ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 501
ดังนั้นทุกคนจึงต่างพากันคิดว่าเขานั้นไม่ได้สนใจ เป็นแค่การกระทำใหญ่โตที่ทำให้ผู้อื่นหวาดกลัวก็เท่านั้น
เขามองไปยังฝูงชนทั้งหลาย แล้วจึงค่อย ๆ เอ่ยออกมาว่า “ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคจนถึงทุกวันนี้ มีผู้คนมากกว่าหนึ่งรายที่ตายลงเพราะโรคนี้ ทั่วทั้งท้องตลาดต่างก็มีการคาดเดาเกี่ยวกับโรคนี้มากมายนัก โดยบอกว่าเป็นการลงทันฑ์ต้าโจวจากพระเจ้า จึงทำให้เกิดโรคระบาดขึ้นบนโลกนี้ ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการพูดจาไร้ราสะ แต่ก็หมายถึงเสียงที่ดังมาจากราษฎร ตอนนี้ราษฎรในเมืองหลวงนั้นมีความต้องการที่จะหลีกหนีจากเมืองหลวงไป คนเหล่านี้ไม่ว่าไปที่ใด ก็จะนำเอาความตื่นตระหนกนี้ติดตามไปด้วย จิ้นกั๋วกงที่เสนอให้มีการเผาหมู่บ้านทิ้ง เป็นหนึ่งในวิธีการควบคุมโรคระบาด แต่ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีนัก ส่วนคำของมหาเสนาบดีเซี่ยนั้น วิธีการที่ดีที่สุดคือการหาวิธีการรักษาโรคระบาดนี้”
ราชครูเหลียงเอ่ยออกมา “ถ้าเช่นนั้น ท่านอ๋องเห็นด้วยที่จะให้เซี่ยจื่ออันไปยังพื้นที่ภัยพิบัติหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
มู่หรงเจี๋ยมองมายังราชครู “หากว่าเซี่ยจื่ออันมีความสามารถที่จะออกใบสั่งยาเพื่อควบคุมโรคได้ ทำไมข้าถึงจะไม่ยินยอมกันเล่า?”
ราชครูเอ่ย “กระหม่อมคิดว่า เซี่ยจื่ออันนั้นเป็นว่าที่พระชายาของท่านอ๋อง ท่านอ๋องคงจะทำใจไม่ได้ที่จะให้นางไปยังพื้นที่ภัยพิบัติ โดยเฉพาะด้านนอกนั้นต่างก็เล่าลือกันมาหลายวันแล้ว บอกว่าเซี่ยจื่ออันนั้นสามารถรักษาโรคระบาดนี้ได้ อีกทั้งมหาเสนาบดีเองก็เอ่ยออกมาด้วยตนเองว่า เซี่ยจื่ออันนั้นเคยเอ่ยว่ามีความเข้าใจในการรักษา แต่ก็ไม่เคยพบว่าท่านอ๋องจะเอ่ยถึงมาก่อน”
มู่หรงเจี๋ยยิ้มเย็น “ใช่หรือ? เซี่ยจื่ออันนั้นไม่เคยเอ่ยกับข้าว่านางสามารถรักษาได้ โดยเฉพาะนางในตอนนี้ ยังเป็นคุณหนูใหญ่ของสกุลเซี่ย แต่ไม่ใช่พระชายาของข้า นางเพียงแต่เอ่ยกับบิดาของนาง ไม่ได้เอ่ยอันใดกับข้า ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ?”
จิ้นกั๋วกงจึงได้เอ่ย “ท่านอ๋อง ถ้าอย่างนั้นแล้วท่านห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ? พระราชโองการนี้ต้องการร่างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
มู่หรงเจี๋ยมองมายังมหาเสนาบดีเซี๋ย “มหาเสนาบดีเซี่ย สำหรับเนื้อหาในพระราชโองการนี้นั้น ที่องค์รัชทายาทเสนอมานั้น ท่านมีความเห็นอย่างไรบ้าง?”
มหาเสนาบดีเซี่ยหน้าซีดขาว มองไปยังทางด้านราชครู แล้วจึงเอ่ย “กระหม่อมไม่มีความเห็นใดพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงเจี๋ยจึงเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ “ดี ในเมื่อเจ้าไม่มีความเห็นใด ถ้าอย่างนั้น พระราชโองการนี้ก็ให้เจ้ามาเป็นผู้รับไป”
เขาโบกมือขึ้น ให้คนเตรียมน้ำหมึกกับพู่กันมา
หวงไท่โฮ่วนั้นค่อนข้างที่จะเป็นกังวล จึงได้เรียกให้มู่หรงเจี๋ยเข้าไปพูดคุยกันด้านหลัง
“อาเจี๋ย คำสั่งทหารนี้เจ้ามิอาจที่จะเห็นด้วยได้ เมื่อประทานลงไปแล้ว หากว่าเซี่ยจื่ออันทำไม่ได้ขึ้นมา ศีรษะนางก็คงจะรักษาเอาไว้มิได้ เจ้าจะเอาชีวิตนางมาเสี่ยงกับอันตรายเช่นนี้จริงหรือ?”
มู่หรงเจี๋ยมิได้ตอบคำถามนางโดยตรง แต่กลับถามออกมาว่า “เสด็จแม่ไม่ใช่ว่าเข้าวังมาเอ่ยเรื่องนี้กับท่าน?”
“เสด็จแม่ของเจ้านั้นเข้าวังมาจริง แต่ว่าไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่จะให้เซี่ยจื่ออันไปยังพื้นที่ภัยพิบัติ เป็นข้าที่เสนอแนะขึ้นมา” หวงไท่โฮ่วเอ่ยออกมา
มู่หรงเจี๋ยมองมายังหวงไท่โฮ่ว “ถ้าอย่างนั้นแล้วท่านคิดว่าการที่เสด็จแม่เข้าวังมานั้นเอ่ยเรื่องราวนี้กับท่านนั้น มีจุดประสงค์ใดกัน?”
หวงไท่โฮ่วตกตะลึงไป “อาเจี๋ย เจ้าเข้าใจนางผิดไปมากนัก นางคงจะไม่ได้มีความหมายเช่นนี้หรอก”
มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเฉยเมย “ไม่ใช่ว่าลูกเข้าใจนางผิดไป เพียงแต่ว่ามีบางเรื่องบางราวที่นางไม่กระทำมันออกมามากเกินไป”
หวงไท่โฮ่วรู้ดีว่าน้ำแข็งที่หนาถึงสามฟุตนั้นไม่ใช่ว่าจะหนาวเย็นเพียงแค่วันเดียว มาถึงตอนนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะมาปลดคลายความในใจทั้งหลายของพวกเขาแม่ลูก นางจึงเอ่ยว่า “ข้าเพียงแต่เป็นกังวลว่าเซี่ยจื่ออันจะมิอาจรักษาโรคระบาดนี้ได้ ทำให้ตนเสียชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์ หลายปีมานี้ ก็ไม่มีหญิงสาวผู้ใดที่เข้าตาเจ้า แม่เพียงแต่กังวลว่าทำให้ความสุขในชีวิตเจ้าล่าช้าไป”
มู่หรงเจี๋ยดึงมือของนางแล้วนั่งลง “เสด็จแม่ นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมลูกถึงได้ไม่เรียกตัวจื่ออันเข้าวังมา คำสั่งทหารในครั้งนี้เป็นมหาเสนาบดีเซี่ยที่เป็นผู้ร้องขอ หากว่าจื่ออันศึกษาวิธีรักษาออกมาได้ ในวันหน้านางจะยืนอยู่ข้างกายข้า ผู้ใดจะกล้าเอ่ยออกมาว่าไม่ใช่? แต่ถ้าหากว่าไม่มีวิธีรักษา คำสั่งทหารนี้ ข้อหนึ่งไม่มีลายนิ้วมือของนาง ข้อสองไม่ได้ขอความยินยอมจากนาง นางสามารถที่จะยื่นหนังสือรองเรียนมาปฎิเสธความรับผิดชอบจากคำสั่งทหารฉบับนี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ก็จะต้องเป็นมหาเสนาบดีเซี่ยแต่เพียงผู้เดียว”
“สามารถทำเช่นนี้ได้หรือ?” หวงไท่โฮ่วเอ่ยถาม
“ได้พ่ะย่ะค่ะ ตามกฎหมายของต้าโจวเคยกล่าวเอาไว้ บุคคลที่จะร้องขอคำสั่งทหารนั้นจะต้องดำเนินการด้วยตนเอง และจะต้องมีพยานมากกว่าสามคน เพียงแต่ เกรงว่าขุนนางเหล่านี้ของราชวงศ์ต้าโจวเรา ล้วนอาจจะไม่ได้อ่านเนื้อหาในข้อสุดท้ายของกฎหมาย”