ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 406
ถ้าหากว่าขังเขาเอาไว้ในกรงเหล็กตลอดเวลา รอจนถึงตอนนั้นเขาก็ตายไปเสียแล้ว
นางมองไปยังมู่หรงเจี๋ยที่นั่งอยู่ในห้องโถง ที่กำลังเช็ดดาบของเขาอย่างเงียบ ๆ ใบหน้าเขาดูเรียบตึง พระอาทิตย์ส่องแสงเข้าไป ทำให้เงาบนพื้นนั้นดูทอดยาวขึ้น
เซียวท่าเดินกลับมา แต่ซูชิงไม่ได้ตามเข้ามาด้วย เซียวท่าเดินไปยังด้านหน้าของจื่ออัน เขาเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “เจ้าก็อย่าได้โทษเขาเลย ในใจเขาเองก็เศร้าพอแล้ว”
จื่ออันส่ายศีรษะ “ข้าไม่มีทางโทษเขาหรอก ข้าเข้าใจดี”
เซียวท่านั่งลง หยิบกิ่งไม้บนพื้นแล้ววาดวงกลมลงไป “เจ้าเข้าใจว่าอย่างไรกัน? คนผู้นี้ชื่อว่าหวางหยู บิดาเสียไปตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วในตอนที่มีการสู้รบกับเป่ยโม่นั้นได้สู้จนตัวตายในสนามรบ สองปีที่แล้ว พี่ชายของเขานั้นได้คอยสู้รบอยู่ในความมืด เพื่อช่วยให้ซูชิงได้หนีออกจากวงล้อม จึงได้เสียสละตนเอง หากว่าเขาตายไปอีกคนหนึ่ง บ้านของเขาก็จะเหลือเพียงมารดาผู้แก่ชรา”
ถึงว่าซูชิงถึงได้เศร้าโศกเสียใจมากนัก คาดไม่ถึงว่าระหว่างเขาและทหารผู้นี้ ยังมีความสัมพันธ์กันเยี่ยงนี้ด้วย
ถึงแม้ว่าในสนามรบนั้นจะไม่เคยมีการเอ่ยถึงบุณคุณจากการช่วยชีวิต เพราะว่าวันนี้เจ้าช่วยข้าไว้ พรุ่งนี้ข้าเองอาจจะช่วยเจ้ากลับก็เป็นได้ เพราะนี้คือกองทัพเดียวกัน แต่ว่าจริง ๆ แล้วในใจของทุกคนต่างก็รู้ดีว่าสายสัมพันธ์ร่วมเป็นร่วมตายกันมานั้นแน่นเฟ้นและลึกซึ้งเป็นที่สุด ทำให้คนยากที่จะลืมเลือน
จื่ออันอยากที่จะช่วยทหารผู้ที่มีนามว่าหวางหยูทำอะไรสักอย่าง แต่ว่านางไม่รู้ว่าจะเริ่มจากที่ใดจริง ๆ
ไม่มีวิธีที่จะหาสาเหตุอาการป่วยได้เลย ไม่มีวิธีที่จะตรวจสอบให้ลึกไปอีกสักนิด แม้แต่การตรวจเลือดก็ทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องพูดถึงวิธีอื่นแล้ว
ความล้าหลังทางการแพทย์นั้น ทำให้จื่ออันรู้สึกหดหู่ขึ้นอีกครั้ง การฝังเข็มนั้นไม่ใช่ตัวเลือกของทุกอย่าง อย่างน้อยการที่จะต่อสู้กับเชื้อไวรัสที่สามารถติดต่อกันได้แบบนี้ ก็ยังคงต้องพึ่งพาการแพทย์แผนปัจจุบัน
“ทำให้เขาฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่?” จื่ออันมองไปยังหวางหยู แล้วเอ่ยถามเซียวท่าออกมา
เซียวท่าเอ่ย “ได้ แต่เมื่อเขาฟื้นขึ้นมาแล้ว มีโอกาสเกินครึ่งที่เขาจะคลุ้มคลั่ง”
“ข้าอยากจะรู้ว่าเขาจะคลุ้มคลั่งอย่างไร บางทีอาจจะพอสืบหาสาเหตุได้”
เซียวท่าผงกศรีษะ สั่งให้คนนำน้ำเข้ามาสาดเข้าไปบนหน้าของเขา
“เขากลัวน้ำเป็นอย่างมาก ระหว่างทางกลับมานั้นได้ให้ยาเขาไปแล้วหลายครั้ง แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฝนตกลงมา น้ำฝนตกลงไปบนร่างกายบนใบหน้าของเขา เขาก็ฟื้นขึ้นมาเอง”
เสียงของเซียวท่ายังไม่ทันจบคำ ก็พบว่าเขาฟื้นขึ้นมาเสียแล้ว
เขาเปิดตาขึ้นมาในชั่วขณะนั้น สองมือยกขึ้นมาถูแรง ๆ บนใบหน้า ปากก็ส่งเสียง “คร่ำครวญ” ออกมา เขาแสดงท่าทางออกมาอย่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
เมื่อเช็ดน้ำบนใบหน้านั้นแห้งขึ้นมาแล้ว เขาก็ลุกขึ้นยืนอยู่ในกรงเหล็กนั้นอย่างช้า มีเสียง “หัวเราะคิกคัก” อยู่ในลำคอ ใบหน้าก็ค่อย ๆ หันไปเล็กน้อย ปากเบ้เอียง เริ่มที่จะชักกระตุกขึ้นมา มือเองก็กระตุก ศีรษะเงยขึ้นมา เงยขึ้นสูงมาก ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ แดงจนน่าตกใจ สองมือจับกรงอย่างแรงแล้วก็เขย่ามัน เขย่าจนทางตะวันออกเริ่มจะเซไปทางตะวันตก
ใบหน้าของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้นมา เมื่อมองมายังจื่ออันก็อ้าปากขึ้นมา เหมือนราวอยากจะพุ่งเข้ามาฉีกกัด แต่เป็นเพราะว่ามีกรงเหล็กขวางกั้นอยู่ เขาจึงทำได้แค่พุ่งชนกรงเหล็กไปพลาง ๆ พุ่งชนจนบนศีรษะนั้นมีเลือดไหลออกมา
เซียวท่าเองก็ชะงักตกใจไป “ก่อนหน้านี้ไม่ได้รุนแรงจนถึงขั้นนี้ ก่อนหน้านี้มีเพียงแค่ส่งเสียงคร่ำครวญออกมา แล้วก็อยากจะอ้าปากกัดคนเท่านั้น”
“ก่อนหน้านั้นเป็นช่วงเวลานานเท่าไหร่ก่อนหน้า?”
“ค่ำวานนี้”
จื่ออันรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากที่อาการป่วยนี้มีการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ความเคลื่อนไหวของหวางหยูนั้น ทำให้นางนึกถึงโรคพิษสุนัขบ้า โรคพิษสุนัขบ้านั้นก็มีอาการกลัวน้ำ คนไข้จะกลัวน้ำเป็นอย่างมาก และจะรู้สึกกระสับกระส่ายไม่สงบ
แต่ว่านี่ไม่ใช่โรคพิษสุนัขบ้าอะไรนั่นแน่นอน เพราะว่า นอกจากกลัวน้ำและกระสับกระส่ายชักเกร็งแล้ว อาการนอกจากนั้นก็ไม่เหมือนกันกับโรคพิษสุนัขบ้าแล้ว