ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 571
เรือนชิงหนิงของกุ้ยไท่เฟย
“ไท่หวงไท่โฮ่วมีพระราชเสาวนีย์ประทานงานอภิเษกสมรส และงานเลี้ยงอภิเษกจะต้องจัดขึ้นหลังจากนี้สามวัน รู้หรือไม่ว่าเป็นสตรีจากตระกูลใด?” กุ้ยไท่เฟยเอ่ยถามอาฝู
อาฝูเอ่ยตอบ “ไม่มีใครที่รู้ เกรงว่าแม้แต่หวงไท่โฮ่วเองก็ไม่ทรงทราบเช่นกันเพคะ”
“ไม่ ข้ารู้สึกว่านางจะต้องรู้” กุ้ยไท่เฟยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยังคิดไม่ออกว่าไท่หวงไท่โฮ่วไปถูกใจสตรีตระกูลใดเข้า กระทั่งยอมออกจากเขามาเพื่อประทานงานอภิเษกสมรส
และนี่ทำให้นางรู้สึกได้ถึงอันตรายที่กำลังคุกคามเข้ามา
อาฝูเอ่ย “ไม่ว่าจะเป็นใคร อย่างไรแล้วก็ดีกว่าเซี่ยจื่ออันเป็นแน่เพคะ”
กุ้ยไท่เฟยเอ่ย “ไม่ผิด ดีกว่าเซี่ยจื่ออันจริง ๆ ตอนนี้เซี่ยจื่ออันมีชื่อเสียงที่ดีในหมู่ราษฎร ชาวบ้านแทบจะนับถือนางเป็นพระโพธิสัตว์ หากว่านางยังไม่ตาย แล้วกลับมาแต่งงานกับมู่หรงเจี๋ย ก็คงจะไม่เป็นผลดีกับพวกเรานัก”
อาฝูพยักหน้าออกมา “เพคะ หากว่าเซี่ยจื่ออันกลับมาได้ คงจะไม่เป็นผลดีกับกุ้ยไท่เฟยและอ๋องหนานหวาย งานอภิเษกคราวนี้รีบเร่งนัก มีเวลาเตรียมการเพียงแค่สามวัน และต่อให้จะส่งจดหมายไปให้อ๋องหนานหวายในตอนนี้ ท่านอ๋องเองก็คงจะรีบมาไม่ทันการ ไม่สู้กุ้ยไท่เฟยทรงเข้าวังเพื่อปรึกษากับหวงไท่โฮ่วดูว่า พอจะสามารถยืดระยะเวลางานอภิเษกออกไปได้หรือไม่ บอกว่าให้อ๋องหนานหวายได้กลับมาดื่มเหล้ามงคลให้กับพี่ชายสักจอกหนึ่ง นี่ไม่เป็นเรื่องที่ดูจะเกินไปใช่หรือไม่เพคะ?”
กุ้ยไท่เฟยโบมือออกมา “ยากมาก ไท่หวงไท่โฮ่วทรงทำเช่นนี้ ข้าเกรงว่าต้องการให้งานอภิเษกเสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เจ้าแปดได้กลับมา”
“ทว่า ท่านอ๋องก็จะกลายเป็นคนอกตัญญูไปไม่ใช่หรอกหรือ? พอจะใช้เหตุผลนี้เพื่อบอกกับหวงไท่โฮ่วได้หรือไม่ จากนั้นก็ให้หวงไท่โฮ่วไปทรงกราบทูลไท่หวงไท่โฮ่วว่าทำไม่ได้ ไม่ได้หรอกหรือเพคะ? คงจะไม่อาจอภิเษกในช่วงที่ไว้ทุกข์แสดงความกตัญญูได้หรอกกระมังเพคะ?” อาฝูเอ่ย
กุ้ยไทเฟยเอ่ย “ซือจูตายไปจนถึงตอนนี้ ยังไม่ครบหนึ่งร้อยวัน หากว่าแต่งงานภายในหนึ่งร้อยวัน เป็นข้ออ้างตามหลักความกตัญญู ไท่หวงไท่โฮ่วทรงใช้ช่องว่างนี้ เพราะฉะนั้นเหตุผลนี้จึงไม่อาจใช้ได้”
เมื่อบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเสียชีวิตลง จำต้องหยุดงานมงคลเพื่อแสดงความกตัญญูเป็นเวลายี่สิบเจ็ดเดือนหรือสามปี ส่วนพ่อแม่บุญธรรม จำต้องแสดงความกตัญญูหนึ่งปี นี้เป็นธรรมเนียมของต้าโจว
และยังมีอีกสถานการณ์หนึ่งคือ การแต่งงานระหว่างที่บิดามารดาเสียชีวิตไปในหนึ่งร้อยวัน ยังคงถือเป็นข้ออ้างตามหลักกตัญญูอยู่
ระหว่างราษฎรมีธรรมเนียมปฏิบัติอยู่เช่นนี้ และยังมีบัญญัติอยู่ในกฎมารยาทอีกด้วย หากว่าไม่มีเหตุให้หลีกเลี่ยงได้ ก็จะเป็นการผิดกฏกตัญญู
แต่ว่าในตระกูลสูงศักดิ์ หรือราชวงศ์เองน้อยนักที่จะทำเช่นนี้ เพราะว่าคนเหล่านี้ล้วนแต่ให้ความสำคัญกับข้อห้ามสองคำนี้ เรื่องไม่ดีเพิ่งจะผ่านพ้น แล้วจัดงานมงคล อย่างไรก็คงจะพบกับโชคไม่ดีอยู่บ้าง และยิ่งเป็นคนที่ร่ำรวยแล้ว ยิ่งไม่ยินยอมที่จะทำเช่นนี้ ยอมที่จะรอหนึ่งปี หรือสามปีมากกว่า
อีกทั้ง การรักษาความกตัญญูอย่างเช่นในทุกวันนี้ก็ไม่ได้เคร่งครัดดังเดิม คนโดยมากแล้วจะรักษาความกตัญญูเพียงหนึ่งปีเท่านั้น
หนึ่งร้อยวันและหนึ่งปีนั้น เดิมก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก ตระกูลขุนนางหรือร่ำรวยจัดงานมงคลนั้น อย่างไรแล้วก็ต้องมีการจัดเตรียมงานอยู่หลายเดือน กระทั่งหากว่าต้องการจะจัดงานอย่างใหญ่โตแล้ว อย่างน้อยก็ต้องเตรียมงานถึงหนึ่งปี
อาฝูค่อนข้างที่จะเสียดายโอกาสในครั้งนี้มาก “หากว่าท่านอ๋องสามารถกลับมายังเมืองหลวงในตอนนี้ได้ ก็คงจะดียิ่งนัก”
กุ้ยไท่เฟยเองก็คิดเช่นกัน แต่ว่างานแต่งงานในครั้งนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่า คงไม่อาจจะให้เจ้าแปดกลับมาได้
ทว่าการรักษาความกตัญญูคำนี้ ก็ยังคงทำให้นางได้สติขึ้นมาได้
หากว่าไม่ได้มาเพราะงานมงคลแล้ว หากมาเพราะงานศพเล่า?
“ใช่แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจวนมหาเสนาบดีไม่ใช่ว่าจากไปแล้วหรอกหรือ?” กุ้ยไท่เฟยเอ่ยถาม
อาฝูเอ่ยออกมา “ตายไปในพื้นที่ภัยพิบัติ ถูกชาวบ้านทุบตีจนตายอย่างน่าอนาถ ใบหน้าเต็มไปด้วยความมืดมัว แม่ทัพหลี่เป็นคนเก็บซากศพมา แต่ก็ถูกชาวบ้านแย่งไปอีกครั้ง บอกว่าต้องการให้ศพของนางไม่หลงเหลือแม้แต่กระดูก”
กุ้ยไท่เฟยเมื่อคิดถึงวิธีการของนางแล้ว “น่าเสียดายแล้ว”
หากว่านางสามารถนำมาใช้ได้ ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็จะกลายเป็นนายพลที่เก่งฉกาจของนางแล้ว
“ตอนนี้มหาเสนาบดีเซี่ยยังคงอยู่ในคุกของกรมอาญา ไท่เฟยต้องการหรือไม่?” อาฝูทำท่าทีเอ่ยถามออกมา
กุ้ยไท่เฟยส่งยิ้มเย็นออกมา “มหาเสนาบดีเซี่ยที่ไม่มีฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ยังจะมีประโยชน์อีกหรือ?”
เวลาสามวันในการจัดเตรียมงานอภิเษกที่ใหญ่โตเช่นนี้ ช่างทำให้สำนักพิธีการ และกรมกิจการภายในก็กระทำการได้อย่างยากลำบาก
พวกเขาล้วนแต่พยายามอย่างสุดความสามารถ เริ่มจากตกแต่งจวนท่านอ๋องก่อน จากนั้นก็จัดเตรียมพิธีอภิเษกต่าง ๆ