ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 722
มู่หรงเจี๋ยกอดนางเอาไว้ เอ่ยถามอย่างเคร่งขรึมออกมา “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
จื่ออันอ้าปากกว้างสูดลมหายใจเข้า และเอ่ยออกมาอย่างสะอื้น “ไม่ดี ไม่ดีเอามาก ๆ เลย”
“จะยังมีชีวิตรอดหรือไม่?” เขาถามออกมาอีกครั้ง ขอเพียงแค่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังคงมีความหวัง
“ข้าไม่รู้” จื่ออันน้ำตาไหลนอง “ข้าไม่อาจรับรองได้ว่าจะไม่มีการติดเชื้อ หากว่าเมื่อติดเชื้อเข้า ข้าก็คงจะไม่มียาสามารถรักษาเขาได้”
“ทักษะเข็มทองเล่า?” น้ำเสียงของมู่หรงเจี๋ยแหบแห้ง ปลายนิ้วสั่นไหวเล็กน้อย
“ไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์!”
มู่หรงเจี๋ยไม่ส่งเสียงได้ออกมา ทำเพียงแค่กอดนางเอาไว้แน่นอย่างระมัดระวัง และตัวสั่นเล็กน้อยราวกับกอดทั้งหมดที่มีของเขา
ซูชิงเซียวท่าและหลิวหลิ่วหลังจากที่รู้เข้าก็เข้ามา เมื่อมองเห็นสถานการณ์ ทุกคนต่างก็รู้สึกแย่เช่นกัน
หวงไท่โฮ่วเองก็ส่งคนมาถามสถานการณ์อยู่หลายครั้งแล้ว ตอนอยู่ในวังหลวง หมอหลวงหลีกเลี่ยงบอกว่าไม่สาหัส บอกแต่เพียงว่ามีบาดแผลภายนอกเท่านั้น ทว่าในใจของหวงไท่โฮ่วเองก็รู้ดี บาดเจ็บจนกลายเป็นเช่นนี้ เกรงว่าคงจะอันตรายเป็นอย่างมาก
ฮองเฮาไม่ได้ส่งคนมาสอบถาม มีเพียงแค่พานตานที่เข้ามา บอกว่าได้รับคำสั่งให้มาคุ้มครองอ๋องเหลียง ถูกมู่หรงเจี๋ยไล่ออกไปก็ไม่ได้จากไป คอยเฝ้าอยู่ด้านนอกอยู่ตลอดเวลา
หลิวหลิ่วเองที่เดิมทีนั้น เพราะว่าในที่สุดเซียวท่าก็จะขอนางแต่งงานแล้ว นางอยากจะบอกกับทุกคนออกไปเป็นอย่างมาก เรื่องที่น่ายินดีเช่นนี้ แต่ไม่อาจจะเอ่ยออกมาไม่ได้ นางเองก็คงไม่อาจจะมีความสุขได้
นางรู้มาโดยตลอดว่าชีวิตนั้นเปราะบางเป็นอย่างมาก แต่ไม่คิดเลยว่า จะเปราะบางจนกลายเป็นเช่นนี้ อ๋องเหลียงสลบไปแล้ว นอนคว่ำอยู่บนเตียงนั้น ไม่มีแม้แต่ความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ
เพราะจื่ออันบอกว่า จะต้องอาศัยความมุ่งมั่นของเขาถึงจะผ่านด่านนี้ไปได้ เพราะฉะนั้นทุกคนถึงได้ผลัดเปลี่ยนกันพูดคุยอยู่ข้างเตียงของเขา ทำให้เขารับรู้ได้ว่า ทุกคนอยู่เคียงข้างเสมอ
เมื่อถึงกลางดึก ก็เริ่มมีไข้ขึ้นสูง จื่ออันที่เตรียมพร้อมยาฆ่าเชื้อ ลดการอักเสบ และลดไข้เอาไว้แล้ว เมื่อมีไข้สูงก็รีบเทยาลงไปทันที ทว่ายาลดไข้ใช้ไปครึ่งชั่วยามแล้ว ก็ยังไม่ลด กลับกันยิ่งมีอุณภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะว่าเขามีอาการโรคลมชัก เพราะฉะนั้นจื่ออันเกรงว่าอุณภูมิที่สูงจะทำให้โรคลมชักกำเริบขึ้น จึงไม่กล้าที่จะออกไปไหนแม้เพียงนิด ทำได้เพียงคอยเฝ้าอยู่ข้างเตียงตลอดเวลา
ในตอนกลางดึกนั้น ซุนกงกงมาด้วยตนเองครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบถึงสถานการณ์ จื่ออันบอกออกไปตามความเป็นจริง บอกว่าบางทีอ๋องเหลียงอาจจะก้าวข้ามผ่านด่านนี้ไปไม่ได้
ซุนกงกงเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก กลับวังไปรายงานหวงไท่โฮ่ว หวงไท่โฮ่วเศร้าเสียใจจนแทบทนไม่ไหว นำซุนกงกงไปยังวังจิ้งหนิง
ฮองเฮาที่หลับไปแล้ว แต่ก็นอนไม่หลับ ได้ยินหงฮวาบอกมาว่า หวงไท่โฮ่วมายามดึกดื่น ก็ลุกขึ้นไปต้อนรับ และแน่นอนว่าในใจย่อมไม่ยินดี
นางรู้ว่าอ๋องเหลียงเข้าใจศิลปะการต่อสู้ เพราะฉะนั้นหกกสิบไม้ขนาดใหญ่คงจะทนผ่านพ้นไปได้ มากสุดก็คงเสียขาทั้งสองไป
ทว่านางกลับลืมไปว่า อ๋องเหลียงนั้นตั้งแต่ที่มีอาการโรคลมชักแล้ว สุขภาพร่างกายก็ไม่ดีมาโดยตลอด จำต้องใช้ยาจำนวนมาก เมื่อนานมาแล้ว ก็ได้รับบาดเจ็บมาก่อน หกสิบไม้ขนาดใหญ่นี้ คงจะเอาชีวิตเขาได้จริง ๆ
“เสด็จแม่มายามวิกาลเช่นนี้ มีเรื่องสำคัญอะไรหรือเพคะ?” ฮองเฮาย่อกาย ไม่ได้ถวายพระพรก่อน เอ่ยถามออกไปในทันที น้ำเสียงก็ดูจะไม่สงบนัก
หวงไท่โฮ่วมองยังนาง ด้วยสายตาที่เย็นชา เยือกเย็นจนเข้ากระดูก “สำหรับฮองเฮาแล้ว คงไม่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร แต่สำหรับข้าแล้ว กลับเป็นเรื่องใหญ่”
ฮองเฮานั่งลงอย่างเกียจคร้าน เอื้อมมือออกไปเช็ดดวงตาที่บวมแดง นางคืนวันนี้นอนไม่หลับ อีกทั้งยังร้องไห้ไปหลายครั้ง มาตอนนี้ในใจก็รู้สึกกระวนกระวายอย่างมาก ไม่คิดที่ตอบโต้อะไรกับหญิงชราผู้นี้อีก
“เรื่องใหญ่โตเพียงไร อย่างไรก็จะต้องมีวิธีแก้ไขได้ เสด็จแม่ทรงรีบพักผ่อนเถิดเพคะ พรุ่งนี้เช้าหม่อมฉันจะไปถวายพระพรแต่เช้าเพคะ”
หวงไท่โฮ่วตบลงบนโต๊ะทันที ตำแหน่งที่นางนั่งอยู่ก็คือตำแหน่งในตอนกลางวันที่ฮองเฮานั่ง นางเองก็ตบลงบนโต๊ะคำรามใส่อ๋องเหลียงด้วยความโมโหอยู่สองสามครั้ง
“ข้าเพียงแต่อยากจะรู้ว่า หัวใจของเจ้าเป็นสีอะไร ลูกชายของตนเองก็ยังลงมืออย่างโหดร้ายเช่นนี้ หากว่าเจ้าอยากให้เขาตายไป เพียงแค่ดาบเดียวฟันลงไปก็พอแล้ว ทำไมจะต้องทำให้เขาทนทุกข์ทรมานก่อนตายไปเช่นนี้ด้วย?”