ตอนที่ 14 รู้สึกว่าตัวเราเก่งกาจเหลือเกิน (3)
หลิวหลงสูดลมหายใจเข้าปอดลึก “ก็เป็นแค่ทฤษฎีก็เท่านั้นแหละ ซึ่งอันที่จริงแล้วมนุษย์ปุถุชนคนทั่วไป ต่อให้แข็งแกร่งขนาดไหนถ้าต้องเผชิญหน้ากับกองทัพนับพันคน ต่อให้อีกฝ่ายไม่ใช้ปืน นายก็ต้องตายอยู่ดี! กำลังของนาย สติของนายจะค่อยๆ หมดไปขณะกำลังต่อสู้ ต่อให้แข็งแกร่งขนาดไหนก็มีขีดจำกัด นายไม่มีทางจะสู้กับคนพันคนได้หรอก”
“จนกว่าจะผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติปรากฏตัว ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่งบางคนเท่านั้นถึงจะมีระดับฝีมือขั้นพันยุทธ์อย่างแท้จริง”
หลี่ฮ่าวชะงักไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม “หัวหน้าหมายความว่า ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่งถึงจะทำได้ ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่อ่อนแออาจจะมีฝีมือแค่ระดับสิบสังหารหรือทะลวงร้อยใช่ไหมครับ?”
“เท่ากับว่าเหรอ?”
หลิวหลงมองเขาแล้วพูดเยาะๆ “เท่ากับว่า? รอจนถึงวันนั้นพอได้ลองคุณก็จะรู้เอง! ความสามารถในระดับทะลวงร้อยจะสามารถรับมือกับคนร้อยคนได้ด้วยตัวคนเดียว! ความเร็ว พลังก็ต้องถึงขั้นสุดยอด ยอดฝีมือแบบนี้ย่อมต้องมีพลังพิเศษบางอย่างอยู่แล้ว ต่อให้เป็นยอดฝีมือทะลวงร้อยในบรรดาปรมาจารย์นักรบทั้งหลายก็ต้องตายด้วยเงื้อมมือพวกเขา! นายว่าอ่อนแอมากไหมล่ะ”
หลี่ฮ่าวไม่พูดอะไร
ทะลวงร้อย
ฟังดูแล้วไม่ยากแต่ความจริงแล้วถ้าฝ่ายตรงข้ามเป็นกองทัพที่มีทหารจำนวนนับร้อย หนำซ้ำแต่ละคนยังแข็งแกร่งมากด้วย หลี่ฮ่าวบุกเข้าไปคงตายสถานเดียว
แต่ในวินาทีนี้เขาสงสัยในความสามารถของหลิวหลงอย่างยิ่ง
“งั้นหัวหน้า…มีความสามารถทะลวงร้อยหรือเปล่าครับ?”
ใบหน้าหลิวหลงเรียบเฉย หลิวเยี่ยนเสริมด้วยรอยยิ้ม “ก็คงประมาณนั้น ทู่ซี้ไปว่าใช่แล้วกัน! ลูกพี่ไม่แกร่งแล้วจะนำทีมพวกเราไปฆ่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติได้ยังไง! ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแข็งแกร่งมากนะ ต่อให้อ่อนแอที่สุดแต่ความจริงฝีมือก็อยู่ในระดับทะลวงร้อยแล้ว แถมยังต่อกรด้วยยากกว่ามาก!”
คราวนี้หลี่ฮ่าวถึงได้รู้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจนว่าหัวหน้าทีมผู้นี้แข็งแกร่งขนาดไหน
แน่นอนว่ารู้จากลมปากเท่านั้น ส่วนความจริงแล้วจะเก่งขนาดไหน…ยังไม่ได้สัมผัสด้วยตนเอง
ทะลวงร้อยฟังดูแล้วไม่ได้ดูเก่งกาจเท่าไรเลย
“แล้วอาจารย์หยวนซั่วล่ะ?”
“ตอนที่อาจารย์ของคุณยังรุ่งเรืองอยู่คาดว่าน่าจะมีความสามารถถึงขั้นทะลวงร้อยเชียวล่ะ เพียงแต่ตอนนี้อายุอานามก็มากแล้ว ร่างกาย ความเร็วต่างๆ ก็ลดลง เกรงว่าคงจะไม่ไหว”
หลิวหลงส่ายหน้าน้อยๆ “ตอนแรกปรมาจารย์นักรบชั้นยอดส่วนหนึ่งก็มีมาตรฐานในระดับนี้! เพียงแต่หลายปีมานี้พอมีอาวุธปืนมาช่วยเสริมแล้ว เมื่อผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติปรากฏตัวขึ้น ทุกคนเลยพอจะมีพลังสูสีกับพวกเขาบ้าง ดังนั้นจึงมีคนจำนวนน้อยนิดนักที่จะอดทนฝึกฝนวิชาของคนธรรมดาพวกนี้ต่ออีก!”
“ถ้าดูดพลังเหนือธรรมชาติเหล่านั้นมาได้ เพียงไม่นานร่างกายก็จะแข็งแกร่ง ความสามารถก็จะแกร่งกล้าขึ้น เดิมทีอาจเป็นแค่คนธรรมดา หนึ่งวันหลังจากนั้นก็สามารถรับมือกับปรมาจารย์นักรบในขั้นสิบสังหารได้แล้ว และในเพียงระยะเวลาอันสั้นก็จะกลายเป็นปรมาจารย์นักรบขั้นทะลวงร้อย! คุณว่าจะยังมีใครยอมฝึกฝนวิชาโบราณอย่างยากลำบากแบบนั้นอีกเหรอ”
เขามองหลี่ฮ่าวแล้วถอนหายใจ “พลังเหนือธรรมชาติช่วยให้ทะลุขีดจำกัดของร่างกาย ทะลุขีดจำกัดของตัวเอง และทำให้ขีดจำกัดนั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้เป็นถังไม้ที่มีน้ำเพียงน้อยนิด น้ำที่ใส่ก็ยังมากกว่าแก้วใส่เหล้า! แต่ปรมาจารย์นักรบก็คือแก้วเหล้า! ส่วนผู้มีพลังเหนือธรรมชาติก็คือถังไม้! นายเข้าใจไหม?”
หลี่ฮ่าวพยักหน้ารับว่าเข้าใจ
ช่างชวนให้หมดหวังจริงๆ !
ถ้าหากว่าปรมาจารย์นักรบไม่สามารถดูดพลังให้กลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติได้ก็เท่ากับว่าต่อให้ฝึกฝนไปทั้งชีวิตก็ไม่สามารถทะลุขีดจำกัดตัวเองได้ ต่อให้ฝึกฝนอย่างยากลำบากมาหลายปีก็มิอาจรับมือแม้แต่พวกที่เพิ่งศึกษาเดินเส้นทางนี้ได้ด้วยซ้ำ นี่มันจะต้องหมดหวังขนาดไหนกัน!
เหมือนหยวนซั่วที่ฝึกฝนตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้เขาอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว กำลังกายก็ลดลง เดิมทีถือเป็นบุคลากรลำดับต้นๆ ในโลกปรมาจารย์นักรบ สุดท้ายขั้นทะลวงร้อยในอดีตก็กลับกลายเป็นเพียงขั้นสิบสังหารในตอนนี้แทน
ความสามารถแบบนี้ถือแค่เป็นขั้นแรกเริ่มของพวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเท่านั้น!
บุคคลระดับศาสตราจารย์อายุเจ็ดสิบกว่าปีคนหนึ่งก็เปรียบได้กับคนอายุน้อยที่เพิ่งเริ่มฝึก มิน่าตอนที่เขาฝึกห้าปาณภูต ศาสตราจารย์หยวนซั่วถึงได้บอกว่าอย่างน้อยจะได้มีความสามารถในการป้องกันตัวเพิ่มขึ้นอีกอย่าง ร่างกายจะได้แข็งแรงขึ้นก็เท่านั้น
เขาไม่เคยพูดว่าเป็นวิชาที่ใช้ฆ่าคนได้!
เพราะความจริงมักชวนให้หมดหวัง!
ส่วนหลิวหลงก็เพียงแค่แนะนำสั้นๆ อย่างรวดเร็วว่า “คุณลองดู พวกเราจับความเร็วและพลังของคุณในขั้นต้นดูก่อนว่าคุณมีฝีมือขนาดไหน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หลี่ฮ่าวก็ไม่พูดอะไรอีก
ไม่ปิดบังอะไร และไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นด้วย
ความรู้เคล็ดวิชาลิงเพียงน้อยนิดนี้ของเขาเกรงว่าคงจะไม่เข้าตาคนตรงหน้าด้วยซ้ำ
ภายในห้อง หลี่ฮ่าวเหมือนลิงอย่างไรอย่างนั้น กระโดดผาดโผน ตีลังกาไปมาภายในพื้นที่ออกกำลังกายอย่างรวดเร็ว พร้อมปล่อยหมัดใส่กระสอบทรายไม่หยุดหย่อน
……
ด้านนอก
หลิวหลงสังเกตดูอย่างเงียบๆ
อู๋เชาร่างผอมแห้งแรงน้อยดูต่ออยู่ครู่หนึ่ง เขาส่ายหน้าน้อยๆ “แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปนิดหน่อย ที่จริงแล้วก็คงไม่ต่างอะไรกับพวกผู้ตรวจการณ์หน้าเก่าๆ แต่ว่าลูกพี่…แบบนี้เขาจะรอดจากการไล่ล่าของพวกมือสังหารพลังเหนือธรรมชาติได้เหรอ?”
เฉินเจียนที่รูปร่างอ้วนกลมกล่าวอย่างเซ็งๆ ว่า “ไม่มีทางถึงขั้นสิบสังหารหรอก อย่างมากก็ได้แค่สองสามคนเท่านั้นแหละ! นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ทีมล่าปีศาจของเรารับไก่อ่อนขนาดนี้เข้าทีมในรอบสองสามปีนี้แล้วล่ะมั้ง?”
ถ้าเจอทหารสองสามคน ด้วยความสามารถของหลี่ฮ่าวอาจจะพอมีประโยชน์สังหารอีกฝ่ายได้บ้าง
แต่ระดับความยากของสองสามคนกับสิบคนไม่ได้ต่างกันแค่สามสี่เท่า แต่เป็นสิบเท่าขึ้นไปต่างหาก
ส่วนในสายตาพวกเขาหลี่ฮ่าวในตอนนี้อ่อนแอเกินไป
หลิวเยี่ยนกอดอกมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ “เก็บเอาไว้ดูเพลินๆ ก็ดีนะ ไว้เป็นกำลังเสริม ทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลก็ได้ เขาเป็นฝ่ายวิชาการไม่ได้เป็นพวกใช้กำลังเหมือนพวกนายสักหน่อย!”
หลี่ฮ่าวเป็นพนักงานด้านเอกสาร ก็น่าจะทำใจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
หลิวเยี่ยนไม่รู้สึกว่าจะเป็นปัญหาอะไร
ทุกคนก็ครุ่นคิดแบบนี้เหมือนกัน
หลิวเยี่ยนจึงกล่าวเสริม “แค่จัดเตรียมพวกอาวุธปืน สิบสังหารร้ายกาจมากเหรอ? แค่ปืนนัดเดียวก็สังหารได้แล้ว! แต่แน่นอนถ้าเป็นขั้นทะลวงร้อย ไม่ว่าจะปรมาจารย์ก็ดีหรือผู้มีพลังเหนือธรรมชาติก็ช่างล้วนรับมือยากทั้งนั้นแหละ”
หลักๆ ก็เพราะยากจะเล็งเป้าได้อย่างแม่นยำ เพราะถึงตาจะมองเห็น ขณะที่สมองสั่งการนั้น ทว่าอีกฝ่ายอาจจะมาประชิดตัวในวินาที่ต่อมาแล้วฆ่าเราตายก็ได้ ถ้าอย่างนั้นต่อให้มีอาวุธที่ร้ายกาจขนาดไหนก็ไร้ค่า
ที่จริงอาวุธปืนก็เป็นแค่อาวุธที่มีพลานุภาพสังหารรุนแรงเฉพาะกับพวกที่มีความสามารถในระดับทะลวงร้อยลงไป
แต่ถ้าช่วยกันกระหน่ำยิงละก็ ใช่ว่าจะจัดการพวกทะลวงร้อยไม่ได้สักหน่อย
หลิวหลงส่ายหน้าน้อยๆ “เขาต้องพกอาวุธพวกปืนอยู่แล้ว เลือกของที่ดี ใช้ง่าย และเบาให้เขาไป! หมอนี่มีสมองไว้ใช้ก็พอ…ถ้าหากว่าฆ่าพวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติได้ก็ให้เขาดูดพลังเหนือธรรมชาติมา ต่อให้ไม่กลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแต่เพิ่มความแข็งแกร่ง ความเร็ว แบบนั้นระดับสิบสังหารก็ไม่น่าใช่เรื่องยากอะไร”
พูดจบยังเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงต่ำว่า “ที่สำคัญเลยก็คือ เจ้าหมอนี่ไม่ใช่แค่นักวิชาการธรรมดา แต่ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านตัวอักษร ถึงแม้ว่าจะเก่งไม่เท่าหยวนซั่ว แต่สำหรับฉันอาจจะเพียงพอแล้วก็ได้!”
เมื่อกล่าวจบคนพวกนี้ก็เห็นด้วยกับอีกฝ่าย ก็จริงแฮะ
หลี่ฮ่าวยังพอมีประโยชน์อยู่ไม่น้อย
ให้เขาเข้าร่วมทีมล่าปีศาจนี่เหมือนว่าจะดีทีเดียว
……
แต่ในวินาทีนี้หลี่ฮ่าวที่กำลังปีนป่ายกระโดดไปมาอย่างรวดเร็ว พลันรู้สึกว่าตนเองเก่งใช้ได้ อย่างน้อยก็เข้มแข็งกว่าที่ผ่านมาไม่น้อย
ตอนที่เขาหายใจหอบเดินออกมา เขากล่าวอย่างคาดหวังพร้อมหายใจสั้นถี่ว่า “หัวหน้าครับ คุณว่าผมต่างอะไรกับปรมาจารย์นักรบขั้นสิบสังหารไหม พอจะถือว่าเป็นสิบสังหารได้ไหมครับ?”
เขารู้สึกว่าตอนนี้ตนเองมีความหวังว่าจะสามารถสู้กับคนสิบคนได้ด้วยตัวเอง!
แต่หลิวหลงชะงักไปเล็กน้อยพร้อมท่าทีลำบากใจ เขาไม่พูดอะไรต่อ พ่อหนุ่มน้อยเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน?
สิบสังหารคือแบบนายนี่เหรอ?
แต่คนอื่นๆ กลับสบตากัน เป็นไปอย่างที่คาดคนเรานี่ไม่ได้รู้เนื้อรู้ตัวอะไรเลย!
สิบสังหารเหรอ?
นายตื่นทีเถอะ!
หลี่ฮ่าวเองก็ค่อยๆ สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ เขาเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะกล่าวอย่างเก้อเขิน “เก้าสังหารเหรอ?”
“……”
คนที่เหลือไม่พูดจา
“ห้าเหรอ?”
“……”
ก็ยังคงไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ
หน้าหลี่ฮ่าวเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ไม่ขนาดนั้นมั้ง หลังจากที่เราดื่มน้ำแช่จี้หยกกระบี่แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองเก่งขึ้นมาก อาจจะถึงขั้นปะทะกับอาจารย์หยวนซั่วได้ด้วยซ้ำ แต่อาจารย์เขาอยู่ในระดับทะลวงร้อย เราคงไม่ได้ด้อยกว่าเขาไปมากขนาดนั้นมั้ง?
อาจารย์หยวนซั่วแค่สามารถเตะต่อยด้วยเคล็ดวิชาลิงได้ห้ารอบ เป็นเวลาสิบกว่านาที ตอนนี้เราเองก็ทนไหวในเก้านาทีแล้ว!
ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าหลิวหลงจะทำลายความเงียบ “อย่าคิดมากเกินไป อ่อนแอไม่กลัว กลัวคนขี้เกียจมากกว่า! ตั้งใจฝึกฝนให้ดี สิบสังหารก็แค่จิ๊บจ๊อย”
“……”
แล้วก็เงียบลงอีกครั้ง
หลี่ฮ่าวเข้าใจในทันที ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกเศร้าใจและเหนื่อยหน่ายใจขึ้นมา พูดไปแล้วไม่ถึงขั้นห้าสังหารด้วยซ้ำเหรอ?
แล้วเรายังมีความคิดจะตามฆ่าเงาโลหิตอีก บ้าเอ้ย คนไม่รู้ย่อมไม่หวาดกลัวอะไรเลยจริงๆ!
……………………………………………………………….