ตอนที่ 53 แฟนสาว
“ยังคิดถึงเรื่องรอยสักอยู่เหรอ”
ซย่าชิงอีพยักหน้าตอบ
“ถ้าคิดไม่ออกก็หยุดคิดได้แล้ว”
“ฉันไม่เห็นรอยสักข้างหลังน่ะค่ะ ถ่ายรูปให้ฉันหน่อยดูหน่อยสิคะ ฉันอยากเห็น”
โม่หันหักเลี้ยวเข้าข้างทางขณะตอบเสียงเรียบ “อืม”
จางหยางโทรหาซย่าชิงอีตอนที่เธอเรียนอยู่อีกแล้ว อาจารย์คนนี้เคร่งมาก โชคดีที่ปิดเสียงโทรศัพท์เอาไว้ เธอก้มลง แอบกดวางสายเงียบๆ
หลังจากนั้นก็ส่งข้อความไปหาอีกฝ่าย
[ฉันเรียนอยู่ค่ะ!]
เขาส่งข้อความกลับมาทันที [ผมมีข่าวดีมาบอกคุณ ฆาตกรถูกจับแล้วนะครับ]
[ค่ะ]
[ทำไมคุณดูไม่ตื่นเต้นเลยล่ะ ไม่อยากรู้ว่าจับเขาได้อย่างไรเหรอ!]
[แล้วคุณจับเขาได้ยังไงล่ะคะ]
[เราจับกุมเขาได้ในที่เกิดเหตุที่อาจารย์สาวถูกฆ่าเมื่อคืน ผมเล่าเรื่องที่คุณบอกเมื่อวันก่อนให้หัวหน้าฟัง เขาไม่เชื่อและบอกว่ามันดูลอยๆ เกินไป เพราะว่าผมส่งคนไปดูในที่เกิดเหตุไม่ได้ เลยวานให้เพื่อนบางคนช่วยไปตรวจดูกับผมเมื่อหลายคืนก่อน แล้วเราก็เจอใครบางคนยืนอยู่ที่จุดเกิดเหตุเมื่อคืนนี้ ทีแรกผมคิดว่าคงเป็นคนแปลกหน้าเฉยๆ แต่พอนึกถึงสิ่งที่คุณพูดก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เราเลยจับตัวเขาไว้]
[เขาขัดขืนหรือเปล่าคะ]
[ไม่ครับ ผมเองก็คิดว่ามันแปลกๆ เหมือนกัน เขาดูใจเย็นมากตอนที่ถูกจับกุม]
[ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนคะ]
[ที่สถานีตำรวจครับ รอสอบสวนอยู่]
เธออ่านข้อความที่เขาส่งมาและหยุดนิ้วที่กำลังพิมพ์ข้อความอยู่ ก่อนจะกดส่งกลับไปหาเขา
[เขาจะยังไม่ยอมให้การอะไรและแอบหัวเราะอยู่ในใจแน่ เขากำลังรอให้คุณปล่อยตัวเขาเพราะหลักฐานที่ไม่เพียงพออยู่]
หลังจากได้รับข้อความจากเธอ ใจเขาก็กระตุกวูบ เลี้ยวเดินไปทางห้องสอบสวนที่สุดทางเดิน เขายังไม่ได้เข้าไปจึงยังไม่รู้สถานการณ์ข้างในห้อง
จางหยางเข้าใจสิ่งที่เธอหมายถึง ฆาตกรฉลาดเป็นกรด เขาสวมถุงมือขณะก่อเหตุ และแม้เขาจะลงมือข่มขืนเหยื่อแต่ก็ไม่ทิ้งร่องรอยของคราบอสุจิเอาไว้บนร่างของเหยื่อเลย สิ่งที่พบมีเพียงสารหล่อลื่นจากถุงยางอนามัยและตัวอย่างดีเอ็นเอที่ได้จากเหยื่อทั้งสามคน แม้จะใช้เทียบกับดีเอ็นเอของเขาได้แต่ก็ยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะรู้ผล หากไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ยังไงพวกเขาก็ต้องปล่อยตัวเขาไป
[ถ้าเขาหลุดไปได้คงยากที่จะจับเขาได้อีกครั้ง]
เธอส่งข้อความหาเขาอีกครั้ง [ให้เขาดูรูปโป๊โดยเฉพาะผู้หญิงที่ดูยั่วยวนในชุดชั้นในสีแดง พูดบางอย่างยั่วยุเขา แล้วคุณจะได้ข้อมูลที่คุณต้องการ]
[จะได้ผลเหรอครับ]
[ไม่ลองแล้วจะรู้เหรอคะ ขอให้โชคดีแล้วกันค่ะ]
หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้รับข้อความตอบกลับมาอีก
บางครั้งคนเราก็มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการหลอกตัวเอง
มันอาจช่วยทำให้ลืมบางอย่างที่ต้องเผชิญมาทั้งชีวิต อาจช่วยให้ใจได้สงบและปล่อยให้ได้รู้สึกว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป
ในจังหวะที่ภาพลวงตานั้นจางหายไปคือช่วงเวลาที่ต้องกลับมาเผชิญหน้ากับความจริง ต้องตื่นขึ้นมาโดยที่ความทรงจำที่อยากลืมนักหนาไม่ได้หายไปไหน
สำหรับโม่หัน สายโทรศัพท์จากเฉินโหรวคือช่วงเวลานั้น
พวกเขาไม่ได้ติดต่อกันมานานมากแล้ว
ตอนที่ทะเลาะกันทางโทรศัพท์และตัดสินใจห่างกันสักพัก คือบทสนทนาสุดท้ายที่ได้คุยกัน มันผ่านมาเป็นเดือนแล้ว
เขาลังเลแต่ว่าเสียงโทรศัพท์ยังดังต่อเนื่องไม่หยุด จดสุดท้ายเขาก็ถอนหายใจออกมาแล้วกดรับสาย
ตอนที่ 54 แต่งงาน
[ถ้าฉันไม่โทรหาคุณก่อน คุณก็ไม่คิดจะโทรหากันเลยเหรอ] เฉินโหรวกล่าวเสียงตัดพ้อ
โม่หันวางปากกาลง “ไม่”
[ฉันรู้นะคะว่าคุณงานยุ่งมาก แล้วงานฉันไม่ได้ยุ่งเหมือนคุณเหรอ ฉันก็ทำงานหนักอยู่ทุกวันแล้วยังต้องเป็นฝ่ายโทรไปง้อคุณก่อนทุกครั้งที่เราทะเลาะกันอีก]
“ผมขอโทษ” เขาเอ่ย
หลังจากได้ยินคำขอโทษของเขา เฉินโหรวก็ใจเย็นลงเล็กน้อย [เราไม่ได้ติดต่อกันมาเป็นเดือนแล้วใช่ไหมคะ]
“ครับ”
พวกเขาคบหากันมาสามปีแล้ว เธอไม่เคยทะเลาะกับเขารุนแรงนักและหลายครั้งก็เรียกได้ไม่เต็มปากว่าเป็นการทะเลาะ แค่เธอบ่นเรื่องงานที่รับผิดชอบอยู่กับเขาแต่โม่หันกลับไม่เห็นด้วยกับความคิดของเธอ เขาก็เลยเอ่ยปากบอกว่าเธอใจร้อนเกินไป เธอที่อารมณ์ไม่ดีเพราะโดนเจ้านายตำหนิมาอยู่แล้ว พอได้ยินเขาพูดแบบนั้นก็เลยลงเอยด้วยการทะเลาะกัน
ปกติแล้วทุกครั้งที่เธออารมณ์ไม่ดี เขามักจะเงียบและไม่เคยเถียงเธอกลับ พวกเขาเป็นอย่างนี้กันมาตลอดเวลาที่คบหากัน นั่นยิ่งทำให้เธอโกรธที่เขาเอาแต่ปิดปากเงียบทุกครั้งที่ทะเลาะกัน โกรธจนบอกให้เขาเลิกติดต่อกับเธอและขอห่างกันสักพัก
[โม่หัน เลิกทำสงครามประสาทกับฉันแล้วคืนดีกันเถอะนะคะ]
“ได้สิครับ”
[ฉันคิดถึงคุณนะคะ] เธอพูดเสียงอ่อน [โม่หัน คุณอยากมาที่อเมริกาไหมคะ]
“เราไม่ได้คุยเรื่องนั้นกันรู้เรื่องแล้วหรือ ผมไม่อยากไปทำงานที่นั่น”
[ทำไมคุณถึงไม่อยากมาทำงานที่นี่ล่ะคะ โอกาสให้คุณได้เติบโตในหน้าที่การงานก็มีมากกว่า อีกอย่างพ่อแม่ของคุณก็อยู่ที่นี่ด้วยนี่ จะได้ไปมาหาสู่กันสะดวกด้วยยังไงคะ]
เขายังคงนิ่งเงียบ ไม่อยากบอกเธอว่าเพราะว่าพ่อแม่ที่ทำให้ไม่อยากย้ายไปอยู่ที่อเมริกา
ว่ากันตามจริงคือเขาไม่ได้เล่าเรื่องของพ่อแม่ของตัวเองให้เธอฟังสักเท่าไหร่ เขาเองไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกท่านตั้งแต่เด็กแล้ว พวกเขาพูดคุยกันเฉพาะเรื่องงานและไม่ค่อยได้มียุ่งเรื่องส่วนตัวกันมากนัก เธอรู้เพียงว่าพ่อแม่ของเขาอยู่ที่อเมริกาขณะที่เขาย้ายกลับมาทำงานที่จีนตั้งแต่เรียนจบจากมหาวิทยาลัย
“ถ้าคุณอยากให้ผมไปหาคุณที่อเมริกา ผมจะหาเวลาบินไปหา แต่ถ้าหมายถึงย้ายไปทำงานที่นั่นล่ะก็ ก็เลิกพูดไปได้เลย”
[แต่ถึงยังไง เราก็ต้องแต่งงานกันอยู่ดี เราอยู่ห่างกันแบบนี้ไปตลอดไม่ได้หรอกนะคะ จะช้าจะเร็วเราก็ต้องหาที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง แล้วก็ต้องแวะไปหาพ่อแม่ของคุณด้วย เพราะงั้นการย้ายมาอยู่ที่นี่เป็นทางที่ดีที่สุดแล้วนะคะ!] เฉินโหรวไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเอาแต่ปฏิเสธที่จะย้ายมาที่นี่ ในเมื่อเขาจะได้รับโอกาสในหน้าที่การงานที่ดีกว่าและสร้างชื่อเสียงให้เขาได้มากกว่าเมื่อเทียบกับการทำงานที่จีน
เขาแปลกใจที่ได้ยินเธอพูดถึงเรื่องการแต่งงาน โม่หันรู้สึกว่ายังเร็วเกินไปที่จะคิดถึงเรื่องนี้ อีกทั้งเขายังไม่เคยคิดที่แต่งงานแล้วย้ายไปตั้งรกรากอยู่ที่อเมริกาด้วย “เฉินโหรว คุณอาจจะกำลังเข้าใจผิดอยู่นะ ผมไม่เคยพูดว่าจะกลับไปที่นั่น ผมมีหน้าที่การงานอยู่ที่นี่และยังไม่คิดจะไปจากที่นี่ด้วย”
เฉินโหรวโมโหที่ได้ยินดังนั้น [ฉันไม่อยากทะเลาะกับคุณอีกหลังจากที่เราเพิ่งจะคืนดีกันนะคะ เอาเป็นว่าเราคุยเรื่องนี้กันครั้งหน้าเถอะค่ะ]
คนฟังนิ่งเงียบ
[เอาอย่างนั้นแล้วกันค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะ ไว้เราคุยกันครั้งหน้าแล้วกัน] เธอไม่รอให้เขาพูดอะไรและวางสายไป
โม่หันมองหน้าจอโทรศัพท์พลางถอนหายใจ รู้สึกอึดอัดอยู่ข้างใน กดปิดโทรศัพท์และวางไว้ข้างๆ ก่อนทำงานตรงหน้าต่อ