ตอนที่ 2 เงาโลหิต (1)
โอกาสเป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นเอง
หลี่ฮ่าวต้องการโอกาส และเขาต้องสร้างโอกาสนั้นขึ้นมา
ไม่นานหลี่ฮ่าวก็เคลียร์งานเอกสารฉบับหนึ่งเรียบร้อย เขาลุกขึ้นเดินมุ่งหน้าไปทางห้องทำงานเล็กๆ ในโซนทำงาน
“ก๊อกๆ!”
หลี่ฮ่าวเคาะประตูห้องทำงาน
เสียงของหัวหน้าห้องเก็บแฟ้มคดีดังแว่วขึ้นว่า “เข้ามาได้!”
……
หลี่ฮ่าวผลักเปิดประตูออก
“หัวหน้าครับ!”
“หลี่ฮ่าวเองเหรอ!”
หวังเจี๋ยในช่วงอายุวัยกลางคน เขาอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นหลี่ฮ่าว
เด็กคนนี้เป็นเด็กดีมีมารยาทและขยันขันแข็งคนหนึ่ง อีกทั้งยังได้รับการศึกษาระดับสูงจากมหาวิทยาลัยกู่ย่วนประจำเมืองหยินด้วย ถึงแม้จะลาออกก่อนเวลา ไม่ใช่ว่าเขาถูกไล่ออกแต่ลาออกเองต่างหาก ตนจึงให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ
หลี่ฮ่าวคลี่ยิ้มแล้วเปิดปากโดยไม่รอช้าว่า “หัวหน้าครับ ผมมีเรื่องมารายงาน”
“นั่งสิ!”
หวังเจี๋ยพูดคุยกับเขาก่อนครู่หนึ่ง ภารกิจของห้องเก็บแฟ้มคดีไม่ได้ถือว่าหนักหนา ส่วนคดีก็ไม่ใช่คดีใหญ่โตอะไร ปกติแล้วคดีใหญ่จะเป็นหน่วยปฏิบัติการด่านหน้าออกปฏิบัติการ ซึ่งสรุปได้ว่าห้องเก็บแฟ้มคดีงานมั่นคงปลอดภัยมากทีเดียว
สำหรับเรื่องที่หลี่ฮ่าวรายงาน หวังเจี๋ยเดาว่าเจ้าเด็กคนนี้คงอยากให้เขาเห็นหน้าบ่อย ๆ แล้วช่วยดันเจ้าตัวได้เลื่อนตำแหน่งละมั้ง?
แต่ระยะเวลาสั้นเกินไป อีกอย่างเจ้าเด็กนี่ยังลาออกจากมหาวิทยาลัยและเพิ่งผ่านงานได้ไม่นานเท่าไหร่ ระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้จะให้ช่วยคงเป็นไปไม่ได้
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิด หลี่ฮ่าวที่นั่งตรงหน้าเขาก็เริ่มมีสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงแสดงให้เห็นถึงความกลัดกลุ้มเล็กน้อย “หัวหน้าครับ ผมอยู่ห้องเก็บแฟ้มคดีรับผิดชอบจัดการแฟ้มคดีน่าสงสัยและคดีที่ยังไม่ได้คลี่คลาย ผมเข้ามาทำงานในห้องเก็บแฟ้มคดีได้หนึ่งปี ตอนนี้ผมเอาคดีในระยะสิบปีนี้มาจัดเรียงและแบ่งประเภทใหม่…”
หวังเจี๋ยผุดรอยยิ้มออกมาทันทีแล้วพยักหน้ากล่าว “ผมรู้ว่าคนมีความสามารถก็ย่อมเป็นคนที่มีความสามารถ! ก่อนหน้านี้แฟ้มเอกสารไม่เป็นระเบียบ แฟ้มคดีเก่าแทบโดนปลวกกินหมด ผมเองก็เคยให้คนจัดการมาก่อนแต่ตอนที่ต้องใช้ก็มักหาไม่เจออยู่เรื่อย ช่วงนี้ตั้งแต่คุณมาไม่ว่าจะหาแฟ้มคดีไหนก็หาเจอทันที เรื่องนี้คุณมีความดีความชอบ…”
หลี่ฮ่าวรีบส่ายหน้า “หัวหน้า ผมไม่ได้มาขอความดีความชอบหรอกนะครับ”
ไม่ใช่เหรอ?
หวังเจี๋ยยิ้มเจื่อน หรือว่ามีเรื่องอยากรายงานเขาจริงๆ?
เขาไม่ได้พูดอะไรแต่แค่พยักหน้าสื่อว่าให้หลี่ฮ่าวพูดต่อ
หลี่ฮ่าวหยิบเอกสารตรงหน้าออกมาแล้วส่งให้หวังเจี๋ยชุดหนึ่ง จากนั้นตัวเองก็พลิกเอกสารอีกชุดหนึ่ง ถึงแม้อายุยังน้อยทว่าน้ำเสียงกลับหนักแน่น “ในวันที่ 16 เดือนกันยายน ปี 1720 สถานีตำรวจของหมู่บ้านเมืองหยินเกิดคดีคนถูกไฟคลอกตาย มีคนเห็นว่าผู้เคราะห์ร้ายถูกไฟคลอกตายต่อหน้าผู้คนมากมาย อวัยวะภายในร่างกายถูกเผามอดไหม้ในทันทีจนเคราะห์ร้ายตายทั้งเป็น”
เวลานี้หวังเจี๋ยอ่านแฟ้มเอกสารในมือตนเอง จากนั้นก็มองหลี่ฮ่าว
นี่เป็นคดีที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนและถูกปิดคดีไปแล้วด้วย ไม่ใช่การถูกทำร้ายแต่เป็นอุบัติเหตุ เจ้าเด็กคนนี้พูดถึงคดีที่ปิดไปแล้วเมื่อสิบปีก่อนเพื่ออะไร?
หลี่ฮ่าวเอ่ยต่อ “เมื่อวันที่ 22 เดือนกันยายน ปี 1723 ศูนย์การค้าใจกลางเมืองหยิน จู่ๆ พนักงานขายคนหนึ่งก็เกิดไฟไหม้ขึ้นบนเส้นผม ไม่นานก็ลามไปทั่วร่างกายจนถูกไฟคลอกตายต่อหน้าทุกคน”
หวังเจี๋ยพยักหน้า “คดีนี้ผมรู้ ตอนนั้นผมเป็นคนจัดการเอกสารเอง แถมผมยังไปที่เกิดเหตุเองด้วย คดีนี้เป็นอุบัติเหตุเพราะตอนนั้นศูนย์การค้าเกิดไฟช็อต”
หลี่ฮ่าวไม่คัดค้านอะไรแล้วอ่านต่อไปว่า “เมื่อวันที่ 18 เดือนสิงหาคม ปี 1725 ณ โรงแรมหมินเซิงเมืองหยิน แขกที่เข้าพักในโรงแรมถูกพบว่าตายในโรงแรมในวันถัดมา แถมพบว่าถูกไฟคลอกตายด้วย”
ห่างจากคดีแรกห้าปีและห่างจากคดีที่สองสองปี
ในระยะเวลาห้าปีเกิดคดีคนถูกไฟคลอกตายถึงสามคดีซึ่งล้วนแต่เป็นอุบัติเหตุ ในเมืองหยินมีคดีให้ต้องจัดการมากมาย คนถูกไฟคลอกตายโดยอุบัติเหตุสามคดีที่เกิดขึ้นในระยะห้าปีนี้ ไม่นับว่าเป็นคดีใหญ่โตอะไรจริงๆ และมีคนสนใจอยู่ไม่กี่คน
นอกเสียจากบังเอิญว่าสามคดีนี้เป็นฝีมือฆาตกรคนเดียวกัน บางทีอาจจะดึงดูดความสนใจขึ้นมาบ้าง
ในห้องเก็บแฟ้มคดีมีเอกสารมากมาย ปกติหวังเจี๋ยเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร พอได้ฟังไม่กี่ประโยคเขาก็แอบรู้สึกอยู่ในใจลึกๆ จึงขมวดคิ้วมองไปทางหลี่ฮ่าว
หลี่ฮ่าวพูดต่อ “เมื่อวันที่ 16 เดือนกุมภาพันธ์ ปี 1727 ถนนทางตะวันออกของเมืองหยินมีผู้โชคร้ายคนหนึ่งถูกไฟคลอกตาย สาเหตุเกิดจากบริเวณนั้นปรากฏลูกบอลสายฟ้าขึ้นจึงสันนิษฐานว่าลูกบอลสายฟ้านี้ทำให้ไฟลุกท่วมตัว ส่วนระยะเวลาห่างจากคดีไฟคลอกตายก่อนหน้านี้เป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง!”
หวังเจี๋ยหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย จากสามปีเป็นสองปี จากสองปีมาหนึ่งปีครึ่ง เมืองหยินก็เกิดคดีคนถูกไฟคลอกตายขึ้นอีกครั้ง!
“เมื่อวันที่ 12 เดือนสิงหาคม ปี 1728 กองตรวจการณ์เขตชานเมืองประจำเมืองหยินรายงานว่าในเขตมีคนหายตัวไป หลังจากนั้นก็พบศพถูกไฟคลอกตายอยู่ริมแม่น้ำ สันนิษฐานว่าเกิดจากฟ้าผ่าในคืนวันที่ฝนตกฟ้าคะนอง สรุปคดีว่าเกิดจากอุบัติเหตุ”
และก็เป็นเวลาหนึ่งปีครึ่งเช่นเคย!
คดีถูกรายงานจากหน่วยงานเบื้องล่าง ห้องเก็บแฟ้มคดีทำหน้าที่เพียงจัดการเอกสารเท่านั้นแต่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการจัดการคดีด้วย ยิ่งไปกว่านั้นคดีที่เกิดจากอุบัติเหตุเช่นนี้ ในเมื่อปิดคดีแล้ว เบื้องบนย่อมไม่มีทางบุ่มบ่ามรื้อคดีขึ้นมาแน่นอน
สีหน้าหวังเจี๋ยเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่ได้สนใจเลยจริงๆ เพราะเอกสารในห้องเก็บแฟ้มคดีมีมากเกินไป กระทั่งมีการทำลายคดีเก่าๆ แล้วด้วยซ้ำ
“และก็เป็นเวลาปีครึ่งเช่นกัน…”
หวังเจี๋ยไม่ได้พลิกอ่านเอกสารคดีในมือแต่กลับมองหลี่ฮ่าวแล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “สามปีหนึ่งครั้ง สองปีหนึ่งครั้ง และห่างกันปีครึ่งสองครั้ง ช่วงเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายน ปี 1729 มีคดีคนถูกไฟคลอกตายอีกไหม”
ปี 1729 ก็คือปีก่อนนั่นเอง
หวังเจี๋ยครุ่นคิดพักหนึ่งว่าปีก่อนเคยเกิดคดีทำนองนี้ขึ้นหรือเปล่า?
เวลาห่างกันปีหนึ่งอย่างนั้นเหรอ?
หากมีจริงๆ เช่นนั้นก็บอกได้ว่าระยะเวลาสิบปีในเมืองหยินเกิดคดีเหยื่อถูกไฟคลอกตายถึงหกคดีแล้ว!
หากเฉลี่ยแล้วถือว่าไม่มาก สองปีหนึ่งครั้ง เมืองหยินใหญ่มาก อีกอย่างไม่ได้จัดการโดยหน่วยงานเพียงหน่วยเดียวแต่กระจายกันทำ หน่วยงานหนึ่งอาจจะมีโผล่มาบ้างประปรายในระยะสิบกว่าปี แล้วใครจะไปสนใจเล่า?
หลี่ฮ่าวพยักหน้า “เมื่อปี 1729 เกิดคดีเช่นเดียวกันนี้อีกและเกิดในมหาวิทยาลัยกู่ย่วนประจำเมืองหยินด้วยครับ อีกอย่าง…ผู้เกิดเหตุก็คือเพื่อนร่วมชั้นของผมเอง เพื่อนข้างห้องผม! ผมลาออกจากมหาวิทยาลัยกู่ย่วนส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องนี้ ตอนนั้นผมเห็นทุกอย่างจนทำให้นึกหวาดกลัวในใจ รวมถึงความผิดปกติในการตายของเพื่อนผมด้วย ดังนั้นผมเลยอยากรู้ว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์ไฟคลอกคนตายขึ้นกันแน่!”
สีหน้าหลี่ฮ่าวแน่วแน่ “ดังนั้นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ผมเลือกทำงานที่กองตรวจการณ์ก็เพราะเรื่องนี้ คนนอกไม่มีทางหาอ่านเอกสารในคดีได้แต่ผมทำได้! ผมรื้ออ่านคดีคนถูกไฟคลอกตายในตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา ผมถึงค้นพบว่า…บางทีนี่อาจจะไม่ใช่อุบัติเหตุ!”
…………………………………………………………