ตอนที่ 49 สาขาย่อยของเมืองหยิน (3)
“พอเรามีตำแหน่งสูง อำนาจก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย หากว่าวันใดวันหนึ่งเกิดรักษาเมืองหยินไม่ได้แล้วจริงๆ พวกเรายังพอจะมีปากมีเสียงอะไรบ้าง แถมยังสามารถย้ายถิ่นฐานออกจากเมืองหยินได้ ดังนั้นลูกพี่ครับ ตำแหน่งเนี่ยไม่เพียงแต่มีประโยชน์เฉยๆ นะ แต่มีประโยชน์มากด้วย! ผมไม่เชื่อหรอกว่าตอนนี้พวกคนระดับสูงๆ ในมณฑลหยินเยวี่ยจะเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติในระดับขั้นสุริยะพรายหรือไตรสุริยากันทุกคน!”
หลิวหลงจมอยู่ในห้วงความคิด ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วมองไปที่หลี่ฮ่าวแล้วกล่าวเสียงขรึม “นายพูดถูก ดูจากเมืองหยินไม่มีอะไรเลย แต่หากสุดท้ายแล้วรักษาเมืองไม่ได้จริงๆ อพยพไปเมืองไป๋เยวี่ย… การมีตำแหน่งก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ!”
“ตอนนี้ดูจากภายนอกแล้วเหมือนคนธรรมดากับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจะดูแลเมืองร่วมกันโดยไม่ได้ดูเพียงเรื่องศักยภาพทั้งหมด พวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่มีพลังแข็งแกร่งก็ไม่ได้มาสนใจดูแลเมือง ดังนั้นงานส่วนมากจึงยกให้คนธรรมดาเป็นคนจัดการดูแลไป”
พอพูดจบเขาก็มองคนอื่นๆ “หลี่ฮ่าวเตือนถูกทางแล้ว ต่อให้หลิวเยี่ยนกลายเป็นรองหัวหน้าแต่ก็เลื่อนขั้นไม่ได้ หล่อนกลายเป็นผู้บังคับการตรวจตราได้ไม่นาน ดังนั้นการจะเป็นผู้บังคับการตรวจตราระดับสูงก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง แต่พวกคุณอาศัยโอกาสนี้กลายเป็นผู้บังคับการตรวจตราได้!”
อวิ๋นเหยาปฏิเสธอีกครั้ง “ฉันไม่สนใจ ฉันไม่ได้สนใจของพวกนี้”
อู๋เชากล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “ลูกพี่เลิกมองผมเถอะ ผมทำไม่ได้หรอก ต่อให้เป็นแค่ในนามก็ทำไม่ได้! หรือให้เจ้าอ้วนเฉิน…”
เฉินเจียนตอบโต้กลับ “ผมก็ไม่ไหว! ลูกพี่เองก็รู้ว่าแค่ผมไปเจอพวกคนใหญ่คนโตก็กลัวจะตายแล้ว ถ้าให้ไปเป็นรองหัวหน้าจริงๆ แล้วถ้าต้องไปต้อนรับพวกคนสำคัญ… ผมแข้งขาอ่อนทำไงละครับ”
หลิวหลงนิ่งไป ไม่มีใครยอมเลยเหรอ?
เขามองหลี่ฮ่าวอีกครั้ง สีหน้าหลี่ฮ่าวฉายแววยินดี “ลูกพี่ ผมยินดีครับ!”
“……”
ทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบ
กระทั่งหลิวเยี่ยนยังอดหัวเราะไม่ได้ “นายรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าพวกเขาจะไม่ยอม ดังนั้นถึงได้จงใจพูดแบบนี้เพื่อให้ตัวเองได้เลื่อนขั้นสินะ ฉันว่านะเสี่ยวฮ่าวฮ่าว นายเพิ่งจะอายุไม่เท่าไหร่เอง ถึงขนาดเลื่อนขั้นเป็นผู้ตรวจการณ์ระดับหนึ่งแล้วนายยังไม่พอใจอีกเหรอ?”
หลี่ฮ่าวถึงกับฉีกยิ้มกว้าง “พี่ครับ ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ถ้าหากว่าผมจบมาจากมหาวิทยาลัยกู่ย่วน ผมคงจะกลายเป็นผู้ตรวจการณ์ระดับหนึ่งอย่างรวดเร็ว! ดังนั้นที่เลื่อนขั้นเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้…ที่จริงไม่ได้ถือว่าเป็นการเลื่อนขั้น การเลื่อนขั้นเป็นผู้บังคับการตรวจตราต่างหากถึงจะนับว่าเป็นการเลื่อนขั้นที่แท้จริง!”
“ถ้าพวกพี่เฉินยินดี ผมก็ไม่ขัดอะไร อย่างไรเสียผมก็ยังอายุน้อยแถมยังมาทีหลังอีก แต่ถ้าพวกพี่เฉินไม่ยินดี…เช่นนั้นผมก็ย่อมต้องดูแลรับใช้ทุกคนให้ดี ทุ่มกายทุ่มใจเพื่อพวกเรา!”
เหตุที่เขาพูดจาดี ความจริงแล้วเขาก็แค่อยากจะเลื่อนขั้นเท่านั้นเอง!
ดีใจจริงๆ เลย!
ผู้บังคับการตรวจตรา!
อย่างแรกเงินเดือนจะขึ้น เรื่องนี้คงไม่ต้องพูดถึง
อย่างที่สองหากไปเมืองไป๋เยวี่ย แน่นอนว่าจะต้องได้ไปรับตำแหน่งที่ดีขึ้น…ใครก็ไม่กล้าเริ่มใหม่จากระดับล่างสุดหรอก ยิ่งไปกว่านั้นหลี่ฮ่าวเองก็ทำงานเก็บกวาดอยู่ในห้องเก็บแฟ้มคดีอยู่มาเป็นปีๆ แล้ว
อย่างที่สามเมื่ออยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นก็จะมีสถานะที่สูงขึ้นและได้เจอกับคนในระดับสูง ต่อไปก็คงจะหาผลประโยชน์ได้เอง ยกตัวอย่างเช่น…น่าจะได้รายงานเกี่ยวกับพวกองค์กรชาดจันทราได้ง่ายขึ้น
หลิวหลงมองหลี่ฮ่าวอยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เขาคิดว่าที่หลี่ฮ่าวเสนอความคิดนี้เป็นเพราะอยากให้คนอื่นได้เลื่อนขั้น แต่ดีที่สุดท้ายแล้วทุกคนต่างปฏิเสธไป เด็กนี่กลับเสนอตัว อยากให้เขาเลือกตัวเองใจจะขาดแทน!
เก่งนี่!
อายุน้อยแค่นี้แต่กลับเจ้าเล่ห์ใช้ได้
“หลี่ฮ่าว นายไหวจริงเหรอ?”
หลิวหลงขมวดคิ้วมุ่น “ต่อให้เบื้องบนตกปากรับคำแล้ว แต่ก็ต้องทดสอบนายอยู่ดี นายอายุเท่าไหร่เอง อีกอย่าง…ขั้นสิบสังหารอย่างนาย…เกรงว่าคงจะยากอยู่นะ”
หลี่ฮ่าวรีบร้อนกล่าว“ลูกพี่ครับ เรื่องนี้ง่ายนิดเดียว! ลูกพี่ก็บอกเบื้องบนไปเลยครับว่าลากผมเข้ากลุ่มก็เพื่อคุมอาจารย์ของผม ถ้าผมเป็นแค่ผู้ตรวจการณ์ธรรมดา ผมก็จะย้ายไปทำงานที่หน่วยอื่นได้ตลอดเวลา แต่ถ้าผมกลายเป็นผู้บังคับการตรวจตรา ต่อให้เป็นแค่ตำแหน่งในระดับกลางก็เถอะ คงจะย้ายไปไหนไม่ได้! เพื่อดึงอาจารย์ของผมเข้าพวก กะอีแค่ตำแหน่งผู้บังคับการตรวจตรานี่เล็กขี้ปะติ๋วเดียว”
แหม ดีนี่ หาเหตุผลให้ตัวเองเสร็จสรรพเลยเชียว
แต่จำเป็นต้องยอมรับว่าหากรายงานเบื้องบนไปแบบนี้ คาดว่าเบื้องบนก็คงจะไม่ใคร่สนใจในความสามารถของหลี่ฮ่าวหรอก แต่คงเห็นอีกฝ่ายเป็นแค่หมากที่ใช้เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างผู้พิทักษ์รัตติกาลกับหยวนซั่วเท่านั้นเอง
“งั้นเกรงว่าจะมีคนพูดว่านายใช้เส้นสาย…”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือ!”
หลี่ฮ่าวแน่วแน่มากทีเดียว!
ผมไม่กลัวเรื่องนี้หรอก หากได้ตำแหน่งผู้บังคับการตรวจตรามาครอบครองต่างหากถึงจะเป็นประโยชน์ที่แท้จริง
ครั้งนี้หลิวหลงไม่มีอะไรจะพูดอีก จากนั้นเขาก็มองไปที่พวกอวิ๋นเหยา “พวกนายแน่ใจนะว่าจะไม่มีใครอยากแย่งตำแหน่งนี้”
อวิ๋นเหยาส่ายหน้าอย่างไม่สนใจ อู๋เชาเองก็ยิ้มเจื่อนๆ ส่วนเฉินเจียนที่เป็นคนซื่อๆ กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “งั้นให้หลี่ฮ่าวก็ได้ เขาน่าจะมีอนาคตมากกว่าพวกเรา!”
หลักๆ เป็นเพราะหลี่ฮ่าวเจ้าเล่ห์สุดๆ!
เฉินเจียนเลือกจะสนับสนุนรุ่นน้องในทีมเพื่อเลี่ยงไม่ให้มีเหตุผิดใจกับอีกฝ่ายเผื่อว่าวันไหนเขาเกิดยิ่งใหญ่ขึ้นมา
เลวจริงๆ!
ส่วนอู๋เชาและอวิ๋นเหยาไม่มีความเห็นใด ถึงแม้หลี่ฮ่าวจะอ่อนแอ แต่ทุกคนต่างก็รู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร คนในขั้นจันทราทมิฬและทะลวงร้อยที่ตายไปก่อนนี้ต่างตายกันไปเช่นไร ทุกคนต่างรู้ดี
เขาเป็นคนใจเด็ดมากทีเดียว!
หากเขาต้องการเลื่อนตำแหน่ง ทุกคนต่างก็ยินดีจะช่วยให้เขาสมหวัง คนอื่นๆ กังวลว่าตนเองจะกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติได้หรือไม่มากกว่า
“งั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน!”
หลิวหลงเองก็คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้ หลี่ฮ่าวในตอนนี้ยิ้มกว้างจนฉีกมาถึงหูแล้ว
สุดท้ายเขาได้ตำแหน่งผู้บังคับการตรวจตรามาครอง!
ส่วนหลิวเยี่ยนเองก็ไม่ได้สนใจมากนักเปิดปากกล่าวไปส่งๆ ว่า “ลูกพี่ ถ้าตามกฎเกณฑ์น่าจะต้องมีคนประมาณ 10 คนเป็นอย่างน้อย แต่ตอนนี้พวกเรามีกันแค่ 6 คน ต่อให้บวกกับรองหัวหน้าที่ถูกส่งมา หรือว่าจะส่งผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมาให้พวกเราด้วย”
หลิวหลงเองก็ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะส่ายหน้าพลางกล่าว “พูดยาก! มีความเป็นไปได้ว่าอาจส่งมาสมทบด้วย ถ้าหากว่าเบื้องบนไม่ส่งคนมาก็จำเป็นต้องรอต่อไปอีกระยะหนึ่ง รอให้คนใหม่ๆ เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาก่อน! ทางฝั่งเมืองไป๋เยวี่ยจะมีการประกาศรับคนหน้าใหม่ๆ มาเข้าร่วมทีมอย่างรวดเร็ว เป็นไปได้อย่างมากว่าพวกเขาจะส่งคนใหม่ๆ หรือปรมาจารย์แสงดารามาให้พวกเราอีกหลายคน”
พอได้ยินเช่นนี้คนอื่นๆ ก็เม้มริมฝีปากเชิงดูถูก
ปรมาจารย์แสงดาราจะไปมีประโยชน์อะไร!
เอาคนในขั้นจันทราทมิฬมายังจะมีประโยชน์มากกว่าเสียอีก
ในตอนนี้หลี่ฮ่าวถึงเริ่มควบคุมความลิงโลดของตนเองไว้ได้ เขาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “หรือไม่อย่างนั้นพวกเรารับสมัครกันเองดีไหมครับ”
“ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมีจำนวนจำกัด พวกที่สมัครได้ก็น่าจะมีคนรับตัวไปหมดแล้ว”
“ผมหมายถึงปรมาจารย์นักรบ!”
หลี่ฮ่าวอธิบาย “รับสมัครปรมาจารย์นักรบ! เมืองหยินของเราน่าจะมีปรมาจารย์นักรบที่เก่งๆ อยู่ไม่กี่คนมั้งครับ ถ้าคนในท้องที่ไม่มี แล้วที่อื่นล่ะครับ ถึงแม้ว่าปรมาจารย์นักรบจะไม่เก่งเท่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ แต่ถ้าเราให้โอกาสเขาได้กลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ…ปรมาจารย์นักรบก็น่าจะสมัครใจลงมือลงแรงด้วยเหมือนกัน! อีกทั้งทันทีที่ปรมาจารย์นักรบเลื่อนขั้น คนในขั้นสิบสังหารก็จะสามารถเลื่อนเป็นระดับพลังจันทราทมิฬได้ แถมมีประสบการณ์มากพอแข็งแกร่งกว่าคนใหม่อีก”
“พวกเราถือเป็นเมืองชายขอบของมณฑลหยินเยวี่ย อาจเจออันตรายได้ทุกเมื่อ หากเอาคนหน้าใหม่ๆ มาอาจจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร…”
หลิวหลงอยากจะเยาะเย้ยใส่สักที นายเองก็ถือว่าเป็นคนหน้าใหม่ แต่ยังมีหน้ามารังเกียจคนอื่นอีก!
แต่พอเปลี่ยนกลับมามองอีกแง่ว่ามีคนใหม่คนไหนที่เพิ่งเข้ามาไม่นานแต่ฆ่าทะลวงร้อยและจันทราทมิฬตายได้บ้าง
หลี่ฮ่าวเองก็มีคุณสมบัติที่จะรังเกียจคนหน้าใหม่ได้เช่นกัน!
“ลองดูก่อนก็แล้วกัน!”
หลิวหลงไม่ได้ปฏิเสธคำเสนอแนะของเขา ถึงแม้อาจจะไม่มีปรมาจารย์นักรบคนไหนยอมเข้าร่วมด้วย แต่อาจมีปรมาจารย์ยินดียอมทุ่มเทลงแรงให้กับองค์กรพวกนี้มากกว่า
แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องเมื่อก่อน
หากหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลจัดตั้งขึ้น เขาก็จะไม่ใช่หัวหน้าทีมล่าปีศาจเล็กๆ อีกแล้ว แต่จะเป็นหัวหน้าหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลอย่างเป็นทางการ เรื่องนี้ทำให้เขามีอิทธิพลกว่าที่เคยมีมาเพราะเป็นหน่วยงานของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ได้รับการยอมรับจากทางการ
พอถึงตอนนั้นเบื้องบนก็จะต้องแจกพวกพลังลี้ลับต่างๆ มาให้ด้วย นี่ย่อมดีกว่าไปฆ่าคนเหมือนเมื่อก่อนมากโข
หลิวเยี่ยนที่อยู่ด้านข้างหัวเราะคิกคักพลางลูบศีรษะหลี่ฮ่าว เขารู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองนัก ลูบหัวเขาทำไมกันเนี่ย
หล่อนชอบหลอกแต๊ะอั๋งเขาอยู่เรื่อย!
………………………………………………………………………………..