ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 566
หวงไท่โฮ่วยิ้มออกมาเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าข้าจะมีเรื่องอันใดหรอก เพียงแต่ว่าข้ามาเพื่อประกาศพระราชเสาวนีย์”
“พระราชเสาวนีย์? เป็นพระราชเสาวนีย์ของใครกันพ่ะย่ะค่ะ?” มู่หรงเจี๋ยตะลึงเล็กน้อย
บรรดาขุนนางเองก็พากันมองหน้ากัน เป็นพระราชเสาวนีย์ของหวงไท่โฮ่วเอง หรือว่าฝ่าบาทฟื้นขึ้นมากันแล้วนะ?
หวงไท่โฮ่วบีบพระหัตถ์ แล้วทรงตรัสออกมากับซุนกงกง “ประกาศพระราชเสาวนีย์เถิด!”
ซุนกงกงเดินก้าวมายังเบื้องหน้า เปิดพระราชเสาวนีย์ที่อยู่ในมือออกมา แล้วค่อย ๆ อ่านออกมาให้กับเหล่าขุนนางฟัง “ใต้เท้าทุกท่าน เหล่านายน้อยทุกท่าน ข้าออกจากเมืองหลวงมาจนถึงวันนี้ เป็นเวลาสามสี่ปี หรือห้าหกปีแล้ว หรืออาจจะสิบกว่ายี่สิบกว่า ข้าชราแล้วเริ่มที่จะสับสนจำได้ไม่ชัดเจน แต่ใต้เท้าทุกท่าน หากยังจำข้าได้ ในสามวันถัดมา ก็ขอให้ไปยังจวนผู้สำเร็จราชการแทน ร่วมอวยพรและแสดงความยินดีกับงานอภิเษกสมรสของหลานชายข้ามู่หรงเจี๋ย เพราะเวลากระชั้นชิดนั้น พิธีอภิเษกไม่ได้จัดเตรียมพร้อมมากนัก เหล้าอาหารมีเพียงเล็กน้อย ขอใต้เท้าทุกท่านมาพร้อมกับของขวัญและใจที่ไม่รังเกียจ เพื่อร่วมดื่มเหล้า จบพระราชเสาวนีย์!”
เมื่อพระราชเสาวนีย์นี้ถูกประกาศออกไป ทุกคนต่างก็พากันมองหน้ากัน ผู้ที่ประกาศพระราชเสาวนีย์เป็นหวงไท่โฮ่วอย่างนั้นหรือ?
และนี้นับเป็นพระราชเสาวนีย์ได้หรือไม่? แต่ถ้าหากไม่นับแล้ว ด้านหลังคำว่าจบพระราชเสาวนีย์คืออะไรกัน? นี้ไม่ใช่พระราชเสาวนีย์ให้ไปร่วมงานอภิเษก แต่เป็นพระราชเสาวนีย์ให้ทุกคนไปดื่มเหล้ากัน อีกทั้งแจ้งเอาไว้อย่างชัดเจน ว่าไม่ได้มีอะไรให้ดื่มกิน แต่พวกเจ้าต้องนำของขวัญชั้นดีไป ใครจะทำเรื่องน่าอายเช่นนี้กัน?
หวงไท่โฮ่วเองก็เช่นกัน!
ไท่หวงไท่โฮ่วก็เคยจัดงานพระศพมาก่อน และก็มีการฝังลงไปแล้ว แน่นอนว่าขุนนางใหญ่หลายคนล้วนแต่รู้ดีว่า ไท่หวงไท่โฮ่วนั้นไม่ได้สิ้นพระชนม์ไปจริง เพียงแต่กล่าวอำลาราชวงศ์ กล่าวอำลากับราชสำนัก
หรือจุดประสงค์ของพระราชเสาวนีย์นี้ หมายความว่า คนผู้นั้นจะกลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ?
อีกทั้งมู่หรงเจี๋ยแต่งงาน แล้วเจ้าสาวคือใครกัน? จะต้องรู้ว่าคุณหนูใหญ่เซี่ยจื่ออันนั้นตายไปแล้ว หากจะแต่งงานก็ต้องมีเจ้าสาว
หลังจากที่ทุกคนมองไปยังหวงไท่โฮ่ว ก็มองไปยังมู่หรงเจี๋ย และก็พบว่าเขามีท่าทีประหลาดใจราวกับไม่รู้เรื่องมาก่อน เช่นนี้ก็แปลกแล้ว หรือว่าแม้แต่เจ้าบ่าวเองก็ยังไม่รู้ว่าตนเองจะต้องแต่งงาน?
มู่หรงเจี๋ยลุกขึ้นยืน เอ่ยออกไปกับหวงไท่โฮ่ว “เสด็จแม่ พวกเราคุยกันเป็นการส่วนตัวสักเล็กน้อยเถิด”
หวงไท่โฮ่วรู้ว่าเขามีความสงสัยอยู่เต็มท้อง ถึงทรงตรัสออกมาว่า “เลิกราชกิจเถิด”
หลังจากที่ขุนนางพากันถอยออกไปแล้ว มู่หรงเจี๋ยออกคำสั่งให้ปิดท้องพระโรงไปเสีย ทุกคนนอกจากซุนกงกงล้วนแต่ให้ออกไปจนหมด
“เสด็จแม่ บรรพชนคราวนี้ออกคำสั่งมาหมายความว่าอย่างไรกัน? ข้าจะต้องแต่งงาน? แต่งกับใครกัน?” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยถาม
หวงไท่โฮ่วส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน บอกตามตรง วันนี้ในตอนที่ข้าได้รับพระราชเสาวนีย์มา ก็เป็นเหมือนกันกับเจ้า เต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย นอกจากพระราชเสาวนีย์ฉบับนี้แล้ว ยังมีอีกฉบับที่มอบให้ข้า ให้ข้าจัดงานอภิเษกให้กับเจ้าภายในสามวัน งานอภิเษกนั้นให้ดำเนินการตามกฏเกณฑ์ของชินอ๋อง เวลากระชั้นสามวันนี้ จะดำเนินดั่งเช่นชินอ๋องได้อย่างไร? ช่างทำให้ข้าปวดหัวเสียจริง”
“เช่นนั้นเจ้าสาวเล่า?” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยถาม
“เจ้าลองดู” หวงไท่โฮ่วนำพระราชเสาวนีย์อีกฉบับหนึ่งออกมา พระราชเสาวนีย์ฉบับนี้เป็นฉบับที่มอบให้นาง
มู่หรงเจี๋ยรับมาดู เนื้อหาของพระราชเสาวนีย์เขียนเอาไว้อย่างชัดเจน เจ้าสาวจะเป็นผู้ใดก็ได้ไม่จำต้องใส่ใจ เพียงแต่เขาที่มีสถานะเป็นผู้สำเร็จราชการของราชสำนัก จะต้องแต่งงาน มีลูกหลานสืบไป นี่เป็นหน้าที่ของเขา
มู่หรงเจี๋ยไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี “ไม่ ข้าไม่แต่ง ข้าจะไปยังภูเขาน้ำแข็งสักรอบหนึ่ง”
“ท่านอ๋อง ไท่หวงไท่โฮ่วไม่ได้ประทับยังภูเขาน้ำแข็งพ่ะย่ะค่ะ” ซุนกงกงเอ่ยออกมา
“ไปที่ใดกัน?” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยถาม
“บ่าวเองก็ไม่ทราบเช่นกัน” ซุนกงกงเอ่ยออกมาอย่างเสียใจ
มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมาด้วยความกรุ่นโกรธ “บรรพชนทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? มีเพียงพระราชเสาวนีย์ กลับมาให้ข้าแต่งงานก็ต้องแต่งงาน แต่กลับไม่ยอมถามไถ่ว่าข้าต้องการจะแต่งงานหรือไม่”
หวงไท่โฮ่วตรัสเกลี้ยกล่อมออกมา “ไม่ว่าจะอย่างไร พระราชเสาวนีย์นี้อย่างไรแล้วเจ้าก็ต้องทำตาม บรรพชนเองก็คงจะไม่ปล่อยให้เจ้าแต่งกับใครก็ได้ง่าย ๆ หญิงสาวผู้นี้ถูกนางต้องตาเข้า จะต้องโดดเด่นเป็นอย่างมาก”
“ต่อจะให้โดดเด่นเพียงใด ข้าก็ไม่ต้องการ” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ
“ข้ารู้ว่าเจ้ายังคงคิดถึงเซี่ยจื่ออันอยู่ และเจ้าเองก็ยังไม่ยอมแพ้ และคิดว่านางจะต้องกลับมา แต่ว่า เจ้าและข้าล้วนแต่รู้กันว่า นี่มันเป็นไปไม่ได้ เจ้าสามารถเก็บนางเอาไว้ในใจ อย่างไรแล้ววันเวลาก็ต้องดำเนินต่อไป อีกอย่าง เจ้าเองก็ควรแต่งงานได้แล้ว บางทีการแต่งงานมีลูก ความคิดของท่านแม่เจ้าอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ โดยเฉพาะอายุก็เพิ่มมากขึ้นแล้ว จะต้องโหยหาชีวิตที่มีลูกหลาน ควรจะปล่อยให้นางได้มีปัจจัยอื่นในการดำรงชีวิตต่อไป แล้วลืมความทะเยอทะยานที่ไม่ควรมีลงไปให้หมด”
มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่เย็นชา “ไม่ ข้าไม่เห็นด้วย”
หวงไท่โฮ่วส่ายศีรษะออกมา “เด็กโง่ เจ้าควรจะรู้ สิ่งที่บรรพชนต้องการจะทำนั้น ไม่มีอะไรที่นางทำไม่ได้ ในเมื่อนางมีพระราชเสาวนีย์ลงมาแล้ว เจ้าก็จำต้องแต่งงาน หากว่าเจ้าไม่ทำตามนาง เจ้าไม่เชื่อฟังนางแต่โดยดี ก็จำต้องระวังเมื่อนางกลับมาแล้วจะมอบใบหน้าตำหนิมาให้เจ้าได้”