ตอนที่ 17 มาเยือนครั้งที่สอง (2)
แต่พอคิดดูอีกทีก็พานนึกถึงผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเหล่านั้น นึกถึงกลุ่มเงาโลหิตที่คนธรรมดามองเห็นไม่ได้…ครู่เดียวเท่านั้นหลี่ฮ่าวก็เลิกคิดไป
สมัยนี้แล้วใครจะสนใจว่าสุนัขตัวหนึ่งจะรู้ภาษามนุษย์หรือเปล่า!
แล้วเงาโลหิตคืออะไร
ชัดเจนว่าไม่ใช่มนุษย์!
ถึงอย่างไรเสียเจ้าเสือดำก็สนิทคุ้นเคยกับตน ถือว่าตนเป็นคนเลี้ยงมาส่วนหนึ่ง หากรู้ภาษามนุษย์จริงก็รู้ไปสิ
“อาจารย์บอกแล้วว่า ‘วิชาคายรับห้าปาณภูต’ ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด!”
หลี่ฮ่าวมองเจ้าเสือดำก็เริ่มนึกปวดศีรษะขึ้นมา “ยังดีที่แค่เลียนแบบ แก่นแท้ของวิธีหายใจแกได้เรียนไปแล้ว แต่เหมือนว่าฐานวิชาห้าปาณภูตแกจะไม่ได้รู้ถึงแก่นแท้อะไร…”
วิธีการหายใจขึ้นอยู่กับจังหวะการหายใจ ขึ้นอยู่กับการปรับประสานจังหวะหายใจเข้ากับการหายใจของรูขุมขน เจ้าสุนัขนี่กลับเลียนแบบท่าทางได้คล้ายเสียเหลือเกิน
ฐานวิชาห้าปาณภูตที่ว่าก็คือท่านอนหงายเมื่อครู่ ทว่ามันกลับไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็น เพราะต้องประสานร่วมกับวิชาเฉพาะทางซึ่งเจ้าเสือดำไม่ได้เรียนรู้ตรงส่วนนี้ด้วย
ยิ่งกว่านั้นมนุษย์กับสุนัขต่างกัน เรียนไปเจ้าหมอนี่ก็ใช่ว่าจะได้ใช้ประโยชน์สักหน่อย
“วิชาหายใจถูกลอกเลียนแบบไปแล้ว ฉันประมาทเอง!”
ในสถานการณ์ทั่วไปต่อให้เขาฝึกวิชาหายใจก็จะไม่ลืมตัว และยิ่งจะไม่ฝึกต่อหน้าคนอื่นด้วยซ้ำ หากฝึกวิชาหายใจครบกระบวนท่าแล้วเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาเพียงเล็กน้อย วิชาหายใจที่ทำมาทั้งหมดก็จะไร้ประโยชน์ไปทันที
แต่ตรงหน้ามีแค่สุนัขอยู่ตัวหนึ่งเท่านั้น หลี่ฮ่าวจะสนใจมากไปทำไม ทั้งยังหายใจเข้าออกหนักหน่วงกระทั่งถูกเจ้าเสือดำเห็นหมดทุกอย่าง
เจ้าเสือดำตรงปลายเท้าเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง มันแหงนหน้ามองหลี่ฮ่าวซึ่งแววตาของมันออกเชิงประจบสอพลออยู่ด้วย
หลี่ฮ่าวขมวดคิ้วพูดเสียงนิ่ง “ฉันรู้ว่าแกฟังออก หลังจากนี้ไปแกห้ามใช้วิชานี้เด็ดขาดยกเว้นว่าฉันอยู่ด้วยเท่านั้น! แล้วก็…ถ้ามีเวลา ฉันต้องไปหาอาจารย์สักหน่อย…ดูว่าอาจารย์จะยอมรับลูกศิษย์เป็นสุนัขไหม…”
ว่าแล้วหลี่ฮ่าวก็หลุดขำออกมาทันที
เหมือนกำลังด่าตัวเองอยู่เลย!
“ช่างเถอะ ถือซะว่าฉันไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน”
เดิมทีคิดจะแอบหยอกเย้าอาจารย์สักหน่อย พอคิดอีกทีอย่าเลยดีกว่า อาจารย์เป็นคนชอบออกนอกกรอบ หากบอกว่าสุนัขตัวนี้เป็นศิษย์เขาจริงๆ วันหลังออกไปไหนก็คงแนะนำว่า ‘นี่คือนักศึกษาของผมหลี่ฮ่าว ส่วนนี่เจ้าหมาดำเป็นนักศึกษาของผมเช่นกัน…’
ถึงเวลานั้นตนคงอายแทบแทรกแผ่นดินหนีแน่นอน!
ส่วนเจ้าเสือดำดูงงๆ เล็กน้อย มันแค่จับจ้องหลี่ฮ่าว ครั้นเห็นว่าเขาหัวเราะ แต่เจ้าเสือดำก็พลอยส่ายหางไปมาอย่างมีความสุขตามไปด้วย
สุนัขรู้ภาษามนุษย์ รู้ว่าหลี่ฮ่าวทุกข์สุขหรือเศร้า ความจริงก็แอบน่ากลัวอยู่บ้าง
หลี่ฮ่าวหัวเราะ เท่ากับว่าไม่เป็นไรแล้ว
หลี่ฮ่าวไม่ได้คิดหนักถึงเรื่องนี้อีก เรื่องนี้ไว้มีเวลาค่อยรายงานให้อาจารย์ทราบก็พอ จากนิสัยของอาจารย์อาจจะรู้สึกฉงนอยู่บ้างแต่คงไม่สนใจว่าสุนัขตัวหนึ่งจะเรียนวิชาหายใจของเขาไปหรือเปล่าหรอก
จากนั้นหลี่ฮ่าวก็ไม่สนใจเจ้าเสือดำอีกแต่เอาจี้หยกตรงหน้าอกออกนอกเสื้อ กวาดตามองอยู่ครู่หนึ่งพร้อมแววตาประกายวาววับ
“พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติ!”
ในจี้หยกกระบี่เหมือนจะมีพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติอยู่ไม่น้อย
แน่นอนว่าสำหรับคนอื่นบางทีพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติอาจไม่สำคัญ พวกเขาสนใจตัวจี้หยกกระบี่มากกว่า
ตามที่อาจารย์บอกวัตถุเหนือธรรมชาติมีพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติอยู่อย่างจำกัด บางส่วนอาจมีอยู่เพียงน้อยนิด อาจจะใช้ได้เพียงครั้งสองครั้งพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติก็ถูกใช้หมดแล้ว
หลิวหลงไม่สนใจเรื่องนี้เท่าไร บางทีอาจจะเพราะรู้อยู่แล้ว
บางทีเขาอาจจะคิดว่าพวกวัตถุเหนือธรรมชาติเหล่านี้มีพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติน้อยไป ไม่ก่อให้เกิดผลอะไรมากเท่าไร อีกทั้งวัตถุหนือธรรมชาติที่เป็นมรดกสืบทอด เขาใช่ว่าจะใช้งานมันได้เลยไม่สนใจ
บางทีหลี่ฮ่าวอาจจะกังวลมากไป เดิมทีเขายังมีการคาดเดาบางอย่างว่าหลิวหลงแอบวางแผนอะไรอยู่หรือเปล่า แต่เท่าที่ดูตอนนี้ก็ไม่แน่เสมอไป
“พวกเขาไม่สนใจ แต่เราสนใจ!”
หลี่ฮ่าวเอ่ยเสียงพึมพำ อาจารย์คิดว่ามันน้อยเกินไปไม่มีประโยชน์ต่อเขา
หลิวหลงเองก็เป็นผู้แข็งแกร่งบรรลุถึงขั้นทะลวงร้อยแล้วเลยคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไร
แต่เขาหลี่ฮ่าวเป็นเพียงไก่อ่อนที่ไม่ถึงระดับสิบสังหารด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติน้อยนิดก็พอให้เขาพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดแล้ว
“ความเร็ว พลัง ศักยภาพร่างกายดีกว่าแต่ก่อนเป็นเท่าตัว!”
“ถ้าประลองตอนนี้ ฉันจะอยู่ในระดับไหนนะ”
สิบสังหาร คาดว่าคงยังไปไม่ถึง
ไม่เร็วขนาดนั้นหรอก!
หนำซ้ำลองเทียบกับเฉินเจียนที่เพิ่งประลองกับตนมาก่อนหน้านี้ หลี่ฮ่าวคิดว่าตอนนี้อาจจะพอแค่หลบฝ่ามือของอีกฝ่ายได้ แต่ถ้าจะให้สู้กับเฉินเจียนอย่างสูสีนั่นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ส่วนเฉินเจียนอยู่ในระดับสิบสังหารแล้ว
ส่วนสิบสังหาร จะเป็นสิบสังหารหรือเก้าสังหารก็พูดยากละ
เท่าที่หลี่ฮ่าวเข้าใจ ระดับสิบสังหารถึงทะลวงร้อย ระยะห่างตรงกลางนี้ความจริงค่อนข้างมากเลยทีเดียว
ทั้งทีมล่าปีศาจนอกจากหลิวหลง ดูเหมือนอีกสี่คนที่เหลือยังอยู่ขั้นสิบสังหาร แต่คนพวกนี้มีทั้งคนที่แข็งแกร่งและอ่อนปะปนกันไป ภายนอกดูเหมือนหลิวเยี่ยนจะแข็งแกร่งมากที่สุด ทว่าหลิวเยี่ยนกลับบอกว่าอย่าไปมีเรื่องกับคุณหมออวิ๋นเหยาเสียอย่างนั้น
“เกรงว่าเราคงยังถึงระดับสิบสังหาร ยังต้องพัฒนาอีกมาก อย่างน้อยจุดนี้…มันก็ช่วยปกป้องชีวิตได้…”
ในวิกฤตครั้งต่อๆ ไปต้องปกป้องรักษาชีวิตอันน้อยๆ ของตนให้ได้
เงาโลหิต ไม่ได้หาเรื่องด้วยได้ง่ายๆ เลย
“ฝึกต่อดีกว่า!”
ครั้งนี้หลี่ฮ่าวไม่ได้ใช้วิชาคายรับอีก พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติในร่างกายยังพอมีเหลืออยู่บ้าง เขาในตอนนี้รู้สึกมีพลังเต็มเปี่ยมซึ่งมากพอให้เขาฝึกวิชาห้าปาณภูตต่อแล้ว
ต้องใช้เวลาทุกวินาทีให้คุ้มค่า!
ในเมื่อพัฒนาได้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเกียจคร้าน
……
ในเวลาเดียวกัน
หมู่บ้านฉีหมิง ตึกหมายเลขห้า ตึกหก
หลิวหลงกอดอกยืนอยู่ริมระเบียงหันหน้ามองไปยังตึกหก หนึ่งในห้องของชั้นสามหน้าต่างปิดตาย ม่านถูกดึงปิดสนิท แต่ก็พอจะเห็นว่ามีคนกำลังกระโดดไปมาอยู่ลางๆ
นั่นเป็นห้องของหลี่ฮ่าวนั่นเอง
ข้างกายหลิวหลงมีอู๋เชาร่างผอมแห้งตัวสูงโปร่งยืนมองอยู่เช่นกัน ดูอยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าเบาๆ “ฟ้ายังไม่ทันมืดเจ้าหมอนี่ก็ปิดผ้าม่านแล้ว ดูระแวดระวังอยู่เหมือนกัน เกรงว่าเขาคงสงสัยว่าคดีของจางหย่วนเป็นคดีฆาตกรรมตั้งแต่แรกแล้ว”
พูดแล้วก็มองไปทางหลิวหลงแล้วถาม “ลูกพี่ เราจะจ้องอยู่แบบนี้เหรอ มีคนจะมาเหรอ”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
หลิวหลงตอบเสียงเรียบ “ดูเงียบๆ แบบนี้ไปก่อน!”
อู๋เชาก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกแล้วละสายตามองไปที่อื่น เขาเพียงกวาดมองหนึ่งรอบก็พูดเสียงเบาว่า “ลูกพี่ จุดที่เรายืนอยู่เฝ้าสังเกตได้ดีที่สุด! แต่เมื่อกี้ผมลองตรวจสอบดูแล้ว ไม่มีคนแปลกหน้ามาที่ตึกห้าเลยนะ”
พูดจบก็พูดต่อว่า “ไม่มีคนจับตาดูหรอกมั้ง หรืออาจจะจับตาดูหลี่ฮ่าวผ่านวิธีที่เหนือธรรมชาติก็ได้”
การสะกดรอยตาม ใช่ว่าจำเป็นต้องสะกดรอยตามด้วยตัวเองเสมอไปสักหน่อย
อย่างเช่นวิธีการของพลังเหนือธรรมชาติบางวิธีก็สามารถสะกดรอยตามคนได้อย่างเงียบๆ เช่นกัน เพียงแต่การที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจะจับตาดูคนทั่วไปนั้นมีให้เห็นน้อยมาก
หลิวหลงไม่ได้ปฏิเสธ และคิดว่าตอนนี้ไม่น่ามีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติสะกดรอยตามอยู่
ความเป็นไปได้มากกว่านั้นคืออีกฝ่ายแค่ลอบสังเกตอยู่ในที่ลับ หากยังไม่ถึงเวลาอีกฝ่ายก็คงรอต่อไป บางทีคงเป็นอย่างที่หลี่ฮ่าวบอก พวกนั้นคงมาเมื่อถึงคืนวันฝนตก
หลี่ฮ่าวอยู่นี่ ไม่หนีไปไหน
ถ้าจะหนีคงหนีไปนานแล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สะกดรอยตามหรือไม่นั้นกลับไม่สำคัญอีกต่อไป
ครุ่นคิดอยู่เพียงครู่ หลิวหลงก็ไม่พูดเรื่องนี้ต่อแต่กลับเอ่ยเสียงเบาว่า “ในทีมยังมีพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติอยู่เท่าไร”
อู๋เชาคิดๆ แล้วขานตอบ “สิบสองลูกบาศก์ สิบลูกบาศก์มีพลังธาตุ อีกสองลูกบาศก์ไม่มีพลังธาตุ”
หลิวหลงเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ผ่านไปสักพักถึงตอบว่า “พรุ่งนี้หลี่ฮ่าวไปที่กองตรวจการณ์ก็ให้เขามาพบฉันด้วย! สองลูกบาศก์ที่ไร้พลังธาตุดึงพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติออกมาสักหน่อยไว้ให้เขาลองดูดซับดู”
อู๋เชาไม่ได้ตกใจนัก เพียงแค่รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย “ลูกพี่ เรามีเหลือไม่มากแล้ว! อีกอย่างอันที่ไร้พลังธาตุควรหวงแหนไว้มากกว่า…หรือว่าเอาอันที่มีพลังธาตุให้เขาลองดูดีไหม”
พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติที่มีธาตุจะปะปนไปด้วยพลังพิเศษอื่นๆ เช่นไฟ สายฟ้าหรืออะไรก็ตาม ใช่ว่าจะเหมาะกับใครก็ได้เสมอไป
แน่นอนว่าหากเจอผู้ที่เหมาะสม หรือเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ฝึกพลังธาตุประเภทนั้นๆ มาโดยเฉพาะ หากใช้ที่มีพลังธาตุจะดีกว่า
แบบนี้จึงได้ผลเฉพาะบุคคลเท่านั้น!
…………………………………………………………….