ตอนที่ 50 เห่อตำแหน่งใหม่ (4)
ณ กองตรวจการณ์
หลี่ฮ่าวและหลิวเยี่ยนทำราวกับว่าเรื่องเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ห้องประชุมใหญ่
เวลานี้มู่เซินเองก็อยู่ด้วยเช่นกัน
อีกทั้งหลี่ฮ่าวยังเห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาบางส่วนจนรู้สึกเหนือคาดอยู่บ้าง
หวังหมิงเองก็มองไปทางหลี่ฮ่าว เงยหน้าขึ้นแต่ไม่ปริเสียงใด
ก่อนที่เขาจะไปดันบอกกับหลี่ฮ่าวว่าเมืองหยินเล็กเกินไป อย่าอยู่ที่นี่เลย รีบไปเมืองไป๋เยวี่ยดีกว่า
แต่ก็นะ ผ่านไปไม่เท่าไรเขาก็วิ่งหน้าแจ้นกลับมาเสียเอง
น่าอายชะมัด!
ครั้นมู่เซินเห็นพวกหลิวเยี่ยนกลับมาแล้วก็คลี่ยิ้มกล่าว “มากันแล้ว พอดีเลยเพราะเอกสารและคนของทางฝั่งผู้พิทักษ์รัตติกาลก็มาถึงแล้วเหมือนกัน ทุกคนนั่งสิ ผมจะได้ประกาศเรื่องตำแหน่ง!”
ทุกคนพากันทยอยนั่งลง
หวังหมิงไม่ได้พูดคุยอะไรกับหลี่ฮ่าวและยิ่งไม่ได้กล่าวทักทายใดทั้งสิ้น เพราะเขารู้สึกขายหน้าเกินไป เวลานี้ทุกคนเห็นเขาเป็นเพียงอากาศธาตุไปก็พอ
“จากการพิจารณาตัดสินใจของเบื้องบน หน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลสาขาย่อยประจำเมืองหยินได้จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว!”
“ขอแต่งตั้งหลิวหลงผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการประจำเมืองหยินขึ้นเป็นผู้บัญชาการลาดตระเวน โดยจะได้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วยผู้พิทักษ์สาขาย่อยประจำเมืองหยิน!”
หลิวหลงลุกยืนเดินขึ้นไปข้างหน้ารับหนังสือคำสั่งมาพร้อมทำความเคารพ
ทุกคนต่างพากันปรบมือ
คนมีไม่มากนัก มีสมาชิกในทีมบางส่วนและผู้พิทักษ์รัตติกาลจากต่างถิ่นไม่กี่คน เรื่องหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลยังเป็นความลับ ถึงแม้จะมีคนรู้มากมายแต่หากเก็บเป็นความลับได้ก็ควรเก็บเป็นความลับ พยายามไม่ปรากฏตัวต่อหน้าฝูงชน
“ขอแต่งตั้งหวังหมิงผู้ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตรวจตราของหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลประจำเมืองไป๋เยวี่ยเป็นรองหัวหน้าหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลสาขาย่อยประจำเมืองหยิน”
หวังหมิงเดินมาข้างหน้ารับหนังสือคำสั่งแต่กลับไม่ผุดรอยยิ้มใด
เขาวิ่งแจ้นจากเมืองไป๋เยวี่ยมาที่นี่เพื่อรับตำแหน่งรองหัวหน้าหน่วยอะไรนี่ ทว่าในสายตาของพวกเขาเหล่านี้เขากลับเป็นแค่แขกต่างถิ่น แบบนี้จะมีความหมายอะไรเล่า
เดิมทีเขาก็เป็นผู้บังคับการตรวจตราอยู่แล้ว แถมครั้งนี้ไม่ได้รับการเลื่อนขั้นใด ช่างไร้ความหายสิ้นดี
“ขอแต่งตั้งหลี่ฮ่าวผู้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการณ์ระดับหนึ่งของหน่วยปฏิบัติการขึ้นเป็นผู้บังคับการตรวจตรา โดยจะได้รับตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลสาขาย่อยประจำเมืองหยิน”
“……”
หวังหมิงมองหลี่ฮ่าวด้วยสายตาตกตะลึง ผ่านไปนานความละอายใจก็ถาโถมเข้ามา
เขาเองก็เป็นรองหัวหน้าหน่วยเหมือนกันเหรอ
เรื่องนี้เขาไม่รู้เลยจริงๆ
บ้าเอ๊ย เราน่าสงสารเกินไปแล้วมั้ง ตำแหน่งอยู่ในระดับเดียวกับหลี่ฮ่าวแล้วเหรอ
ส่วนด้านล่างหลี่เมิ่งและหูฮ่าวก็สบตากัน เธอมองฉัน ฉันมองเธอ ชั่ววินาทีนั้นก็รู้สึกอึดอัดใจจนยากจะทนไหว
หากกล่าวเช่นนี้ จากนี้ไปหลี่ฮ่าวก็จะเป็นหัวหน้าพวกเขาแล้วเหรอ
พระเจ้า หากรู้แต่แรกว่าหลี่ฮ่าวจะมารับตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าหน่วยละก็ ต่อให้ตีพวกเขาจนตายก็ไม่มีทางมาที่นี่แน่นอน
นึกว่าเป็นหลิวเยี่ยนเสียอีก
ถึงอย่างไรหลิวเยี่ยนก็เป็นผู้ใหญ่มากกว่าพวกเขา อีกทั้งประสบการณ์ก็โชกโชน นอกเสียจากไม่ได้เลื่อนขึ้นมาเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ แต่หากรับตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าหน่วยก็ยังพอรับได้บ้าง แต่สุดท้ายดันเป็นหลี่ฮ่าวไปเสียได้
เวลานี้หวังหมิงเองก็อดไม่ไหวเช่นกันเอ่ยเสียงต่ำว่า “หัวหน้าหลิวครับ…คือว่า…หลี่ฮ่าว…เพิ่งเข้ากองตรวจการณ์มาได้ไม่นานไม่ใช่เหรอครับ อีกอย่างเขาก็ไม่ใช่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติด้วย”
แบบนี้ก็ได้เหรอ
หลิวหลงเอ่ยเสียงสงบ “ไม่เป็นไร หลักๆ หลี่ฮ่าวจะรับผิดชอบพวกงานเอกสารเบื้องหลังไป หากเกิดศึกสงครามขึ้นมาจริงๆ คงต้องฝากฝังรองหัวหน้าหวังด้วย รองหัวหน้าหวังเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติขั้นจันทราเต็มดวง ถือว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของเมืองหยินเลย”
หวังหมิงสีหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที
นี่คือความอัปยศชัดๆ!
หลิวหลงหมายความว่าไงกันแน่
การต่อสู้ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็เห็นกันทั้งนั้น หลิวหลงคนเดียวซัดพร้อมกันสามคน แต่เขาดวลตัวต่อตัวกลับเอาชนะไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นในเมืองยังมีหยวนซั่วอยู่ด้วย คุณบอกว่าผมเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่ง หากไม่ใช่ความอัปยศแล้วมันคืออะไรล่ะ
“หัวหน้าหลิว!”
หลิวหลงเอ่ยเสียงนิ่ง “อ๋อ เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่งเป็นอันดับหนึ่งไง!”
หลังจากเอ่ยออกมาเช่นนั้น หวังหมิงก็ดูสงบลงในทันที
คำพูดนี้ก็ถือว่าถูกอยู่หรอก
ช่างเถอะ เขาไม่ถือสาคนไร้สติปัญญาผู้นี้ดีกว่า
“ขอแต่งตั้งหลิวเยี่ยนเป็นหัวหน้าทีมปฏิบัติการของหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลสาขาย่อยประจำเมืองหยิน”
คำสั่งรับตำแหน่งยังคงกล่าวต่อไป
ทั่งหน่วยสาขาย่อยมีเก้าคน รวมถึงหลิวเยี่ยน พวกเขาสี่คนล้วนเป็นหัวหน้า
ส่วนคนเบื้องล่างอย่างอวิ๋นเหยา อู๋เชา เฉินเจียนต่างไม่สนใจอยู่แล้ว หูฮ่าวและหลี่เมิ่งมองรอบด้าน จากนั้นก็พลันรู้สึกหัวเดียวกระเทียมลีบขึ้นมาทันที
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจันทราทมิฬสองคนเข้ามาทำงานในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองหยิน แต่สุดท้าย…กลับเป็นเพียงคนกระจอกๆ ที่ไม่มีตำแหน่งใดเลย
แม้แต่ตำแหน่งหัวหน้าทีมยังคว้ามาไม่ได้ด้วยซ้ำ
ชั่ววินาทีนั้นพวกเขาสองคนก็แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้แต่แรกคงยอมย้ายไปอยู่เมืองเย่ากวงแล้ว ถึงแม้ไปเมืองเย่ากวงพวกเขาก็ไม่ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเช่นกัน แต่คงไม่ถึงขั้นเป็นเพียงคนกระจอกๆ แบบนี้แน่นอน เพราะถึงอย่างไรก็ยังมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติขั้นแสงดาราอยู่ แบบนั้นคงพอจะให้ความเอ็นดูพวกเขาบ้าง
ตอนนี้ก็นะ ทั่วทั้งหน่วยสาขาย่อยนอกจากพวกเขาสองคนแล้วก็เหลืออู๋เชาและเฉินเจียนปรมาจารย์นักรบสิบสังหารที่อ่อนแอที่สุด สิ่งสำคัญก็คือปรมาจารย์นักรบสองคนนี้ไม่ใช่คนเส้นทางเดียวกับพวกเขา อีกทั้งยังเป็นคนสนิทของหลิวหลงด้วย
ครั้งนี้คงกลายเป็นแค่น้องชายน้องสาวเข้าให้แล้วจริงๆ!
เวลานี้มู่เซินประกาศคำสั่งเสร็จสิ้นแล้ว จากนั้นก็คลี่ยิ้มเอ่ย “ยินดีกับทุกท่านด้วย! โดยเฉพาะหลี่ฮ่าว ยินดีด้วยนะ! ผมเคยบอกแล้วว่านักเรียนที่ออกมาจากกู่ย่วน ไม่ช้าก็เร็วต้องผงาดขึ้นมาได้แน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้ คุณเป็นผู้บังคับการตรวจตราแล้วนะ”
เขาเหนือคาดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเหนือคาดมากเท่าไร
เบื้องบนยอมรับปากย่อมเป็นเรื่องปกติ ในเมื่อต้องให้เกียรติหยวนซั่วนี่นา
“หน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลได้จัดตั้งขึ้นแล้ว สำหรับผม สำหรับกองตรวจการณ์ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก!”
มู่เซินหัวเราะคิกคักกล่าว “เอาแบบนี้แล้วกัน วันหลังคดีที่เกี่ยวข้องกับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติและปรมาจารย์นักรบในเมืองหยินจะมอบหมายให้พวกคุณจัดการทั้งหมด ในกองตรวจการณ์จะรับผิดชอบแค่คดีคนธรรมดาเท่านั้น แน่นอนว่าหากต้องการความช่วยเหลือก็สามารถโยกย้ายคนจากกองตรวจการณ์ไปได้ทุกเมื่อ เพราะพวกคุณเองยังมีคนไม่มากพอ ”
หน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาล คนยังน้อยเกินไป
จากนี้คดีที่มีความเกี่ยวข้องกับพลังเหนือธรรมชาติในเมืองหยินคงมีมาไม่น้อย มู่เซินเลยเกริ่นๆ ไว้ว่าสามารถโยกย้ายคนจากกองตรวจการณ์มาช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ
หลิวหลงไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก เขาตรึกตรองครู่หนึ่งถึงเปิดปากเอ่ย “เท่าที่ผมรู้มา ทางฝั่งกองตรวจการณ์มีแฟ้มคดีเกี่ยวกับพลังเหนือธรรมชาติและปรมาจารย์นักรบในเมืองหยินที่ละเอียดที่สุด กองตรวจการณ์แค่ให้แฟ้มคดีนี้มาก็พอแล้วครับ! รวมถึงเอกสารของบริษัทใหญ่ๆ กู่ย่วนและโครงสร้างภายในของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติและปรมาจารย์นักรบบางส่วนด้วย”
มู่เซินมองเขาโดยไม่ได้พูดอะไร
หลิวหลงเอ่ยด้วยท่าทีสงบ “ทำไมเหรอครับ ไม่ได้เหรอ ผู้อำนวยการมู่ หากวัดจากตำแหน่งแล้วตอนนี้คุณกับผมอยู่ในระดับเดียวกัน! หน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลมีสิทธิ์ขอให้พวกคุณส่งเอกสารเหล่านี้มาได้”
“ไม่ใช่!”
มู่เซินมุ่นคิ้วเอ่ย “หลิวหลง คุณคิดจะทำอะไร”
“เห่อตำแหน่งใหม่ ผมอยากโชว์ของ มีปัญหาไหมครับ”
มู่เซินเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูด
เมื่อก่อนแฟ้มเอกสารคดีเหล่านี้มีแค่เขาคนเดียวที่ดูได้ เพราะมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ปรมาจารย์นักรบสิบสังหาร ปรมาจารย์แสงดารา ทะลวงร้อย จันทราทมิฬและทุกอย่างในเมืองหยิน…
แล้วเมืองหยินมีเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ
ก็มีบ้าง เพียงแต่จำนวนน้อยมากก็เท่านั้น อีกอย่างยังรวมถึงบริษัทใหญ่ๆ บางส่วน กระทั่งองค์กรภายในที่แข็งแกร่งอย่างเช่นกู่ย่วนเมืองหยิน ความจริงภายในมีปรมาจารย์นักรบคอยสอดส่องอยู่ ไม่ใช่หยวนซั่วแต่เป็นคนอื่น
เมื่อเห็นหลิวหลงยืนกรานเช่นนั้น เขาเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แค่พยักหน้า “เดี๋ยวผมเอาให้คุณ”
“ห้ามลบเอกสารพวกนั้นทิ้งเด็ดขาด!”
หลิวหลงเอ่ยเสียงนิ่ง “เรื่องพวกนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ วางใจเถอะ ผมเองก็ไม่ใช่คนเลวอะไร พวกเราเป็นผู้คุมกันในเมืองหยิน ฉะนั้นย่อมไม่ทำเรื่องโง่ๆ ไร้สมองอะไรแบบนั้นแน่นอน”
“ตามใจคุณเลย!”
มู่เซินไม่พูดอะไรอีกแล้วหมุนตัวเดินจากไป
วันหน้าไปมาหาสู่กับหลิวหลงให้น้อยๆ หน่อยดีกว่า เจ้าหมอนี่ไม่ใช่คนฉลาดอะไร ไม่ช้าก็เร็วคงติดร่างแหเดือดร้อนกับเขาไปด้วย
รอกระทั่งเขาจากไป จู่ๆ หลิวหลงก็ผุดรอยยิ้มออกมา “ทำอะไรได้เต็มที่สักที!”
ชั่วขณะนั้นถึงแม้ทุกคนจะไม่เข้าใจความหมายของเขาแต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ แม้แต่หวังหมิงยังพลอยตื่นเต้นตามไปด้วย ไม่นานก็สัมผัสได้ถึงสิ่งที่แตกต่างออกไป เพราะสายตาที่หลิวหลงใช้จับจ้องตนนั้น…ดูแปลกๆ พิกล
“ซวยแล้ว!”
หวังหมิงขบคิดไปตามสัญชาตญาณ มองเราทำไมกัน เราเป็นแค่คนต่างถิ่นที่เพิ่งมาเยือนคนหนึ่งเท่านั้น คงไม่ได้ให้เราทำอะไรหรอกใช่ไหม
……………………………………………………………….