ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 606
จื่ออันเหลือบมองไปยังเฉินหลิงหลงที่อยู่ตรงประตู นางนอนหดตัวอยู่ภายในกรง ท่าทางดูน่าเศร้าเป็นอย่างมาก นางคงไม่คิดเลยว่าตนเองจะมีจุดจบเช่นนี้
เมื่อมองเห็นจื่ออัน นางก็เงยหน้าขึ้นมาในทันที โขกศีรษะลงให้จื่ออันโดยที่ไม่แม้แต่จะคิด “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่ ขอร้องท่าน ปล่อยข้า ปล่อยข้าไปด้วยเถิด”
จื่ออันนักถึงเรื่องวันนั้นขึ้นมา นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงระเบียงหน้าเรือนด้วยท่าทีดูดุร้าย และแทบจะอดทนไม่ไหวที่จะฆ่าเจ้าของเดิมให้ตายไปเสีย
ระยะเวลาสั้น ๆ ไม่กี่เดือน ทุกอย่างกลับตาลปัตรไป
และก็ดูเหมือนว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฆ่านางจริง ๆ
ก่อนที่จื่ออันจากไปก็คิดเช่นนี้เช่นกัน
จวนมหาเสนาบดีเริ่มก่อสร้างขึ้นมาใหม่ หลังจากที่ก่อสร้างขึ้นใหม่แล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่จวนมหาเสนาบดีอีกต่อไป จื่ออันเอ่ยถามหยวนฉุ่ยยวี่ว่าจะแขวนป้ายอะไร หยวนฉุ่ยยวี่คิดอยู่ครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยออกมา “เรียกว่าเรือนฟังเสียงฝนก็แล้วกัน”
จวนแห่งนี้ถูกเปลี่ยนชื่อกลายเป็นเรือน แต่จื่ออันเข้าใจความหมายของนางดี ต่อไปนางเพียงแต่ต้องการใช้ชีวิตนอนฟังเสียงลมเสียงฝนเท่านั้น อย่างไม่ต้องการจะเป็นกังวลกับเรื่องทางโลกอีกต่อไป
เพียงชั่วพริบตาเดียว เวลาสองเดือนก็ล่วงเลยไป
ในสองเดือนนี้ จื่ออันและมู่หรงเจี๋ยใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขเป็นอย่างมาก ทุกคนอยู่ดีกินดี ราวกับว่าทุกอย่างในเมืองหลวงล้วนสงบสุขลงแล้ว
ทว่าเมืองหลวงไม่มีทางที่จะสงบสุขราวกับกระจกที่ส่องกระทบผู้คน ความสงบสุขทั้งหมด เป็นเพียงพายุที่กำลังจะก่อตัวขึ้นมา
วันที่สามเดือนสิบเอ็ด ฮองเฮาประทานพระราชเสาวนีย์ลงมา เรียกพานตานและแม่นมหยางกลับวัง
ฮองเฮานั้นไม่เชื่อใจแม่นมหยางแล้ว หลังจากที่แม่นมหยางกลับวังไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นมา จื่ออันย่อมรู้ดี
เพราะฉะนั้น หลังจากที่แม่นมหยางกลับวังไปแล้วสองวัน จื่ออันก็เข้าวังไปเพื่อเข้าเฝ้าฮองเฮา
ในสองเดือนนี้ นางที่เป็นพระชายาของผู้สำเร็จราชการแทนก็เข้าวังมาถวายพระพรแล้วหลายครั้ง แน่นอนว่าหลัก ๆ คือถวายพระพรให้กับหวงไท่โฮ่ว ทางด้านฮองเฮานั้นก็เคยเข้าเฝ้ามาแล้ว แต่ฮองเฮานั้นไม่ชอบพบหน้านางอย่างชัดเจน มักจะใช้เหตุผลว่าไม่สบายไล่นางออกไป
จื่ออันไปถวายพระพรหวงไท่โฮ่วก่อน หลังจากที่พูดคุยกับหวงไท่โฮ่วอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ถึงได้ไปยังวังจิ้งหนิง
คราวนี้ฮองเฮาไม่ได้หาข้ออ้องหลบเลี่ยงออกไป แต่เป็นเรียกตัวนางเข้าไปด้านใน
จื่ออันนำเสี่ยวซุนเดินบนพื้นหินอันขาวสะอาดตาของวังจิ้งหนิง พื้นมันเงาจนแทบมองเห็นคน นางก้มหน้าลงจนแทบจะมองเห็นเงาของตนเอง
ฮองเฮาประทับอยู่บนตำแหน่งสูงสุดของห้องโถงหลัก เฉกเช่นเดียวกับครั้งแรกที่จื่ออันเข้าวังไปพบกับนาง อยู่สูงส่งราวกับคนละโลกกัน
ส่วนแม่นมหยางกลับยืนอยู่ด้านข้างกายของนาง จื่ออันมองเห็นว่ามีรอยนิ้วมืออยู่บนใบหน้าของนาง ในใจก็ดูเคร่งขรึมลงเล็กน้อย
“คารวะฮองเฮา!” จื่ออันเดินไปข้างหน้าเพื่อคารวะ
ฮองเฮามองไปยังนาง จู่ ๆ ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา ใบหน้านั้นยิ้มออกมาได้อย่างง่ายดาย ราวกับว่ามุมปากยกยิ้มขึ้น ดูเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน
“จื่ออันอ่า ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันขนาดนี้ พวกเราในตอนนี้เป็นเหมือนกับคนในครอบครัวเดียวกัน มานั่งเถิด!”
จื่ออันย่อกายก่อนจะเดินไปนั่งลง “ขอบพระทัยเพคะเหนียงเหนียง!”
“เจ้าเองก็เรียกข้าว่าพี่สะใภ้เช่นเดียวกับเจ้าเจ็ดไม่ดีหรือ? เรียกเหนียงเหนียงอะไรกัน ดูห่างเหินกันเสียจริง!” ฮองเฮาเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
จื่ออันกลับรู้ว่ามู่หรงเจี๋ยน้อยนักที่จะเรียกนางว่าพี่สะใภ้ มักจะเรียกฮองเฮาว่าเหนียงเหนียง
“เพคะ!” จื่ออันเอ่ยตอบรับ
ฮองเฮาเมื่อเห็นว่าจื่ออันนั่งลง จึงได้หันไปเอ่ยกับแม่นมหยาง “ยังไม่รีบไปชงชาอีก? ออกจากวังไปเพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น แม้แต่การรับใช้ดูแลคนก็ไม่เข้าใจเสียแล้วอย่างนั้นหรือ”
น้ำเสียงของนางดูรุนแรงและเสียดสีเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเอ่ยออกมาให้กับจื่ออันฟัง
แม่นมหยางโค้งกายคำนับ “เพคะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้”
นางรีบร้อนออกไป ในตอนที่เดินผ่านข้างกายของจื่ออันไปนั้น ก็เหลือบมองไปยังจื่ออัน หมายความว่าให้จื่ออันอย่าได้ออกหน้าให้กับนาง
ทั้งสองคนร่วมทุกข์สุขอยู่หลายเดือน ก็ล่วงรู้ถึงจิตใจของกันและกัน เพียงแค่แวบตาเดียว ก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะเอ่ยอะไรออกมา