ตอนที่ 34 ฝึกฝนปราณพลัง บุกจู่โจมท่ามกลางความมืด (1)
ตกดึก
ณ หมู่บ้านฉี่หมิง
ในบ้าน
หลี่ฮ่าวเปิดตำรา ‘เก้าหลอมแรงปราณ’ ส่วนเจ้าเสือดำนั่งเลียนแบบท่าคนอยู่บนโซฟาพลางชะโงกหัวอ่านหนังสืออยู่อีกด้าน
หลี่ฮ่าวไม่ได้ผลักมันออกไป บัดนี้เขาเริ่มไม่เชื่อแล้ว สุนัขตัวหนึ่งฟังภาษาคนออกยังพอว่า แต่แกรู้จักตัวอักษรด้วยเหรอ
ถ้าเจ้าเสือดำรู้จักกระทั่งตัวอักษร หลี่ฮ่าวเรียกมันว่าอาจารย์ยังได้เลย!
“พอเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์นักรบสิบสังหารก็จะมีกำลังภายในพวยพุ่งออกมา เสียงกระดูกดังลั่น…ความแข็งแกร่งมีจำกัดและแบ่งกระจายไปตามทุกส่วนของร่างกาย อยู่ในขอบเขตปรมาจารย์นักรบแต่ความต่างของความแข็งแกร่งจะค่อน…”
หนังสือเล่มนี้เป็นฝีมือการเขียนของพ่อหลิวหลง แต่มิใช่ฉบับดั้งเดิมแต่อย่างใด
ความจริงจากในตำราก็ทำให้รู้ว่าตอนนั้นหลิวฮ่าวพ่อของหลิวหลงก้าวไปเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงร้อยระดับสุดยอดแล้ว นับว่าเป็นปรมาจารย์นักรบที่สุดยอดมากคนหนึ่ง หยวนซั่วบอกว่าพออีกฝ่ายเจอเขาก็เห็นเขาเหมือนลูกเหมือนหลานแล้ว…เป็นไปได้ว่าคงโม้มากกว่าละมั้ง
ปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยระดับสุดยอดคนหนึ่ง ความจริงพละกำลังสูสีกับหยวนซั่นในตอนนั้นเลยด้วยซ้ำ
อีกอย่างคนอย่างหลิวฮ่าวถนัดการบุกจู่โจมมากที่สุด
ทวน ราชาแห่งร้อยทหาร!
ส่วนมากปรมาจารย์นักรบที่ใช้ทวนจะบุกใส่แต่ไม่ป้องกันตัว พุ่งใส่ท่าเดียวอยู่แล้ว
หลิวฮ่าวอาศัยตำราเก้าหลอมแรงปราณปลดปล่อยทวนปราณพลังเก้าชั้น นับว่าผงาดขึ้นมาเป็นใหญ่ในขอบเขตปรมาจารย์นักรบในมณฑลหยินเยวี่ย ฉายานามก็คือหลิวฮ่าวมือทวนแห่งมณฑลหยินเยวี่ย หนึ่งในสามราชาทวนของมณฑลหยินเยวี่ย
ความจริงตอนนั้นมีปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยอยู่ไม่น้อย แต่หลิวฮ่าวผงาดขึ้นมาเป็นใหญ่ได้ย่อมฝีมือไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
และตัวการสำคัญก็คือ ‘ตำราเก้าหลอมแรงปราณ’ เล่มนี้แหละ
กล่าวถึงพลังในระดับเดียวกับทวนปราณพลังเก้าชั้นของหลิวฮ่าว ถึงแม้พลังด้านอื่นๆ จะไม่ได้ดีครบทุกด้าน แต่พลังบุกสังหารขึ้นแท่นลำดับหนึ่งในบรรดาสามราชาทวนในตอนนั้นเลยก็ว่าได้!
เพียงแต่ถึงจุดเด่นของหลิวฮ่าวจะแข็งแกร่งมาก แต่จุดด้อยก็เห็นได้อย่างชัดเจนเช่นกัน เรื่องความเร็วไม่ได้เรื่อง ร่างกายก็แย่…ความแข็งแกร่งของปราณพลังเก้าชั้นทำร้ายร่างกายมากเกินไป ดังนั้นหลิวฮ่าวที่กำลังย่างก้าวสู่วัยกลางคนจึงเสียแขนไปทั้งสองข้าง
นี่จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่หลิวฮ่าวพาหลิวหลงไปขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับหยวนซั่วในช่วงวัยเด็ก
ถึงแม้ทวนของตระกูลหลิวจะขึ้นชื่อไม่เบา แต่หลิวฮ่าวรู้ว่าตำราเก้าหลอมแรงปราณเล่มนี้ทำร้ายร่างกายมนุษย์มากเกินไป แม้แต่ปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยทั่วไปอายุ 70 ปีกลับยังรบราฆ่าฟันได้อยู่ ทว่าบุรุษแซ่หลิวผู้นี้ หลังจากอายุครบ 40 ปีก็ความเร็วลดฮวบ กระทั่งพิการจนใช้งานร่างกายไม่ได้อีก
หากไม่ใช่เพราะหลิวหลงดูดซับพลังลี้ลับเข้าไปจนร่างกายแข็งแกร่งขึ้นมาก ด้วยอายุของเขาแล้ว รวมถึงเขาผ่านการต่อสู้มาตลอด ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้
“เก้าพลังซ้อน!”
หลี่ฮ่าวหดหู่ใจอยู่บ้าง เขาไม่ค่อยรับรู้ถึงความล้ำค่าของเคล็ดวิชานี้เลย แต่เขารู้ว่าหลังจากปล่อยเก้าพลังซ้อนออกไปจะสุดยอดมากแค่ไหน
ใช่ว่าพลังของเก้าหลอมแรงปราณนี้จะพึ่งพาสิ่งใดไขว่คว้ามันมาได้
สิ่งสำคัญขึ้นอยู่กับการใช้พลัง รวบรวมพลังภายในร่างกายส่วนอื่นๆ มาไว้ที่แขน พลังซ้อนเป็นชั้นๆ ไม่เพียงแต่ทดสอบการควบคุมพลังในร่างกายของตน แต่ยังทดสอบความทนทานและระดับความแข็งแกร่งของทั้งสองแขนด้วย
“สิบสังหารซ้อนสามคือขีดจำกัดสูงสุดแล้วเหรอ”
ตามที่ตำราได้กล่าวไว้ว่าภายใต้ขอบเขตสิบสังหาร สามครั้งซ้อนคือขีดจำกัดสูงสุดแล้ว มิเช่นนั้นแขนทั้งสองข้างจะแตกหักได้ง่าย อีกทั้งยังทิ้งรอยแผลที่ไม่มีวันหายไว้ด้วย
หากเป็นทะลวงร้อยละก็ ทางที่ดีไม่ควรปล่อยพลังซ้อนเกินหกครั้ง
ตอนนั้นหลิวฮ่าวเจอศัตรูตัวฉกาจ เขาปล่อยกระบวนท่าเก้าพลังซ้อนไปครั้งหนึ่ง ถึงแม้จะสังหารศัตรูตัวฉกาจนั้นตาย แต่ครู่เดียวก็บาดเจ็บไปถึงส่วนสำคัญของร่างกาย เพราะเหมือนแขนทั้งสองข้างจะใช้การไม่ได้อีกต่อไป ไม่นานเขาก็ออกจากวงการต่อสู้ หนึ่งในสุดยอดมือทวนแห่งมณฑลหยินเยวี่ยก็วางทวนลงแต่เพียงเท่านั้น จากนั้นไม่กี่ปีก็จากโลกนี้ไป
“ข้อดีของตำรา ‘เก้าหลอมแรงปราณ’ มีให้เห็นอย่างชัดเจน แต่ข้อเสียก็มีให้เห็นอย่างชัดเจนเหมือนกัน…หากปล่อยพลังซ้อนออกไป เหมือนว่าจะทำได้แค่ยืนตรงจุดเดิมห้ามขยับ ทันทีที่ขยับ พลังก็จะกระจายตัว…”
นี่คือข้อเสีย!
และเป็นข้อเสียมากที่สุดของตำรา ‘เก้าหลวมแรงปราณ’ ด้วย!
หลังจากงัดพลังทั่วทั้งร่างกายออกมา คุณก็จะขยับเคลื่อนไหวมากไม่ได้ มิเช่นนั้นพลังก็จะกระจายตัวออก และมีความเป็นไปได้ว่าจะย้อนกลับมาทำร้ายร่างกายตัวเองด้วย
ดังนั้น ‘เก้าหลอมแรงปราณ’ จึงมีชื่อเสียงมาก แต่นักรบคนเก่าๆ บางส่วนก็รู้ปัญหารุนแรงของเจ้านี่ดีมากเช่นกัน
“นอกเสียจากพื้นฐานร่างกายจะแข็งแกร่งจนไม่สนใจพลังที่งัดออกมา…”
นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่หลิวหลงถ่ายทอดวิชาให้หลี่ฮ่าวละมั้ง
เพราะพื้นฐานร่างกายของหลี่ฮ่าวเหมือนจะดีไม่หยอก ตอนที่ยังไม่เข้าสิบสังหาร เขาก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของร่างกายแล้ว
หลังจากเปลี่ยนเลือดครั้งก่อน พื้นฐานร่างกายก็ยิ่งแข็งแกร่งมากกว่าเดิม
หากหลี่ฮ่าวในตอนนี้ฝึกฝน ‘เก้าหลอมแรงปราณ’ ซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่าจะเลี่ยงข้อเสียที่ห้ามขยับเคลื่อนไหวตัว เพราะถึงแม้จะขยับ บางทีหลี่ฮ่าวก็อาจจะรักษาการปล่อยพลังซ้อนต่อไปได้
อีกอย่างโอกาสที่พลังจะย้อนกลับมาทำร้ายตนเองก็จะลดฮวบ
หลี่ฮ่าวอ่านอยู่ครู่หนึ่ง นอกจากบรรยายและวิธีการปล่อยกระบวนท่าแล้ว สิ่งสำคัญของตำรา ‘เก้าหลอมแรงปราณ’ นี้ก็ขึ้นอยู่กับวิธีการปรับลมหายใจที่มีความพิเศษ
ใช่แล้ว เคล็ดวิชาลับทุกตำรามักมาควบคู่กับวิธีการหายใจที่มีความพิเศษอยู่ร่ำไป
วิธีการหายใจถึงจะเป็นหัวใจสำคัญของเคล็ดวิชาลับที่แตกต่างกันไป
เพราะเคล็ดวิชาลับที่ต่างกัน ปล่อยกระบวนท่าต่างกัน และปล่อยพลังต่างกันด้วย
หากหลี่ฮ่าวใช้ ‘วิชาคายรับห้าปาณภูต’ มาฝึกฝนกับ ‘เก้าหลอมแรงปราณ’ อาจมีความเป็นไปได้มากว่าจะเกิดสถานการณ์พลังอัดทรวงอก กระทั่งพลังย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง
ดังนั้นตัวของเคล็ดวิชาลับเองไม่ถือว่าสำคัญเท่าไรนัก แต่วิธีการหายใจที่ต้องใช้ควบคู่กลับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ครั้งนี้แม้แต่วิธีการหายใจ หลิวหลงก็ยังเขียนยัดใส่เข้าไปในนี้ด้วย
เพราะเห็นเป็นกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่โดดๆ ถูกแนบเอาไว้อยู่ในหนังสือที่ออกสีเหลืองเล่มนั่น
……
หลี่ฮ่าวใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงกว่าเพื่อจดจำตัวอักษรสามพันตัวสั้นๆ แต่ละตัวอย่างเสร็จสรรพ จากนั้นถึงเริ่มลองฝึกฝนดู
เขาเริ่มปรับการหายใจก่อนใช้วิธีการหายใจของ ‘เก้าหลอมแรงปราณ’
จังหวะการหายใจแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
เจ้าเสือดำที่อยู่ด้านข้างจ้องแน่นิ่งตาไม่กะพริบ
หลี่ฮ่าวหันไปมองมันแวบหนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา
เจ้าสุนัขตัวนี้แอบเรียนตามอีกแล้ว!
“แกทำได้แค่รับรู้จังหวะการหายใจและจุดที่ต่างกันของอวัยวะภายในที่สัมผัสไม่ถึง…เรียนคร่าวๆ ได้ แต่ห้ามเรียนทั้งหมด! แต่แกก็เป็นแค่หมาตัวหนึ่ง…แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
เจ้าเสื้อดำไม่สนใจแล้วเรียนตามหลี่ฮ่าวต่อไป
การหายใจค่อยๆ เป็นไปตามจังหวะที่มีความเฉพาะตัว
ไม่ได้ยุ่งยากแต่ช่วงผ่อนลมสั้นยาวแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน ทว่ากลับไม่ได้สร้างความเจ็บปวดใดทั้งสิ้น นับว่าเป็นจังหวะการหายใจเฉพาะตัวที่ลื่นไหลมากพอสมควร
เพราะเจ้าเสือดำอยากเรียน หลี่ฮ่าวเลยไม่ได้จงใจลดเสียงลมหายใจลงแต่อย่างใด
มิเช่นนั้นหากเปล่งเสียงลมหายใจบางเบา คนนอกก็ยากจะสังเกตเห็นอะไรได้
หลังจากปรับลมหายใจไปรอบหนึ่ง เวลานี้หลี่ฮ่าวก็สัมผัสได้ถึงพลังในร่างกายแล้ว หรือจะกล่าวได้ว่ากำลังภายในนั่นเอง
ซึ่งไม่เหมือนพลังลี้ลับเลย!
กำลังภายในมีความพิเศษมากและแฝงพลังลี้ลับอยู่ด้วย เขารู้สึกว่ามีพลังมาจากภายนอก แต่ไม่ใช่ความรู้สึกแปลกแยกที่เกิดขึ้นจากร่างกายของตน
ส่วนกำลังภายใน กลับทำให้มองเห็นพื้นฐานร่างกายได้จากภายนอกจริงๆ เขารู้สึกว่าพลังถูกสร้างออกมาจากร่างกาย
พลังนี้มาจากเลือด กล้ามเนื้อ เซลล์ร่างกาย กระดูก ราวกับทั่วทั้งร่างกายกำลังสร้างพลังเบาบางดั่งพลังชีวิตขึ้นมา สุขภาพที่แข็งแรงจะสร้างพลังที่แข็งแกร่งให้คุณ
กำลังภายในไร้รูปร่าง แต่กลับสัมผัสได้อย่างน่าพิศวง
พลังที่เหมือนอากาศไหลเวียนไปตามร่างกาย
หลี่ฮ่าวรวบรวมพลังไว้ที่สองแขน กล้ามเนื้อแขนท่อนบนกระเพื่อมคล้ายมีแมลงไต่ หลี่ฮ่าวเหวี่ยงมือเบาๆ ก็มีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังขึ้นไม่หยุด!
นี่มันเสียงกระดูกลั่นนี่นา!
หากเทียบกับตอนที่เพิ่งเข้าขั้นสิบสังหารเมื่อสองวันก่อน เหมือนว่าหลี่ฮ่าวในเวลานี้จะควบคุมพลังได้มั่นใจและคล่องแคล่วมากกว่า ภายใต้การขยับแขน หลี่ฮ่าวก็ถูกพลังผลักออกไปในเส้นแนวขวางชนเข้ากับเจ้าเสือดำที่นั่งอยู่ด้านข้างจนกระเด็นไปไกลราวห้าหกเมตรแล้วกระแทกกับกำแพงเข้าอย่างจัง
เจ้าเสือดำเผยแววตาที่เต็มไปด้วยความไร้เดียงสาออกมา!
แน่นอนว่าไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด สุนัขตัวนี้ดูดซับพลังหินมีดไปบ้างแล้ว ดังนั้นร่างกายของมันในตอนนี้จึงแข็งแรงกว่าคนปกติทั่วไป กระทั่งไม่ด้อยไปกว่าปรมาจารย์นักรบขอบเขตสิบสังหารเลย
เพียงแต่พอร่างกายแข็งแรงบึกบึน เจ้าสุนัขตัวนี้ก็ใช้พลังไม่ค่อยเป็นแล้ว
หลี่ฮ่าวกลับไม่สนใจ เขาลองสัมผัสความรู้สึกของกำลังภายในที่ผุดขึ้นมาครู่หนึ่ง ไม่นานก็ใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะชา
โต๊ะชาทำจากแผ่นหินอ่อน ตอนนั้นพ่อของเขาเอาลงมาจากภูเขา แต่หลังจากผ่านไปหลายปีก็ปริแตกเป็นรอยร้าวนับไม่ถ้วน
เวลานี้หลี่ฮ่าวเพียงใช้ฝ่ามือตบลงไปเบาๆ แต่โต๊ะชาที่ทั้งหนักทั้งหนากลับไม่มีปฏิกิริยาใดเลย
ทว่าพอเวลานี้ปล่อยพลังแรกออกไป หลี่ฮ่าวยังปล่อยพลังไม่ทันหมด กล้ามเนื้อแขนก็กระเพื่อมคล้ายมีแมลงไต่อีกครั้ง พอพลังที่สองถูกปล่อยออกมา แค่ใช้ฝ่ามือกดบนโต๊ะชาเบาๆ โต๊ะชาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาทันที!
…………………………………………………………………