ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 743
รัชทายาทที่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในวังบูรพา ดาบทั้งสามสิบแปดเล่มนั้นของอ๋องเหลียงไม่ได้สร้างอาการบาดเจ็บให้เขามากนัก กลับเป็นที่ตรงส่วนนั้นที่สำคัญกว่า ตอนนี้ยังต้องต้มยานอนพักผ่อนอยู่บนเตียงอยู่อีก
เหลียงซู่หลินได้กลับมารายงานแล้ว “ฝ่าบาท เขาละมั่งโลหิตได้มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ถูกโยนลงไปในเหวลึก ไม่มีใครสามารถตามหาได้พบแน่”
รัชทายาทกัดฟันเอ่ยออกมา “ดี เขาทำร้ายข้า ข้าก็จะเอาชีวิตของเขา”
ดวงตาของเหลียงซู่หลินฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมา “พ่ะย่ะค่ะ ไม่มีเขาละมั่งโลหิตแล้ว อ๋องเหลียงก็มีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้อีกต่อไปแล้ว”
เป็นเหลียงซู่หลินที่เป็นผู้แจ้งแก่รัชทายาทใราวกับไม่ได้ตั้งใจว่าอ๋องเหลียงต้องการเขาละมั่งโลหิตเพื่อช่วยชีวิต
อันที่จริงแล้ว.ด้านนอกนั้นมีคนมากมายที่รู้ว่าเขาละมั่งโลหิตใช้เพื่อช่วยชีวิตองค์หญิงใหญ่ ทว่าก่อนหน้านั้นรัชทายาทไม่ได้ใส่ใจต่อสถานการณ์ขององค์หญิงใหญ่ อีกทั้งได้รับบาดเจ็บอยู่ในวังบูรพา และโลกภายนอกนั้นเหมือนจะไม่ได้ติดต่อกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่รู้เรื่อง เมื่อเหลียงซู่หลินเอ่ยออกมาเช่นนี้ เขาจึงเชื่อเข้า
“ฝ่าบาท ราชครูส่งคนมา บอกว่ามีเรื่องต้องการสอบถามฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” คนในวังเดินเข้ามาแล้วเอ่ย
“เรียกตัวเข้ามา!”
รัชทายาทคิดจะลุกขึ้นนั่ง ทว่าบาดแผลยังคงเจ็บปวด เพียงแค่ขยับก็ฉีกขาดออกจากอย่างรุนแรง เขาเอ่ยกับเหลียงซู่หลินด้วยความโกรธเกรี้ยว “ยังไม่รีบมาประคองข้าขึ้นอีก? ยืนเป็นท่อมไม้อยู่ตรงนั้นทำอะไรกัน? ไอเจ้าหัวสมองหมู!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เหลียงซู่หลินรีบก้าวเข้ามา ประคองเขานั่งลง จากนั้นก็สอดเบาะนั่งเอาไว้ด้านหลังเอว
เด็กรับใช้ของราชครูเข้ามาคุกเข่าลงบนพื้น “บ่าวคารวะองค์รัชทายาท”
“มีเรื่องอะไรกัน?” รัชทายาทเอ่ยถาม
“ฝ่าบาท ผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักพรรดิเรียกเหล่าขุนนางและเหล่าเชื้อพระวงศ์ บอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องการจะหารือด้วย ราชครูถึงได้ให้บ่าวมาสอบว่า หลายวันมานี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเป็นพิเศษหรือไม่”
รัชทายาทเมื่อได้ยินว่าผู้สำเร็จราชการแทนเรียกตัวขุนนางและเชื้อพระวงศ์ไป ก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมา “มู่หรงเจี๋ยต้องการจะทำอะไร? ทำไมถึงต้องเรียกเชื้อพระวงศ์ด้วย?”
เด็กรับใช้เอ่ยออกมา “เรียนฝ่าบาท ราชครูเองก็ไม่รู้ แต่ราชครูคาดเดาเอาไว้ว่าจะต้องพุ่งเป้ามายังองค์รัชทายาท เพราะฉะนั้นถึงได้ให้บ่าวมาสอบถามรัชทายาทว่าช่วงนี้เกิดเรื่องอะไรที่เขาไม่รู้ขึ้นบ้างหรือไม่ ราชครูจะต้องล่วงรู้ทั้งหมด ถึงจะมีแผนการตอบรับได้”
รัชทายาทโมโหอย่างยิ่ง “พุ่งเป้ามาที่ข้า? เขามีสิทธิ์อะไรที่พุ่งเป้ามาที่ข้า? ข้าถูกเศษสวะนั่นทำจนกลายเป็นเช่นนี้ ก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะมาเยี่ยมข้าเลย? ข้าไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่น่าอับอาย เจ้ากลับไปรายงานราชครู หากว่ายังวอแวไม่ลดละ จะเป็นความผิดฐานทำร้ายรัชทายาท”
เด็กรับใช้นั้นยากที่จะรับมือได้ และไม่รู้ที่ต่ำที่สูง เย่อหยิ่ง จะกล่าวโทษผู้สำเร็จราชการจะง่ายดายเพียงนั้นเชียวหรือ?
เขาเอ่ยอย่างอดทน “ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ หากว่าท่านมีอะไรปิดบังแล้วจะต้องแจ้งแก่ราชครู ราชครูคาดเดาว่า ที่ผู้สำเร็จราชการกระทำการใหญ่โตเช่นนี้ อาจจะต้องการปลดฝ่าบาท”
“เขากล้า?” รัชทายาทกรุ่นโกรธ “เขามีอำนาจอะไรที่จะมาปลดข้า? เสด็จพ่อยังไม่สวรรคต เขาก็กล้าหยิ่งหาญหยิ่งผยองเช่นนี้? ในสายตายังจะมีกฎบัญญัติของบรรพชนอยู่อีกหรือไม่?”
เด็กรับใช้เอ่ยเตือน “ฝ่าบาท ฝ่าบาทมีเคยรับสั่งออกมา ตราบใดที่พิสูจน์ได้ว่าฝ่าบาทมีความผิดร้ายแรง เมื่อผ่านการหารือของขุนนางและเชื้อพระวงศ์แล้ว ผู้สำเร็จราชการแทนก็มีอำนาจที่จะปลดรัชทายาท”
“เพียงแค่รับสั่งเท่านั้น ไม่ได้มีเป็นพระราชโองการเสียหน่อย ใครจะรู้ว่าที่เขาเอ่ยนั้นเป็นความจริงหรือเท็จกัน?” รัชทายาทเอ่ยเย้ยหยัน
“ฝ่าบาท ไม่ว่าจริงหรือเท็จ เรื่องนี้เตรียมการเอาไว้พร้อมจะเป็นการดีกว่า”
เหลียงซู่หลินเองก็เอ่ยเกลี้ยกล่อม “ใช่แล้ว ฝ่าบาท ราชครูเป็นคนหลักแหลม หากว่าเขาเอ่ยสำทับมาเช่นนี้จะต้องมีเหตุผล ฟังคำของราชครูจะเป็นการดีกว่า”
อันที่จริงแล้วในใจของรัชทายาทนั้นหวั่นไหวเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เขารู้ว่ามู่หรงเจี๋ยไม่ง่ายที่จะรับมือด้วย เพียงแต่ด้วยความสง่างามของเขา จึงไม่คิดที่จะเผยความหวาดกลัวออกมาให้ผู้อื่นได้ขบขัน
เมื่อได้ยินเหลียงซู่หลินเอ่ยออกมาเช่นนี้ เขาครุ่นคิดอยุ่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยออกมา “ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่วันนั้นจับตัวคนที่อยู่ในใจของเศษสวะนั่นไป ยังมี…”
เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยถึงเรื่องของพระสนมอี๋ไปหรือไม่ เซี่ยจื่ออันรู้เรื่องนี้ หากว่านำเรื่องนี้ไปเปิดเผยในราชสำนัก หากว่าราชครูไม่รู้เรื่องก่อนแล้ว เกรงว่าคงไม่อาจจะรับมือได้ เมื่อคิดอย่างละเอียดแล้ว เขาก็เรียกเด็กรับใช้เข้ามา แล้วนำเรื่องพระสนมอี๋บอกแก่เด็กรับใช้ไป
เด็กรับใช้ถึงกับตกตะลึง “ท่านบอกว่าเรื่องนี้พระชายาผู้สำเร็จราชการเองก็รู้เรื่องนี้?”