ตอนที่ 49 สาขาย่อยของเมืองหยิน (2)
ส่วนมากหมอที่รักษาคนได้จะเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติธาตุแสงและธาตุไม้ ส่วนผู้มีพลังเหนือธรรมชาติธาตุน้ำจะมีพลังในการรักษาด้อยกว่าสองธาตุนี้
ในตอนนี้อวิ๋นเหยาก็ระบายยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร เลื่อนขั้นพลังแล้วก็เป็นอันใช้ได้ อย่างไรเสียก็น่าจะแข็งแกร่งกว่าคนที่พลังยังไม่ก้าวหน้าไปไหนแหละ”
“ยังไม่เลื่อนขั้นเหรอ”
หลิวเยี่ยนยิ้มเยาะ “หรือว่าเรื่องที่เป็นปรมาจารย์ทะลวงร้อยเป็นเรื่องโกหก ถ้าไม่พอใจละก็จะลองดูก็ได้นะ!”
“พอได้แล้วน่า!”
หลิวหลงตัดบทพวกเธอสองคน ในทีมของเขามีผู้หญิงแค่สองคน แต่ไม่รู้ทำไมต้องไม่ถูกชะตากันด้วย ก่อนหน้านี้หลิวเยี่ยนยังเกรงใจอีกฝ่ายอยู่บ้าง แต่พอเข้าสู่ขั้นทะลวงร้อยแล้วก็เริ่มกล้าเปิดศึกทะเลาะด้วย
เขามองไปที่หลี่ฮ่าวกล่าวเสียงกลั้วหัวเราะ “ที่เรียกคุณมาเพราะมีข่าวดีจะประกาศ!”
พูดจบ หลิวหลงก็ดูตื่นเต้นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที “ที่เมืองไป๋เยวี่ยส่งข่าวมาบอกว่าน่าจะสามารถจัดตั้งหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลที่เมืองหยินได้แล้ว! หลังจากที่หัวหน้าเฮ่อกลับไปก็ได้ให้ความช่วยเหลือพวกเราเล็กน้อย อีกทั้งพวกผู้พิทักษ์รัตติกาลที่มาเมืองหยินในครั้งนี้ก็ได้ลงแรงช่วยด้วย พอพิจารณาเรื่องต่างๆ แล้วเลยทำให้เมืองไป๋เยวี่ยตกปากรับคำยอมจัดตั้งสาขาหน่วยย่อยของผู้พิทักษ์รัตติกาลขึ้นที่เมืองหยิน!”
เมื่ออีกฝ่ายกล่าวออกมา ใบหน้าของคนอื่นๆ ที่เหลือก็ฉายแววปิติยินดี
หลี่ฮ่าวเองก็มีท่าทีดีอกดีใจเช่นกัน “ลูกพี่ นี่แปลว่าเงินเดือนพวกเราก็จะเพิ่มขึ้นแล้วสิ”
“……”
หลิวหลงพูดไม่ออกพลางปรายตามองอีกฝ่าย ในหัวเด็กอย่างนายมีอะไรบ้าง
นี่มันใช่เรื่องเกี่ยวกับเงินเดือนหรือไง
เขาตอบกลับด้วยท่าทีฉุนเฉียว “ไร้สาระ! พอได้กลายเป็นผู้พิทักษ์รัตติกาลเงินเดือนของพวกเราจะไม่ใช่เงินอีกต่อไป แต่เป็นพลังลี้ลับ! พลังเหนือธรรมชาติพวกนั้นมีมูลค่าเท่าไร จะใช้เงินมาแลกได้ด้วยเหรอ”
หลี่ฮ่าวกลับมีท่าทีอึดอัดใจอยู่บ้าง ‘ผมรู้หรอก แต่ผมไม่ได้ขาดพลังเหนือธรรมชาตินี่นา ในเมื่ออาจารย์มีถมเถไป’
แต่ว่า…เขาขาดแคลนเงินจริงๆ นี่นา
อาจารย์เองก็อาจจะพอมีเงินบ้าง ถ้าเป็นพลังเหนือธรรมชาติหลี่ฮ่าวอาจจะพอมีความกล้าไปเรียกร้องจากเขาบ้าง แต่เรื่องเงินนั้น…เขาไม่กล้าขอจริงๆ
พลังเหนือธรรมชาติมีมูลค่ามากกว่าเงินก็จริง แต่ของพวกนี้ใช้เพื่อฝึกฝน หลี่ฮ่าวเป็นนักเรียน ส่วนหยวนซั่วเป็นอาจารย์ย่อมช่วยเหลือกันไม่มีปัญหาใดอยู่แล้ว
แต่เรื่องไม่มีเงินกินข้าว ไม่มีเงินเช่าบ้าน ไม่มีเงินซื้อรถ…หรือว่าจะให้เปิดปากขออาจารย์เรื่องพวกนี้หรือไง
น่าขายหน้าจะตายชัก!
อายุ 20 กว่าปี แต่กระทั่งตัวเองยังเอาตัวไม่รอด
หลิวหลงเองก็คร้านจะสนใจว่าหลี่ฮ่าวคิดอะไรแล้ว เพราะตัวเขาเองยังอารมณ์ดีอยู่จึงกล่าวต่อ “จากการจัดแจงของเมืองอื่นๆ หากว่าพวกผู้พิทักษ์รัตติกาลอยากจะตั้งสาขาย่อยในเมืองหยิน ในสถานการณ์ปกติแล้วอย่างน้อยๆ ต้องใช้คนมากกว่าสิบคนขึ้นไปถึงจะจัดตั้งได้!”
“โดยจะมีหัวหน้าของสาขาย่อยเพียงคนเดียวขึ้นรับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการลาดตระเวน ส่วนรองหัวหน้ามีหนึ่งถึงสองคนซึ่งจะรับตำแหน่งเป็นผู้บังคับการตรวจตราระดับสูง ส่วนหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการก็จะได้รับตำแหน่งเป็นผู้บังคับการตรวจตรา”
“เพราะมีคนน้อย โครงสร้างเล็กและความต่างของเมืองเลยตั้งแบบนี้เอาไว้ก่อน”
จากนั้นเขาก็มองทุกคน “จากข่าวที่ได้รับ ครั้งนี้เมืองไป๋เยวี่ยยังไม่ได้แต่งตั้งหัวหน้าสาขาย่อย ฉันคงจะได้รับตำแหน่งนี้!”
พอกล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็ดีใจอย่างมากเพราะสิ่งที่ได้รับนั้นเหลือเชื่อเกินกว่าที่จินตนาการเอาไว้มาก!
หลิวเยี่ยนอดตื่นเต้นไม่ได้“ลูกพี่ ทำไมเบื้องบนถึงได้ใจดีขนาดนี้ล่ะ?”
หลิวหลงเองก็ระบายยิ้มออกมา “ก็มีสาเหตุหลายอย่าง ความจริงสาเหตุหลักๆ ก็คือ…เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหยวนซั่วด้วย เจ้าหมอนั่นกับพวกผู้พิทักษ์รัตติกาลฝีมือเก่งๆ เข้ากันไม่ค่อยได้ อันที่จริงการที่เขาอยู่ที่นี่ทำให้คนจำนวนมากไม่ค่อยอยากมาที่เมืองหยินเพราะอาจจะโดนเขาข่ม! อีกทั้งเมืองหยินก็เล็กเกินไป บวกกับไปล่วงเกินพวกชาดจันทราเข้า บางทีชาดจันทราอาจกลับมาลอบโจมตีคืนได้ ดังนั้นพวกยอดฝีมือในขั้นสุริยะพรายก็เลยไม่ค่อยอยากจะมากันนัก”
คนในขั้นพลังต่ำกว่าสุริยะพรายก็ไม่ใช่คนโง่
หลิวหลงเป็นปรมาจารย์นักรบในขั้นทะลวงร้อยระดับสุดยอด ถ้ามาที่นี่ครั้งแรกและสุดท้ายดันมีอำนาจเหนือกว่าหลิวหลง แบบนี้จะควบคุมหน่วยงานเช่นไร
แล้วคนอื่นๆ จะฟังเหรอ
พอพิจารณาถึงเรื่องนี้แล้ว เมืองไป๋เยวี่ยเองเลยตัดสินใจทำอะไรเด็ดขาด ส่วนจัดตั้งก็จัดตั้งอยู่หรอก แต่ตำแหน่งหัวหน้าก็ยังต้องยกให้หลิวหลงอยู่ดี
คนอื่นๆ ต่างดีอกดีใจยกใหญ่!
หลี่ฮ่าวเองก็ฉีกยิ้มกว้าง “คนอื่นๆ ดูถูก แต่เราเห็นคุณค่าก็พอแล้ว! ลูกพี่กลายเป็นผู้บัญชาการลาดตระเวนแล้ว!”
ผู้ตรวจการณ์ ผู้บังคับการตรวจตรา ผู้บัญชาการลาดตระเวน นี่เป็นตำแหน่งทั้งสามขั้นของกองตรวจการณ์
ผู้ตรวจการณ์แบ่งเป็นระดับสาม ระดับสอง ระดับหนึ่ง ส่วนผู้บังคับการตรวจตราแบ่งเป็นผู้บังคับการตรวจตราระดับต้น และผู้บังคับการตรวจตราระดับสูง
แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางพูดคำว่าระดับต้นต่อท้ายอยู่แล้ว เพียงแต่จะพูดกันก็ต่อเมื่ออยู่ด้วยกันเท่านั้น ความจริงผู้บังคับการตรวจตราและผู้บัญชาการลาดตระเวนระดับต้น ทุกคนต่างนับว่าเป็นผู้บังคับการตรวจตราและผู้บัญชาการลาดตระเวนเท่านั้น
ส่วนเติมคำว่าระดับสูงเข้าไปก็เพื่อจะได้ดูมีระดับบ้าง
หลิวหลงระบายยิ้มแล้วบีบมือตนเอง “นี่ก็กำลังเร่งอยู่เหมือนกันแต่ก็เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้เท่าไร! หากหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลประจำเมืองหยินถูกจัดตั้งขึ้นมาจริงๆ คงไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนการเลื่อนขั้นหรืออะไรอย่างนั้น ทุกคนน่าจะเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่นะ”
“คราวนี้ที่เรียกทุกคนมา เพราะหนึ่งเพื่อแบ่งปันความสุข อีกอย่างหลักๆ คือเรื่องตัวเลือกรองหัวหน้า ถ้าหากว่ามีรองหัวหน้าแค่หนึ่งคน ฉันก็จะเสนอแค่คนเดียว แต่หากมีสองคน อีกคนคงมาจากเมืองไป๋เยวี่ยเพื่อรับตำแหน่งรองหัวหน้า ส่วนอีกคนฉันจะเป็นคนเสนอเอง”
นี่ถือเป็นธรรมเนียมล่ะ
หลิวเยี่ยนหรี่ตามองอวิ๋นเหยาทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ เพียงครู่เดียวก็รู้ว่าลูกพี่กำลังลังเลเพราะตัดสินใจไม่ได้ หล่อนจึงแค่นเสียงใส่ “ถ้าหล่อนอยากได้นักก็ยกให้ไปเถอะ ฉันไม่สนใจหรอก! ยังไงเสียแม่นั่นก็เป็นตั้งผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ฉันมันเป็นแค่ปรมาจารย์นักรบเองนี่!”
หลิวหลงเหนื่อยหน่ายใจสุดขีด นี่เธอหมายถึงใครกัน
ใครไม่ใช่ปรจารย์นักรบบ้าง
ฉันก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่หรือไง!
สีหน้าอวิ๋นเหยาราบเรียบเหมือนกับว่าไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย พอเห็นหัวหน้ามองมาเช่นนั้นก็กล่าวกับเขาเสียงเรียบ “ฉันไม่อยากได้ตำแหน่งนี้ ถ้ายัยนั่นอยากได้ตำแหน่งนี้นักก็เสนอหล่อนไปก็พอ เดิมทียัยนี่ก็เป็นรองหัวหน้าอยู่แล้ว แถมยังเป็นผู้บังคับการตรวจตราด้วย คุณสมบัติครบถ้วนพอดี”
ทั้งสองคนต่างก็ทำทีว่าตนไม่สนใจทั้งคู่
ส่วนหลี่ฮ่าวที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่หือไม่อือ จู่ๆ ก็กล่าวขึ้นมาอย่างระแวดระวัง “เอ่อ…ผมขอแทรกหน่อยได้ไหมครับ?”
ทุกคนต่างก็มองมาที่เขาด้วยใบหน้าสงสัย
นายสอดขึ้นมาทำไมกัน
หรือนายเองก็อยากได้ตำแหน่งนี้อย่างนั้นเหรอ
อย่าเพ้อเจ้อน่า!
หลี่ฮ่าวมองด้วยใบหน้าเก้อเขินแล้วกล่าวอย่างระแวดระวัง “เอ่อ…ผม…ผมมีข้อเสนอแนะบางอย่าง จริงๆ นะครับ ผมเสนอแนะแค่เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น โดยปกติแล้วต่างก็เป็นคนในตำแหน่งผู้บังคับการตรวจตรา ซึ่งพี่หลิวเองตอนนี้ก็ดำรงตำแหน่งนี้อยู่แล้ว”
“ในกลุ่มเล็กๆ ตอนนี้ยังเหลือผม พี่อู๋ พี่เฉิน พี่อวิ๋น พวกเราต่างก็เป็นผู้ตรวจการณ์ระดับหนึ่ง”
เมื่อสองวันก่อนเขาเพิ่งจะได้เลื่อนขั้น เสียดายที่ไม่อาจเลื่อนขั้นขึ้นเป็นผู้บังคับการตรวจตราได้
หลี่ฮ่าวกล่าวต่อ “สู้พวกเราลองมาปรึกษากันไม่ดีกว่าเหรอครับ ลูกพี่ลองแนะนำหนึ่งในพวกเราสี่คนเป็นรองหัวหน้าสิครับ…แค่กๆ บอกทางการแบบนี้ก็น่าจะพอ ส่วนส่วนตัวเราก็ให้พี่หลิวเป็นรองหัวหน้าเหมือนเดิม ถ้าเป็นแบบนี้พวกเราก็จะมีผู้บังคับการตรวจตราเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน พอเงินเดือนสูงขึ้นมาหน่อย สวัสดิการก็ดีขึ้นมาบ้าง ส่วนสวัสดิการต่างๆ ของรองหัวหน้านั้นยกให้พี่หลิวก็ได้!”
“ได้ผลประโยชน์สูงสุด!”
หลี่ฮ่าวกล่าวเสริมอีกประโยค “ถ้าไม่อย่างนั้นต่อให้พี่หลิวเลื่อนขั้นไปแต่ก็ยังเป็นผู้บังคับการตรวจตราอยู่ดี เกรงว่าจะเลื่อนเป็นผู้บังคับการตรวจตราระดับสูงก็คงจะยาก ออกจะสิ้นเปลืองทรัพยากรเกินไปหน่อย!”
พวกหลิวหลงอ้าปากค้าง!
คิดแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?
พวกเขาไม่เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อน เพราะในสายตาพวกเขานั้นการเลื่อนตำแหน่งไม่ได้เป็นเรื่องสลักสำคัญนัก
แต่หลี่ฮ่าวไม่คิดเช่นนั้น เขากล่าวต่อไปว่า “ผมได้ยินหวังหมิงบอกว่าต่อให้เป็นคนในหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาล ถึงแม้จะอยู่ในระดับขั้นที่แตกต่างกัน สวัสดิการก็จะต่างตามไปด้วย แต่เรื่องการเลื่อนขั้นก็เป็นอีกเรื่อง! มีพวกผู้ตรวจการณ์แก่ๆ บางคนซึ่งอันที่จริงแล้วก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร เพียงแต่อาศัยว่ามีอายุเท่านั้น ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจัดการงานเอกสาร มีตำแหน่งสูง ถือได้ว่ามีปากมีเสียงมากทีเดียว”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็อย่าสนใจเรื่องนี้นักเลย ในเมืองหยินไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร…แต่ว่า…”
หลี่ฮ่าวกล่าวด้วยใบหน้าตื่นเต้น “แต่ว่าเราทุกคนต่างกำลังพัฒนา เกิดวันไหนวันหนึ่งพวกเรากลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติกันหมดแล้วเลื่อนขั้นเป็นทะลวงร้อยกับพันยุทธ์ขึ้นมา…หากว่ายังเป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลอยู่ เช่นนั้นตำแหน่งก็คงจะสำคัญอย่างมากทีเดียว!”
“เหมือนที่คราวนี้ลูกพี่เลื่อนตำแหน่งกลายมาเป็นผู้บังคับการตรวจตรา หากว่าถูกส่งไปเมืองไป๋เยวี่ยล่ะก็ อาจจะได้ตำแหน่งที่ดี แต่หากลูกพี่ยังเป็นผู้บังคับการตรวจตรา พอไปที่เมืองไป๋เยวี่ย ที่นั่นมีผู้บังคับการตรวจตราเป็นกอง ตอนนั้นจะให้ลูกพี่ไปประจำตำแหน่งไหนล่ะครับ?”
………………………………………………………………………………