลาสามเดือน
ความจริงแล้ว ข้อหาที่ว่ารับผิดชอบในการกระทำผิดร่วมกันนั้น ก็เป็นเพียงแค่ทางศาลาว่าการขี้เกียจไปหาข้อกล่าวหาอื่น ๆ อย่างไรก็ตามทุกคนก็ต่างรู้ดี ซีเหมินเสี่ยวเยว่ก็ไม่สามารถปัดความรับผิดชอบต่อเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้ได้ แต่ว่าในเมื่อมีแพะรับบาปแทนแล้ว อีกทั้งยังมีฮองเฮาออกหน้าให้ด้วย ทางศาลาว่าการจึงได้แต่ตัดสินจำคุกสามเดือน
ส่วนในคดีทำร้ายร่างกายของซีเหมินเสี่ยวชิ่ง เป็นเพราะว่าหมอหลวงได้วินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคลมชักนานแล้ว แม้ว่าจะได้รับการรักษาจนอาการดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังกำเริบเป็นบางครั้ง ในวันนั้นได้พลั้งมือทำร้ายกุ้ยหยวน พอได้สติขึ้นมา ก็เห็นคุณหนูใหญ่ของจวนมหาเสนาบดีเซี่ยจื่ออันอยู่ที่ภูเขาหินจำลองเข้าพอดี เพื่อที่จะได้หนีความผิด เขาจึงเกิดจิตอกุศลคิดโยนความผิดให้จื่ออัน
ใต้เท้าซุยรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น แต่ว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวพันถึงองค์รัชทายาท ดังนั้นเรื่องที่จะให้อ๋องหลี่ผู้ที่เห็นเหตุการณ์มาเป็นพยานก็ถือว่าแล้วกันไป
อีกทั้งอ๋องหลี่ก็ได้เห็นหลักฐานที่ทางกรมอาญาส่งมาให้แล้วว่าหมอหลวงวินิจฉัยว่าซีเหมินเสี่ยวชิ่งเป็นโรคลมชักจริง ซึ่งเขาก็เป็นคนที่อิงตามหลักฐานเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงปล่อยให้ทางกรมอาญาจัดการตามดุลยพินิจ
ซีเหมินเสี่ยวชิ่งถูกตัดสินให้ถูกจำคุกหนึ่งปี