ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 409
ในคืนนั้น ฝนตกลงมาหนักจริง ๆ ตกลงมาราวกับเร่งรีบเสียเต็มประดา มีทั้งฟ้าผ่าและฟ้าร้อง น้ำในทะเลสาบเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คนงานทั้งหลายต่างก็เร่งรีบเคลื่อนย้ายข้าวของกันทั้งคืน กองเอาไว้ที่เรือนจรัสบนทางเดินทอดยาว ฮูหยินหลิงหลงโมโหเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก คนงานต่างก็ไม่มีทางเลือกแล้ว ทำได้เพียงย้ายไปไว้ทางด้านป่าไผ่อีกครั้ง
จื่ออันไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวกับเรื่องนี้เลย คนงานนั้นไม่ได้มาแจ้งให้นางทราบ หลังจากจัดเก็บอุปกรณ์กันเรียบร้อยแล้วก็จากไป
ฝนในครั้งนี้ตกไปจนถึงเที่ยงของวันที่สอง ตกจนเกือบจะถึงตอนเที่ยงนั้น รถม้าของมู่หรงเจี๋ยเพิ่งจะมาถึง เขามีเรื่องราวบางอย่างทำให้เสียเวลา จากที่เดิมได้นัดกันเอาไว้ตั้งแต่เช้า
แม่นมหยางเองก็ติดตามเข้าวังไปด้วยกัน
ตอนที่นางออกมาจากวังนั้น ได้สัญญากับฮองเฮาเอาไว้ว่าทุก ๆ สองถึงสามวันจะต้องกลับเข้าวังเพื่อรายงานเรื่องราวต่าง ๆ
เมื่อวานตอนค่ำมู่หรงเจี๋ยได้สั่งให้คนเข้าวังแจ้งแก่หวงไท่โฮ่วว่าจะนำจื่ออันเข้าไปยังวังหลวง
หวงไท่โฮ่วย่อมต้องรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องอะไร จึงได้อาศัยช่วงก่อนที่พวกเขาจะวังมานั้นออกคำสั่งเรียกตัวกุ้ยไท่เฟยให้เข้าวังมา
กุ้ยไท่เฟยนั้นเดิมไม่อยากที่จะไป แต่ว่าหวงไท่โฮ่วมีพระราชเสาวนีย์มาแล้ว นางจำต้องอยู่ร่วมด้วย
ไม่มีทางเลือกอื่น นางจึงทำได้เพียงแต่เข้าวังไปตั้งแต่เช้า
ในตอนที่กุ้ยไท่เฟยเข้าวังไปนั้น ฝนยังคงตกหนักอยู่ หวงไม่โฮ่วประทับอยู่ที่ระเบียงของตำหนัก มองมายังฝนที่กำลังตกหนักสาดกระเซ็นอยู่ในลาน ละอองฝนที่สาดกระเซ็นทำให้ฉลองพระองค์เปียกปอน
หวงไท่โฮ่วทั้งกายนั้นดูโรยราไปมากแล้ว เปากงกงวันนี้ได้เข้ามารายงานเหตุการณ์บางอย่างทำให้นางเป็นกังวล
เป็นเรื่องราวนอกวังหลวงที่นางคอยจับตามองดูอยู่เกี่ยวข้องกันกับจวนมหาเสนาบดี สามารถเอ่ยได้ว่ามันดูสลับซับซ้อน การสู้รบภายในเหมือนจะเพิ่มขึ้น ทำให้นางเจ็บปวดหัวใจเสียจริง
ยังมีความสัมพันธ์ระหว่างน้องสาวของนางและผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิ เป็นเรื่องเจ็บปวดที่ติดอยู่ภายในใจนางมาโดยตลอด
วันนี้ที่เรียกนางเข้าวังมา เป็นความพยายามครั้งสุดท้ายของนางแล้ว
นางมองยังกุ้ยไท่เฟยและป้าซือจูที่ถือร่มคันหนึ่งเข้ามา ใต้ฝนที่ตกอย่างหนักเยี่ยงนี้ ร่มคันนี้ดูเหมือนไม่ค่อยจะมีแรงมากนัก ป้าซือจูครึ่งค่อนกายนั้นเปียกปอนหมดแล้ว แต่กลับคอยดูแลปกป้องกุ้ยไท่เฟยเป็นอย่างดี
กุ้ยไท่เฟยเดินเข้ามาตรงระเบียง ทั้งกายสวมใส่เสื้อผ้าสีฟ้าปักลวดลายดอกเบญจมาศด้วยดิ้นทอง ปิ่นปักผมคล้ายกับก้อนเมฆ ใบหน้าสวยใสไร้ที่ติ รองเท้าปักส้นสูงสีฟ้า ตรงปลายเท้าปักด้วยไข่มุก ทำให้ดูสดใสขึ้น ด้วยสีทองอร่าม
“หม่อมฉันถวายพระพรเสด็จพี่ ขอให้พระวรกายดุจหงส์ของเสด็จพี่ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรงเพคะ” กุ้ยไท่เฟยคำนับลงตามราชประเพณี มารยาทนั้นครบครันแต่กลับดูราวไม่ค่อยจะแยแสสักเท่าไหร่
หวงไท่โฮ่วเหลือบมองยังนางอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้ชี้ไปยังเก้าอี้ที่ข้างกายของนางก่อนจะเอ่ย “เตรียมเก้าอี้ไว้ให้เจ้าแล้ว นั่งลงเถอะ อยู่พูดคุยกันกับข้าเสียหน่อย”
“เพคะ ตามพระสงค์ของเสด็จพี่เพคะ” กุ้ยไท่เฟยเอ่ยออกมา ก้าวเดินไปยังที่นั่งยังด้านข้างของหวงไท่โฮ่ว หน้าตาของนางไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ในใจกลับรู้สึกไม่ยินยอม เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด นางมักจะเป็นผู้ที่ต้องนั่งอยู่ด้านข้างเสมอมา
“วันนี้” หวงไท่โฮ่วหันมาด้านข้างมองยังนาง “อาเจี๋ยจะนำเซี่ยจื่ออันเข้าวังมา ทำไมถึงได้ให้เจ้ามา เจ้าคงจะรู้ใช่หรือไม่?”
กุ้ยไท่เฟยขมวดคิ้ว เอ่ยออกมาอย่างสุภาพ “เสด็จพี่ได้โปรดชี้แนะ หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ”
หวงไท่โฮ่วถอนหายใจ “เจ้ากำลังโกรธข้าหรือ?”
“หม่อมฉันมิกล้าเพคะ!”
หวงไท่โฮ่วเบือนหน้าหนีจากใบหน้าของนาง เอื้อมมือมานวดระหว่างหัวคิ้ว ดูราวกับหมดแรงพลัง “เรื่องราวต่าง ๆ มากมายนั้น ข้าล้วนแต่เก็บซ่อนเอาไว้ภายในใจ ไม่เคยเอ่ยออกมากับผู้ใดมาก่อน ข้าตั้งแต่เด็กก็เป็นเช่นนี้ พวกเราพี่น้องสองคน ตั้งแต่เล็กความสนใจ ความชอบต่างก็เหมือนกัน แต่ข้ากลับไม่เคยคิดว่า บางทีเจ้าก็อาจจะเป็นเหมือนกันกับข้าที่ชอบเก็บเรื่องราวต่าง ๆ เอาไว้ภายในใจเช่นเดียวกัน”
กุ้ยไท่เฟยมองไปยังฝนที่ตกลงมายังหน้าระเบียง น้ำเสียงดูเงียบเหงา “หาใช่ไม่ ในใจหม่อมฉันไม่ได้มีอะไรให้แอบซ่อนอยู่เพคะ”