ตอนที่ 32 ปิดจบการต่อสู้ครั้งแรก (4)
หลี่ฮ่าวคิดๆ แล้วก็ปริปากตอบ “ไม่ได้รู้สึกผิดครับ เพราะผมรู้ว่าพวกเขาคือคนไม่ดีตั้งแต่แรก เป็นคนไม่ดีที่คิดจะเอาชีวิตผมไป! ส่วนความรู้สึกละอายใจ…ความรู้สึกอย่างที่คุณบอกก็มีอยู่นิดหน่อย! แต่…มันไม่เกี่ยวกับคำถามที่ผมถามหรือเปล่าครับ”
หลี่ฮ่าวรู้สึกขุ่นเคืองใจหน่อยๆ
เขารู้สึกละอายใจบ้างก็จริง แต่สายตาของพวกคุณคืออะไรกัน มองผมแบบนี้ทำไม
คนพวกนี้ประสบการณ์โชกโชนกันมากแล้วยังต้องทำหน้าแบบนี้อีกหรือ
พวกหลิวหลงไม่พูดอะไร พวกเขาไม่ได้คิดว่าไม่เหมาะสมตรงไหน เพียงแต่รู้สึกว่าหลี่ฮ่าวเกิดมาเพื่อเป็นนักสู้อย่างแท้จริง บางที…อาจจะมีนิสัยเลือดเย็นอยู่บ้าง
หลิวหลงไม่ได้คิดเรื่องพวกนั้นอีก แต่อธิบายข้อสงสัยอย่างจริงจังว่า “กระบวนท่าตะกุยที่คุณบอกว่าทำให้มือเต็มไปด้วยเลือด ในสถานการณ์แบบนี้อย่างแรกคือเช็ดตามเสื้อศัตรูให้สะอาด! อย่างที่สองก็หาโอกาสถูพื้นสักหน่อย พื้นที่มีดินได้จะยิ่งดี! อย่างที่สาม พยายามหลีกเลี่ยงจับตรงเส้นชีพจรใหญ่ ไม่งั้นเลือดจะพุ่งจนเลือดเปื้อนตัวคุณ! อย่างที่สี่ พอตะกุยอีกฝ่ายแล้วตอนชักมือกลับก็แวะเช็ดให้สะอาดหน่อย! อย่างที่ห้า เร็ว เร็วจนเลือดยังไม่ทันพุ่งคุณก็ตะกุยเสร็จแล้ว!”
“…”
คนอื่นๆ มองหลิวหลงด้วยสายตาประหลาดอีกครั้ง
ให้ตาย คนหนึ่งกล้าถาม อีกคนก็กล้าตอบ!
หลิวหลงกลับเสนอวิธีทางแก้ไขให้เขาห้าวิธีในคราวเดียว
ส่วนหลี่ฮ่าวก็ตั้งใจฟัง เขาคิดมาตลอดว่าตนอ่อนหัดเกินไป การเรียนรู้จากปรมาจารย์นักรบผู้อาวุโสเหล่านี้เยอะๆ เป็นสิ่งจำเป็น อย่างเช่นวิธีที่ห้าที่หลิวหลงเสนอมาก็ดีไม่หยอก
พยายามทำให้เร็วที่สุด!
เร็วถึงขั้นตะกุยแล้วรีบชักมือกลับตั้งแต่ตอนที่เลือดอีกฝ่ายยังไม่ทันพุ่งออกมาก็จบ!
เร็วถึงขั้นที่ไม่จำเป็นต้องกังวลปัญหาเหล่านี้อีก
พอคิดได้ หลี่ฮ่าวก็มองด้วยสายตาชื่นชม
หัวหน้าทีมมากประสบการณ์กว่าจริงๆ!
มิน่า…คนอื่นๆ ถึงไม่ใช่ทะลวงร้อย แต่ละคนมองด้วยสายตาอะไรไม่รู้ แถมไม่ช่วยไขข้อข้องใจให้ตนสักที หัวหน้าทีมความสามารถแกร่งที่สุดก็สมควรแล้ว
หลิวหลงเองก็ร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก
เขาไม่ได้พูดอะไรอีก เจ้าหลี่ฮ่าวเป็นต้นกล้าที่ดีจริงๆ หากเป็นเมื่อก่อนปรมาจารย์นักรบอาวุโสจะรับลูกศิษย์แบบนี้ไว้เพื่อเลี้ยงตอนแก่
ปรมาจารย์นักรบแก่ตัวลง สู้ไม่ไหวแล้ว ยามศัตรูมาเยือนถึงที่ก็ต้องการมือปราบใจเหี้ยมอย่างหลี่ฮ่าว
ลงมือเด็ดขาดโหดเหี้ยมและดุดัน แต่เขาดันคิดว่าตัวเองไม่มีปัญหา
ศิษย์คนสุดท้าย!
วินาทีนี้หลิวหลงพอจะเข้าใจว่าหยวนซั่วสอนอย่างไรแล้ว เมื่อสองปีก่อนเจ้านั่นถ่ายทอดวิชาแก่ศิษย์ สอนหลี่ฮ่าวในฐานะศิษย์คนสุดท้าย จึงเป็นผลให้แฝงด้วยทัศนคติของหยวนซั่วมากมายโดยไม่รู้ตัว
จุดกำเนิดวิชานักรบของหลี่ฮ่าวล้วนอยู่ภายใต้การสอนของหยวนซั่ว
ดังนั้นพอเจ้าหมอนี่โตขึ้นจึงได้หยวนซั่วมาไม่น้อย
ตาแก่หยวนซั่วนั่นลงมือโหดเหลือเกิน!
ไม่อย่างนั้นคงไม่ผูกศัตรูไว้มากมายขนาดนี้
“ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ไต่สวนสองคนนี้ก่อนแล้วกัน…อวิ๋นเหยา ไปช่วยห้ามเลือด อย่าให้ตายจริงล่ะ ถึงจะเป็นแค่ตัวละครบทเล็กๆ ใช่ว่าจะรู้อะไรมาก แต่บางทีอาจจะได้ข้อมูลใหม่มาก็ได้!”
หลิวหลงพูดย้ำประโยคหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าตอนนี้คงยากจะไต่สวน คงต้องรอให้ทั้งสองฟื้นมาก่อน
ส่วนหลี่ฮ่าวในตอนนี้ก้มเก็บธงผ้าไหมบนพื้น นี่เป็นธงที่พวกเขาทั้งสองเพิ่งเอามาให้เมื่อครู่ มันร่วงตกพื้นตั้งแต่ตอนเริ่มประชันกัน
หลิวเยี่ยนเห็นดังนั้นก็ปริปากถามว่า “จะเอาไอ้นั่นไปทำไมอีก”
“เอาออกไปแขวนไว้ไง!”
หลี่ฮ่าวหัวเราะคิกคัก “พี่ นี่ผมเพิ่งเคยได้ธงผ้าไหมครั้งแรกเลยนะ! มีความหมายดีออก! อีกอย่าง พวกเขาสองคนเอามาให้อย่างเปิดเผย ผมไม่เอาออกไปแขวนคงดูไม่ดี เดี๋ยวผมจะบอกว่าพวกเขากลับไปจากประตูด้านหลัง ผมเอาธงไปแขวนนะ!”
เกิดความเงียบขึ้นมาในฉับพลัน
อวิ๋นเหยาที่กำลังช่วยห้ามเลือด ครั้นเห็นโจวเฮ่อเบิกตากว้างทำท่าหายใจถี่หอบจนแทบหายใจไม่ทัน พลันในใจก็สบถด่าคำหนึ่งว่า สัตว์เดรัจฉาน!
หลี่ฮ่าวมันสัตว์เดรัจฉาน!
เวลานี้เขายังคิดจะออกไปแขวนธงผ้าไหม ถ้าเปลี่ยนตนเป็นผู้ชายคนนี้คงโมโหจนตายไปแล้ว!
ส่วนหลี่ฮ่าวที่ไม่รู้ทันความคิดคนอื่นกลับไม่ได้สนใจอะไร
เขาถือธงผ้าไหมอย่างชอบใจ ยิ่งมองก็ยิ่งพึงพอใจ
“มีน้ำใจชอบช่วยเหลือผู้อื่น ใจกว้างโอบอ้อมอารี”
มอบแด่ ‘ผู้ตรวจการณ์หลี่ฮ่าวจากกองตรวจการณ์’
หลี่ฮ่าวมองแวบหนึ่ง ยิ่งดูก็ยิ่งสวย เขียนได้ไม่เลวเลยจริงๆ
ใจกว้างโอบอ้อมอารี!
“ลูกพี่ งั้นผมเอาธงผ้าไหมกลับห้องเก็บแฟ้มคดีก่อนนะ รอผมย้ายมาจากห้องเก็บแฟ้มคดีค่อยเอาธงผ้าไหมมาด้วย…”
ชีวิตนี้เพิ่งเคยได้รับธงผ้าไหมแบบนี้เป็นครั้งแรก หลี่ฮ่าวรู้สึกปลาบปลื้มใจจนทำใจทิ้งไม่ลงจริงๆ
เอากลับไปห้องเก็บแฟ้มคดีก่อนแล้วค่อยเอากลับมาใหม่!
“พวกคุณค่อยๆ ไต่สวนไปนะ ผมไปก่อนล่ะ!”
หลี่ฮ่าวพูดจบก็ถือธงผ้าไหมฮัมเพลงในลำคอจากไปอย่างมีความสุข เวลานี้เหมือนผู้ตรวจการณ์มือใหม่เพิ่งได้รับธงผ้าไหมชื่นชมจากประชาชนจริงๆ ความรู้สึกภาคภูมิใจ ความรู้สึกปิติยินดีนั้น!
ในห้องชั้นใต้ดิน แต่ละคนต่างหันมองหน้ากัน…และไร้ซึ่งเสียงสนทนาใดในชั่วขณะ
ผ่านไปพักใหญ่อู๋เชาจึงถามเสียงเรียบว่า “พี่ๆ เจ้าหมอนี่…มัน…ดูโรคจิตแปลกๆ หรือเปล่า…”
นายต้องรู้นะว่าธงผ้าไหมที่นายเอาไป ใครเป็นคนเอามาให้!
แล้วคนที่เอาธงผ้าไหมมาให้ ตอนนี้อยู่ในสภาพใด!
ให้ตายเถอะ นายยังมีหน้าเอาธงผ้าไหมกลับไป แล้วยังจะเอามันแขวนไว้อย่างโจ่งแจ้งอีกต่างหาก!
หน็อยแน่!
หมดคำจะพูดจริงๆ และนับถือหัวใจอันแข็งแกร่งของหลี่ฮ่าวอย่างสุดซึ้ง นี่..ตอนนายแขวน ไม่รู้สึกว่าธงสีแดงจัดจ้านนั่นเหมือนเพิ่งถูกย้อมด้วยเลือดมาก่อนบ้างเหรอ
หลิวหลงทำท่าอึกอักเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็เงียบไป
ผ่านพักใหญ่ถึงตอบเสียงนิ่งว่า “ตามใจเขาเถอะ!”
แล้วจะพูดอะไรได้อีก
ในเมื่อไม่มีอะไรจะพูด!
แน่นอนว่าการต่อสู้ในวันนี้ หลิวหลงรู้อย่างหนึ่งว่าสมาชิกทีมคนอื่นๆ ต่างยอมรับในตัวหลี่ฮ่าวแล้ว
ไม่ใช่เหยื่อล่อที่เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับใช้แล้วทิ้ง หรือเป็นตัวประกอบที่คอยเป็นตัวถ่วงคนอื่นในสายตาทุกคนอีกต่อไป…
ความจริงก่อนหน้านี้ไม่ว่าใคร รวมถึงเขาหลิวหลง ต่างก็คิดเช่นนี้เหมือนกันหมด
แต่ฉากการต่อสู้ของหลี่ฮ่าวเมื่อครู่ทำเอาทุกคนรู้ซึ้งถึงบางอย่าง เจ้าหมอนี่…ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ด้วย ถ้าเขามีชีวิตรอดต่อไปได้ รับรองว่าอนาคตจะน่ากลัวยิ่งกว่าหลิวหลงเสียอีก
ตอนนี้สมาชิกทีมล่าปีศาจคนอื่นๆ ถึงเห็นว่าหลี่เป็นเพื่อนร่วมทีมอีกคนบ้างแล้ว
และทุกอย่างนี้ หลี่ฮ่าวไม่มีทางรู้ด้วย
……………………………………………………………………..