ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 415
หลังจากที่จื่ออันเดินออกไปแล้ว หวงไท่โฮ่วมองยังด้านหลังของจื่ออัน นางค่อย ๆ ยิ้มออกมา
ซุนกงกงยิ้มเดินเข้ามา “ไท่โฮ่ว มองคนไม่ผิดใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? คุณหนูใหญ่ท่านนี้ มีหลักการ และไม่เห็นแก่ตัว!”
หวงไท่โฮ่วส่งเสียงอืมออกมา “ไท่หวงไท่โฮ่วมองคนช่างมองได้ทะลุปรุโปร่งเสียจริง ข้าเห็นนางและจวนมหาเสนาบดีเผชิญหน้ากันครั้งนี้แล้ว เดิมคิดว่าเป็นเพียงสตรีที่ร้ายกาจ แต่คาดไม่ถึงว่า ยังคงมีความรู้สึกเยี่ยงนี้ มหาเสนาบดีเซี่ยช่างมีบุตรสาวที่แสนดีได้ถึงขนาดนี้ แต่เสียดายที่ไม่รู้จักที่จะทะนุถนอมเอาไว้”
“พ่ะย่ะค่ะ” ซุนกงกงยิ้มออกมา “ตอนนี้ ท่านไล่คนออกไปแล้ว หากว่าท่านอ๋องกลับมา ท่านจะอธิบายออกไปว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ไท่โฮ่วทำหน้าบึ้งตึง “ข้าจะต้องอธิบายอะไรอีก? นางทำให้ข้าพอใจยิ่งนัก แต่ว่านางช่างไม่ไว้หน้าข้าแม้แต่เพียงครึ่งจริง ๆ ข้าไล่นางออกไปแล้วอย่างไร?”
ซุนกงกงยิ้มพลางเอ่ย “พอพระทัยเป็นพอพ่ะย่ะค่ะ ยังจะใส่อารมณ์อะไรกันอีกเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
“ถ่ายทอดคำสั่ง รีบไปร่างพระเสาวนีย์ ลูกสะใภ้คนนี้ ข้ายอมรับแล้ว” หวงไท่โฮ่วเอ่ยออกมาด้วยความโล่งใจ
ชั่วขณะหนึ่ง นางก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “แต่ว่าเมื่อครู่ที่เอ่ยออกมาก็ไม่ใช่จะไม่มีเหตุผล หยวนชุ่ยอวี่เป็นมารดาของนาง หากว่านางเดินไปด้วยกันกับอ๋องอันแล้วจริง ๆ นี้ก็จะทำให้ลำดับอาวุโสยุ่งเหยิงขึ้นมาได้ ผู้อาวุโสได้แสดงความเห็นอะไรไว้บ้าง?”
“ผู้อาวุโสไดเอ่ยไว้จริง ๆ แต่ว่าคำพูดนั้นค่อยข้าง…” ซุนกงกงเหลือบมองหวงไท่โฮ่วด้วยความลำบากใจ
“พูดออกมาตามตรงก็พอ ข้ายังจะไม่รู้น้ำเสียงการพูดของนางหรือ?”
ซุนกงกงเอ่ยตอบ “พ่ะย่ะค่ะ คำพูดเดิมของผู้อาวุโสนั้นเป็นเยี่ยงนี้พ่ะย่ะค่ะ เจ้าพวกไร้ปัญญา ถึงตอนนั้นก็ให้ทำเป็นว่าหยวนชุ่ยอวี่เสียชีวิต แบกขึ้นภูเขาไป เซี่ยจื่ออันให้สืบทอดสินทรัพย์ต่าง ๆ ของชิงตานเสี้ยนจู่ จากนั้นเจ้าสองเศร้าเสียใจจนเกินเหตุ หลีกหนีจากเมืองหลวงไปอย่างเศร้าโศก แล้วจึงไปขุดร่างของหยวนชุ่ยอวี่ออกมาจากเขา บินหนีไปให้ไกล ใครยังจะมีคำนินทา? ต่อให้มี ก็เป็นเพียงคำพูดจากผู้อื่น มีอะไรมาขัดขวางตนได้ แค่ตนเองมีความสุขก็พอ”
ไท่โฮ่วมองมายังเขา “ข้าไม่เชื่อว่านี้เป็นคำพูดเดิมที่ผู้อาวุโสเอ่ยออกมา เจ้าจะต้องมีสิ่งใดที่ตกหล่น”
ซุนกงกงปิดปากหัวเราะ “มีบางคำที่ดูสกปรกพ่ะย่ะค่ะ บ่าวไม่กล้าจะเอ่ยออกมา”
ไท่โฮ่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ใช่แล้ว ก่อนหน้านั้นที่นางอยู่ในวังหลวง นางก็เป็นเช่นนี้ แต่ว่า ทางด้านหยวนซื่อ เจ้าหาใครสักคนออกไปเตือนนางเสียหน่อย ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสมีความเห็นออกมาเยี่ยงนี้ แต่ข้าก็ไม่ยินดี ข้าจะเร่งรีบหาสะใภ้ให้แก่เจ้าสอง พวกเขาชาตินี้ไม่มีวาสนาต่อกัน ก็อย่าได้บีบบังคับ”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ซุนกงกงตอบกลับ
หลังจากที่มู่หรงเจี๋ยกลับมา หวงไท่โฮ่วก็ได้เข้าไปแล้ว ซุนกงกงยืนรอเขาอยู่ตรงหน้าประตู เมื่อเขาเข้ามาแล้วจึงได้นำพระประสงค์บอกแก่เขา แต่เอ่ยออกมาเบา ๆ “คุณหนูใหญ่โดนหวงไท่โฮ่วไล่กลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงเจี๋ยตกใจไปชั่วครู่นึง “ไล่กลับไปแล้ว?”
“ไม่มีเรื่องอันใดพ่ะย่ะค่ะ ไท่โฮ่วไม่ได้ทรงกริ้ว เพียงแค่จงใจทดสอบนาง” ซุนกงกงนำเรื่องราวทั้งหมดบอกแก่มู่หรงเจี๋ย มู่หรงเจี๋ยอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ แอบซ่อนเจตจำนงค์เอาไว้ “ฝากทูลเสด็จแม่ด้วย ข้าจะออกจากวังแล้ว”
จื่ออันโดนไล่ออกมาจากวัง ในใจนั้นรู้สึกทุกข์ตรม ไม่ใช่เพราะว่าวันนี้ไม่ได้รับพระราชทานงานอภิเษกสมรส แต่เป็นเพราะหวงไท่โฮ่วมีท่าทีปฎิเสธท่านแม่และอ๋องอัน ต่อให้ท่านแม่และอ๋องอันมีใจที่จะอยู่ด้วยกัน เกรงว่าจะมีข้อขัดขวางมากมาย
อีกทั้ง หากว่าท่านแม่รู้ว่าหวงไท่โฮ่วมีความคิดเยี่ยงนี้ กลัวว่าจะไม่ยินยอมก้าวเดินออกมาแน่
หวังเพียงว่าก่อนสิ่งที่ดี ๆ จะเกิดขึ้น มักจะมีการพลิกผันก่อน หลังจากความพลิกผันนี้แล้ว ยังคงเกิดเรื่องดี ๆ เกิดขึ้น
ในเมื่อไม่มีรถม้า ก็ทำได้เพียงเดินกลับไป
ในสมัยโบราณนี้มีสิ่งที่ไม่ดีอยู่ก็คือ การสื่อสารพื้นฐานนั้นขึ้นอยู่กับการพูดคุย การเดินทางนั้นพึ่งพาการเดิน
นางไม่ได้กังวลว่าตนจะสามารถเป็นพระชายาของผู้สำเร็จราชการแทนได้หรือไม่ หากว่านางต้องแต่งให้แก่มู่หรงเจี๋ย ก็จะไม่ใช่เป็นเพราะได้ชื่อว่าเป็นพระชายาผู้สำเร็จราชกานแทนองค์จักรพรรดิ
แต่ว่าทางด้านของกุ้ยไท่เฟยนั้น ยังคงเป็นสิ่งที่กังวลอยูในใจเสมอมา
นางเกลียดตนเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าตนก็เกลียดนางเช่นกัน นางยังไม่ใจกว้างพอที่จะให้อภัยกับคนที่จะฆ่าตนเองมาก่อน
หากว่าเป็นผู้อื่นแล้ว นางก็คงโต้ตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล แต่ว่าคนผู้นั้นเป็นมารดาของมู่หรงเจี๋ย นางลำบากใจต่อทั้งสองฝ่ายเสียจริง
ลักษณะนิสัยของนางแล้วนั้น ล้วนแต่เป็นหากว่ามีแค้นก็ต้องชำระ อีกทั้งความแค้นครั้งนี้นางไม่ว่าจะยังไงก็ไม่สามารถกลืนกินเข้าไปได้
ชีวิตช่างยากลำบากนัก!