ตอนที่ 135 ไร้อารมณ์
ซย่าชิงอีอยู่โรงพยาบาลไม่นาน ทีแรกหมอบอกว่าเธอสามารถย้ายไปห้องธรรมดาเพื่ออยู่ดูอาการต่อได้ แต่เธอยืนยันว่าเธอไม่เป็นไรและต้องการกลับไปพักผ่อนที่บ้าน
โม่หันรู้ว่าเธอไม่ชอบนอนที่โรงพยาบาลนักจึงไม่ได้ห้ามอะไร
ทุกครั้งที่เธอเดินไปตามโถงทางเดิน เธอมักจะเร่งฝีเท้าราวกับต้องการจะเดินผ่านไปเร็วๆ เหมือนกับอาการบาดเจ็บจางหายไปในทันที
เขาไม่ได้ห้ามเธอ ด้วยต้องการให้เธอรู้สึกดีขึ้น ไม่อยากเห็นเธอต้องทุกข์ทรมานในโรงพยาบาล
เมื่อถึงเวลาที่จะออกจากโรงพยาบาล เธอนั่งอยู่บนเตียง มองโม่หันที่ยืนตรงหน้าก่อนถามขึ้น “พี่ไม่ไปทำงานเหรอคะ”
“ไม่”
“ทำไมล่ะคะ” เด็กสาวรู้สึกสงสัยขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเฝ้าอยู่ที่ห้องคนไข้ตลอดเวลาตั้งแต่ที่เธอนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล เขาไม่ได้เห็นเรื่องงานสำคัญที่สุดหรอกหรือ แม้เธอจะป่วยอยู่ก็เถอะ แต่ผ่านมาสองวันแล้วและเธอก็ออกจากโรงพยาบาลแล้วด้วย ทำไมเขายังอยู่ที่นี่อีก
“ช่วงนี้ที่บริษัทไม่ค่อยยุ่งน่ะ” เขาหยิบเสื้อผ้าของเธอที่ถูกพับเก็บมาจากโรงพยาบาล
“ก่อนหน้านี้พี่ไม่ได้บอกว่าเพิ่งรับทำคดีที่ยากเหรอคะ”
“พี่ให้ทนายเหลียวทำแทนแล้ว เขาวางใจได้” เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้กังวลเรื่องนี้สักเท่าไร เขาเดินไปที่หน้าต่าง ดึงผ้าม่านลงบังแสงจากด้านนอก
“แต่ว่า… ไม่… พี่กลับไปเถอะ ฉันจัดการตัวเองได้ค่ะ”
“เธอจะจัดการได้อย่างไร ใช้มือที่ยังถูกพันด้วยผ้าพันแผลน่ะหรือ”
“ฉัน ฉันทำได้ค่ะ อาจจะช้าไปหน่อยแต่ก็ทำได้นะคะ” เธอเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย
“เธอพักผ่อนไปเถอะน่า พี่รู้ดีที่สุดว่าต้องกลับไปทำงานตอนไหน พี่คิดเอาไว้แล้ว” เขาว่าขึ้นอย่างต้องการเปลี่ยนเรื่อง “คืนนี้เธออยากกินอะไร เอาอาหารอ่อนๆ นะ”
“อะไรก็ได้ค่ะ ฉันไม่ค่อยหิว”
เขาเอ่ย “เดี๋ยวพี่จะไปต้มข้าวต้มให้ ถ้าเธอเหนื่อยก็นอนหลับพักผ่อนบนเตียงไปก่อน”
เธอรู้สึกตกใจและไม่คุ้นชินกับการเปลี่ยนไปของเขา ซย่าชิงอีคิดว่ายังมีอีกหลายเรื่องของโม่หันที่เธอยังคงไม่เข้าใจและอีกหลายอย่างเกี่ยวกับตัวเขาที่เธอรู้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอใช้เพียงสัญชาตญาณของตัวเองในการตัดสินสิ่งต่างๆ
อย่างการที่โม่หันรักการทำงานและเป็นคนเฉยชา
อย่าง…การที่เธอทึกทักเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับเขาไปเอง
“พี่สมัครอบรมไว้ให้เธอแล้ว หลังจากเธอหายดีค่อยไปเรียน” เขาว่าขึ้นกลางโต๊ะอาหาร
“อบรมเหรอคะ”
“อบรมศิลปะการป้องกันตัวสำหรับผู้หญิง” เขาพูดเสียงเรียบขณะที่หยิบผักบนโต๊ะ
เธอเกือบจะพ่นผักในปากออกมา “พี่ไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่ไหมคะ”
“ไม่” ท่าทางจริงจังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “พี่คิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว พี่ไม่สามารถอยู่ข้างเธอได้ตลอดเวลา ถ้าหากวันไหน…เกิด…เหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมา พี่อยากให้เธอสามารถปกป้องตัวเองได้”
เขากล่าวสำทับ “พี่ไม่อยากเห็นเธอเข้าโรงพยาบาลอีกแล้ว”
“ฉันก็ไม่อยากเข้าโรงพยาบาลเหมือนกันค่ะ” เธอพูดขึ้นเบาๆ
“งั้นก็ควรต้องไปเรียนเอาไว้”
“แต่ว่า… ศิลปะการป้องกันตัวก็ดูน่าจะเหนื่อย เรียนได้วันเดียวฉันคงปวดเอวปวดขาไปหมดแน่ๆ ”
“ก็ยังดีกว่านอนที่โรงพยาบาลไหม”
เธอไม่ต้องการถูกบังคับให้เรียนศิลปะป้องกันตัวทันทีหลังออกจากโรงพยาบาล แค่ได้ยินเกี่ยวกับมันก็รู้สึกหนึบชาขึ้นมา คิดไปไกลถึงตอนที่โดนครูฝึกโยนลงบนพื้น มันต้องเจ็บมากแน่ๆ
“ฉันสาบานเลยว่าเหตุการณ์แบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกเด็ดขาดค่ะ” เธอยกมือขวาที่ถือตะเกียบไว้อยู่และกล่าว “อย่าให้ฉันไปเรียนศิลปะป้องกันตัวเลยนะคะ ตอนนี้ฉันไม่อยากขยับตัวเลยสักนิดเดียว”
“ไม่ต้องมาเถียงเลย พี่จะไปรับไปส่งเธอที่ชั้นเรียนเอง” เขาพูด
“แต่ว่า… จริงๆ ฉัน…” ซย่าชิงอียังคงแย้งขึ้น
“เลิกพูดได้แล้ว กินข้าวของเธอไป อาหารเย็นชืดหมดแล้ว” โม่หันเอ่ยยืนกรานเรื่องนี้
ตอนที่ 136 ใส่เสื้อผ้า
ไม่กี่วันถัดมา โม่หันก็ทำตามที่ตัวเองว่าไว้ เขาส่งซย่าชิงอีไปเรียนทุกวันแม้ว่าเขาจะต้องวนกลับไปทำงานก็ตาม
เธอใช้ชีวิตประจำวันอย่างทุลักทุเลเล็กน้อยเพราะเฝือกที่แขนยังไม่ถูกถอดออก ตลอดช่วงนี้เขามักจะเดินไปช่วยเธออย่างเงียบๆ
มีครั้งหนึ่งที่ข้อศอกของเธอติดตอนที่กำลังใส่เสื้อคลุม เธอเบ้หน้าด้วยความเจ็บขณะที่ใช้มือขวาดึงมือซ้ายออกมาจากแขนเสื้อ เขาที่เห็นดังนั้นก็เดินเข้ามาช่วยเธอสวมเสื้อและรูดซิปขึ้นให้ด้วยท่าทางคล่องแคล่วและระมัดระวัง ทุกครั้งที่เขาทำเช่นนี้ เธอมักจะเกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างแรงว่าเขาไปกินยาผิดมาจากไหน
หรือว่าพี่ชายของเธอเปลี่ยนไปโดยที่เธอไม่รู้ตัว
โม่หันไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่เขาก็ยังแบ่งเวลาไปรับเธอจากมหาวิทยาลัย จนกว่าจะถอดผ้าพันแผลออกจากมือขวา เขาจึงจะเลิกไปรับเธอหลังจากเธอยืนกรานปฏิเสธเขาหนักแน่นและให้กลับด้วยรถสาธารณะอย่างที่เธอเคยทำ
จนกระทั่งถึงช่วงวันหยุดที่เธอได้ถอดผ้าพันแผลเสียที เธอตัดสินใจไปเดินดูและซื้อของกับเพื่อนใหม่ไม่กี่คนเพื่อฉลองที่กลับมาใช้มือได้อีกครั้ง
พวกเขาแยกกันที่ถนนในช่วงเย็น ซย่าชิงอีเดินไปตามถนนคนเดียวและเมื่อเธอหันขวับไปมองก็เห็นคนที่คุ้นตาอยู่ด้านขวามืออีกฟากของถนน
“ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่ได้เนี่ย” เธอตะโกนฝ่ารถที่ขับสวนไปมาอย่างไม่เชื่อว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าในเวลานี้
บนทางม้าลายที่คั่นระหว่างถนนสองสาย เธอตั้งท่าจะวิ่งข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่ง แต่ไฟแดงก็ติดขึ้นให้เธอหยุดก่อน เธอยืนและส่งยิ่มขณะที่โบกมือให้เขาที่อยู่อีกฟากของถนน
โม่หันอยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเรียบร้อย ยืนตรงอย่างกับท่อนไม้อยู่อีกด้านของถนน ถือกระเป๋าเอกสารไว้ในมือ ท่ามกลางฝูงชนที่เดินผ่านไปมา สายตาของเธอประทับอยู่ที่เขาเพียงคนเดียว
เมื่อไฟเขียวสว่างขึ้น เธอก้าวเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้า
“ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่ได้ล่ะคะ” เธอเอ่ยถามซ้ำ
เขาจัดเสื้อกันหนาวที่ไหลลงจากบ่าขณะที่เธอวิ่งมาหาให้อีกฝ่าย “ศาลอยู่แถวๆ นี้น่ะ พี่มีธุระต้องคุยกับผู้พิพากษาและยื่นเอกสารให้เขา”
“โอ้ อย่างนั้นพี่ก็ต้องกลับไปทำงานอีกสิคะ”
เขาก้มมองนาฬิกาก่อนส่ายศีรษะ “ไม่ล่ะ พี่เพิ่งจ้างพนักงานใหม่มาเพิ่ม ให้พวกเขาจัดการเรื่องที่เหลือต่อ พี่จะกลับบ้านแล้ว”
เธอเดินตามฝีเท้าเขาไปตามริมถนน “พนักงานใหม่เหรอคะ แต่ก่อนพี่ไม่ค่อยชอบรับพนักงานใหม่ไม่ใช่เหรอ”
เขายิ้มบางๆ “มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะ”
“พี่ขับรถมาที่นี่เหรอคะ”
“ใช่ แต่ไม่มีที่จอดรถแถวนี้ พี่เลยจอดทิ้งไว้ที่ถนนข้างหน้า ต้องเดินข้ามไปนิดหน่อย”
เธอยกยิ้ม “ดีเลยค่ะ ฉันจะได้กลับบ้านกับพี่”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย คนมองอย่างเขาก็อดยิ้มตามไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ”
เขาเดินไปอีกไม่กี่ก้าว ก่อนเห็นซย่าชิงอีเลียริมฝีปากและกลืนน้ำลาย เขามองไปที่เธอ “เธอหิวน้ำเหรอ”
เธอเหลือบมองเขาและพยักหน้ารับ “นิดหน่อยค่ะ”
“อยากดื่มอะไรล่ะ”
“อืม… อะไรก็ได้ค่ะ… อาจจะเป็นเครื่องดื่มเย็นๆ สักอย่าง”
“ไปที่นั่นกัน” เขาเห็นว่ามีร้านชานมอยู่ข้างหน้า ก่อนพูดกับเธอที่อยู่ข้างๆ เขา
เธอนั่งบนราวเหล็กริมถนนและส่ายหน้า “พี่ไปสิคะ ฉันเหนื่อย อยากนั่งพักตรงนี้สักพัก”
“งั้นห้ามเดินไปไหน อยู่ตรงนี้ดีๆ อย่าไปซนที่ไหน”
เธอพยักหน้ารับรู้และทิ้งน้ำหนักลงบนราว ไขว้ขาข้างหนึ่งทับอีกข้างพลางมองอีกฝ่ายซึ่งห่างออกไปที่ตัวเล็กลงเรื่อยๆ
ซย่าชิงอีอยากจะหัวเราะออกมาอีกครั้ง แค่คิดว่าคนคนนี้จะซื้อบางอย่างมาให้เธอในขณะที่เธอทำเพียงนั่งรอเฉยๆ ก็ทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นมาถนัดตา