ตอนที่ 55 จุดที่เหมือนกันของปรมาจารย์นักรบ (1)
ณ ตึกหน่วยปฏิบัติการ
เมื่อหลี่ฮ่าวกับหวังหมิงกลับมาถึงกองประจำการของผู้พิทักษ์รัตติกาลก็รีบไปห้องทำงานของหลิวหลงทันที
เพื่อรายงานความคืบหน้าของงานวันนี้
……
ในห้องทำงาน
หลิวหลงขมวดคิ้วมุ่นพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ไม่รู้ว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
พอได้ยินเสียง เขาก็ตะโกนขึ้นว่า “เข้ามา!”
ทั้งคู่ผลักเปิดประตูเดินเข้ามา
หลิวหลงดูสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขากวาดตามองพวกเขาทั้งสองแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงไร้อารมณ์ “ไปมาครบหรือยัง”
หวังหมิงเอ่ยอย่างรวดเร็ว “พวกเราไปสำนักศิลปะการต่อสู้มาได้ครึ่งหนึ่งครับ นอกจากนี้ยังมีไปกู่ย่วนเมืองหยิน หยินเหอกรุ๊ปและกิจการเหมืองแร่เฉียวกรุ๊ปมาแล้ว เหลืออีกเพียงบางส่วนที่ยังไม่ได้ไป พวกเราวางแผนว่าพรุ่งนี้ค่อยไปเพราะวันนี้เย็นมากแล้วครับ”
หลิวหลงพยักหน้าเล็กน้อย
จากนั้นก็เอ่ยเสริมว่า “มีนอกเหนือจากนี้อีกไหม”
ใช่ว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติกับปรมาจารย์นักรบจะไม่เคยมีการลงทะเบียนเลย ความจริงทางฝั่งหลิวหลงก็มีใบรายชื่ออยู่ชุดหนึ่งที่ทางกองตรวจการณ์ให้มาเหมือนกัน
ครั้งนี้จะเน้นคนที่ยังไม่มีรายชื่อลงทะเบียนในนี้เป็นพิเศษ
“มีครับ!”
หลี่ฮ่าวเปิดปากเอ่ย “วันนี้หลายบริษัทที่ลงทะเบียนมีปรมาจารย์นักรบกับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีกหลายคน แต่ความสามารถธรรมดา มีแค่สิบสังหารกับปรมาจารย์แสงดาราเท่านั้นครับ”
ส่วนขั้นทะลวงร้อยของทางหยินเหอกรุ๊ปนั้นมีบันทึกการลงทะเบียนไว้อยู่แล้ว
จึงไม่ถือว่าอยู่นอกเหนือจากนี้เท่าไร
ทว่ากิจการเหมืองแร่เฉียวกรุ๊ปกลับลงทะเบียนแค่ปรมาจารย์แสงดาราเพียงสามคนและไม่ได้ลงทะเบียนมากไปกว่านี้อีก หากไม่ถึงขั้นทะลวงร้อยกับจันทราทมิฬก็ไม่คุ้มค่าให้จับตามอง อีกเดี๋ยวหลิวหลงต้องตรวจสอบบันทึกการลงทะเบียนต่อแน่นอน
“เหอะ!”
หลิวหลงแค่นเสียงเย้ยเอ่ย “ผมไม่เชื่อหรอก จากการพัฒนาขึ้นของพลังเหนือธรรมชาติ จันทราทมิฬมีมากขึ้น แต่ทุกบริษัทกลับไม่มีจันทราทมิฬแม้แต่คนเดียวเลยงั้นเหรอ”
นี่ไม่ใช่เมื่อสิบปีก่อนสักหน่อย!
หรือจะกล่าวว่าถึงแม้เมื่อสามปีก่อนจันทราทมิฬอาจจะหายากอยู่บ้าง แต่ในระยะสามปีมานี้หลังจากศึกสงครามปะทุขึ้นมาผู้มีพลังเหนือธรรมชาติก็พัฒนากันอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ปรากฏตัวผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจันทราทมิฬให้เห็นไม่น้อย
ถึงแม้เมืองหยินจะเล็กแต่บริษัทใหญ่ๆ ไม่ได้ขาดแคลนเงิน สังคมตอนนี้แม้แต่พวกมีพลังวิเศษ บางทียังยอมขายชีวิตเพื่อแลกเงินด้วยซ้ำ
ดังนั้นบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายจะไม่รับสมัครจันทราทมิฬมาสักคนเลยเหรอ
คนพวกนี้หลอกใครกัน!
“นึกว่าตอนนี้เหมือนเมื่อก่อนหรือไง”
หลิวหลงเผยสีหน้าเย็นชา เขาเป็นคนผยองโอหัง มิเช่นนั้นคงไม่ดึงหลี่ฮ่าวมาโดยไม่ได้ผ่านทีมปฏิบัติการแต่พุ่งไปบอกหยวนซั่วเรื่องทีมปฏิบัติการโต้งๆ จนเกิดความไม่พอใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหลี่ฮ่าวหรอก
ในสายตาของหลิวหลงแล้วความเข้มงวดของกองตรวจการณ์ต้องมีการปรับปรุง
แต่สุดท้ายคนพวกนี้กลับไม่ไว้หน้าเขาเลย
หลังจากสาขาหน่วยย่อยถูกจัดตั้งขึ้น แม้แต่เรื่องลงทะเบียนยังไม่เต็มใจทำ แถมยังหลอกกันอีก!
ทว่าหวังหมิงกลับผ่อนปรนมากกว่าเขา หรือจะกล่าวว่าเขาเห็นที่ไป๋เยวี่ยมามากแล้วเลยกล่าวปลอบใจว่า “หัวหน้าครับ มันเป็นเรื่องปกติครับ! แม้แต่สถานการณ์ปกปิดเช่นนี้ในไป๋เยวี่ยเองยังเกิดขึ้นบ่อยๆ ขอแค่ไม่ก่อความวุ่นวาย…ผมคิดว่าก็ใช่ว่าจะรับไม่ได้เลย”
หลิวหลงเอ่ยเสียงเย็นชา “ดังนั้นผู้พิทักษ์รัตติกาลของเมืองไป๋เยวี่ยถึงไม่สามารถสร้างอำนาจใดทั่วทั้งมณฑลหยินเยวี่ยได้! มิเช่นนั้นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติพวกนั้นจะกล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้เหรอ”
หวังหมิงพลันอึดอัดใจขึ้นมา
เพราะบางเรื่องเขาไร้หนทางจะพูดได้
อีกอย่างเดิมทีผู้พิทักษ์รัตติกาลเองก็ตกที่นั่งลำบากเช่นกัน เพียงแต่ในฐานะที่เป็นคนรุ่นใหม่ เขาเองก็รู้สึกอัดอั้นตันใจเหลือเกิน พอหลิวหลงพูดเช่นนี้ เขาเลยทำได้แค่เงียบไป
“ลูกพี่ครับ!”
หลี่ฮ่าวเอ่ยแทรกขึ้นมา “เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นี่ครับ เล่ากันว่าทางฝั่งภาคกลางผู้พิทักษ์รัตติกาลเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด หน่วยงานแถบชายแดนอย่างพวกเราก็ต้องถ่อมตัวบ้างถึงจะอยู่ในสถานการณ์ปกติ ไม่อย่างนั้นหากเกิดเรื่องใดขึ้นคงไม่มีใครคอยหนุนหลัง…ผมว่าเบื้องบนเองก็คงพิจารณาแบบนี้เหมือนกัน”
“หลี่ฮ่าว!”
หลิงหลงตกใจยกใหญ่!
ทำไมพอนายเป็นราชการเต็มตัวแล้วถึงแสดงท่าทีเหมือนคนเบื้องบนเลยล่ะ
เมื่อก่อนนายไม่ใช่แบบนี้นี่นา!
เมื่อก่อนหากมีใครเอ่ยถึงผู้พิทักษ์รัตติกาล ทุกคนต่างจะแสดงท่าทีไม่พอใจพานรู้สึกว่าผู้พิทักษ์รัตติกาลไร้ศักยภาพ เพราะพอเมืองหยินเกิดเรื่องทีไรก็ไม่ค่อยให้ความช่วยเหลือสักเท่าไร
เจ้าเด็กตัวแสบ พอเลื่อนตำแหน่งให้หน่อยนายก็เปลี่ยนไปแล้วเหรอ
ส่วนหวังหมิงที่อยู่อีกฝั่งกลับเย้ยหยันดูถูก
เจ้าหมอนี่ปรับตัวตามสถานการณ์ได้เก่งจริงๆ
น่าไม่อาย!
หลี่ฮ่าวกลับยิ้มเอ่ย “ลูกพี่ลืมไปแล้วเหรอครับว่าพวกเราก็เป็นผู้พิทักษ์รัตติกาล!”
หากยังก่นด่าผู้พิทักษ์รัตติกาลต่ออีก เกรงว่าคงเหมือนกำลังก่นด่าตัวเองอยู่
“ลูกพี่ ในเมื่อเราเป็นผู้พิทักษ์รัตติกาลแล้วก็ควรรักษาเกียรติของผู้พิทักษ์รัตติกาลด้วย ซึ่งก็เท่ากับว่าเป็นการรักษาเกียรติของตัวเราเองเช่นกัน หากเอาแต่ก่นด่าทุกวันก็เท่ากับไม่ยอมรับตัวเอง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นทำไมต้องจัดตั้งสาขาย่อยของหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลด้วยละครับ”
หลิวหลงผงะไป เพราะเขายังตั้งรับไม่ทัน
เพราะเขาติดการใช้ชีวิตเมื่อก่อนไปแล้ว
เขาปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงในตอนนี้ยังไม่ค่อยได้จริงๆ หลี่ฮ่าวพูดถูก พวกเราเป็นผู้พิทักษ์รัตติกาลแล้ว
หากเอาแต่ตำหนิว่าผู้พิทักษ์รัตติกาลไร้ความสามารถ ความจริงก็เหมือนเป็นการตำหนิตนเอง
แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้สึกเป็นเกียรติก็คงไร้หนทางจะกลมกลืนกับระบบของผู้พิทักษ์รัตติกาลได้ แบบนี้ผู้พิทักษ์รัตติกาลจะลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อให้คนอื่นๆ เคารพนับถือและยำเกรงได้เช่นใด
“นั่นสิ…พวกเราเป็นผู้พิทักษ์รัตติกาลแล้ว!”
หลิวหลงอุทานขึ้นอย่างใจหาย จากนั้นก็โบกมือเตรียมไล่พวกเขาออกไป
หวังหมิงเองก็ไม่เกรงใจหมุนตัวเดินออกไปเลย
ทว่าพอเห็นหลี่ฮ่าวไม่ขยับตัวก็รู้สึกแปลกใจ เขาหันมามองหลี่ฮ่าวแวบหนึ่ง หลี่ฮ่าวฉีกยิ้มเอ่ยเสียงเบา “ผมยังมีเรื่องอื่นที่ต้องรายงาน”
ขณะที่พูดก็ขยิบตาให้ด้วย
หวังหมิงเข้าใจทันที!
คนที่สิบสินะ!
ดูท่าทางหลี่ฮ่าวอยากรายงานเรื่องคนที่สิบเพียงลำพัง เรื่องนี้เขาไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ช่างเถอะ เขาไม่ถามไถ่อะไรมากนักเพื่อหลีกเลี่ยงการแฉหลี่ฮ่าว
เขาจึงไม่ได้ซักไซ้อะไรแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว ถือว่าให้ความร่วมมือมากทีเดียว
……
ทันทีที่หวังหมิงออกไป
หลิวหลงก็ขมวดคิ้วเอ่ย “มีธุระเหรอ”
“ลูกพี่ครับ เราพบผู้แข็งแกร่งซ่อนตัวอยู่”
หลิวหลงรู้สึกเหนือคาดอยู่บ้าง “คุณเห็นเหรอ”
“เปล่าครับ ผมกับหวังหมิงสังเกตเห็นพร้อมกัน เขามีความสามารถพิเศษบางอย่าง…”
หลิวหลงมองเขาด้วยความคลางแคลงใจ จริงหรือ
เขาพูดไม่เป็นหรือไงถึงต้องให้นายมารายงาน
“หวังหมิงไม่อยากพูดครับ เจ้าหมอนั่นหยิ่งจะตาย เขาคิดว่าเขามาจากเมืองไป๋เยวี่ย ไม่อยากสนทนากับคนชอบวางอำนาจอย่างลูกพี่หรอกครับ!”
“……”
หลิวหลงฉงนมากกว่าเดิมแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “คุณไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมาเองหรอกใช่ไหม”
บางครั้งก็รู้สึกว่าเจ้าเด็กหลี่ฮ่าวร้ายกาจไม่เบาและไม่ใช่คนดีอะไรเลย แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าเขาใสซื่อไว้ใจได้ แต่ก็ซับซ้อนและวิปริตมากเช่นกัน
หลี่ฮ่าวฉีกยิ้มยิงฟันแต่ไม่ได้พูดอะไรอีก
หลิวหลงลอบด่าในใจทีหนึ่ง!
ต้องเป็นเรื่องที่เจ้าเด็กนี่แต่งขึ้นเองแน่นอน
“ว่ามา”
“ลูกพี่ครับ ผมขอถามประโยคหนึ่งว่าถ้ายมราช อัปสราและชาดจันทราสามองค์กรใหญ่ตั้งค่ายประจำการ ลูกพี่จะกำจัดทิ้งไหมครับ”
“แน่นอนสิ!”
หลิวหลงเอ่ยเสียงเย็นชา “ใช่ว่าสามองค์กรใหญ่จะเป็นคนเลวไปเสียทั้งหมด…แต่คนที่อยู่ในเมืองหยินในเวลานี้ล้วนเป็นคนเลวทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์แน่นอน! กำจัดคนเลว คุณลืมวัตถุประสงค์ของทีมล่าปีศาจไปแล้วเหรอ”
หลี่ฮ่าวย่อมสงสัยประเด็นอยู่แล้ว!
“ธำรงความเที่ยงธรรม!”
หลี่ฮ่าวพยักหน้าพลันเปลี่ยนสีหน้าก็ขรึมลง “ยกย่องความเที่ยงธรรม รักษาความเท่าเทียม กำจัดคนชั่วร้าย ปณิธานของทีมล่าปีศาจจะไม่มีวันดับสลายไปตลอดกาล”
หลิวหลงเอ่ยเสียงเรียบอย่างสงสัย “ว่ามา คุณไปเจอร่องรอยของสามองค์กรใหญ่นี้มาใช่ไหม”
“ครับ”
…………………………………………………………………