ตอนที่ 131 ใบหน้าของฉัน
“พี่ควรกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้านะคะ ตอนนี้สภาพพี่ดูไม่จืดเลย” ซย่าชิงอีที่ยังมีสติอยู่ส่งยิ้มพลางเอ่ยกับโม่หันซึ่งนั่งอยู่บนเตียง
เขายิ้มตอบกลับมาเช่นกัน “อืม เดี๋ยวพี่รีบกลับมานะ”
เขามองอีกฝ่ายค่อยๆ หลับลงไปขณะที่นั่งอยู่บริเวณขอบเตียง วางมือบนผ้าห่มบนตัวเธอเพื่อสัมผัสจังหวะหายใจที่แผ่วเบาของเธอ ราวกับเป็นหนทางเดียวที่ทำให้หัวใจของตัวเองกลับมาเต้นเป็นปกติ
ในที่สุดโม่หันก็ออกไป เขาฟังคำที่เธอบอกและกลับบ้านไปอาบน้ำ ในตอนนั้นเองที่ได้เห็นตัวเองผ่านกระจกที่มัวไปด้วยไอในห้องน้ำ และพบว่าสภาพตัวเองเป็นอย่างที่ซย่าชิงอีว่าไว้ ทั้งไรหนวดที่ขึ้นให้เห็นรำไรบนใบหน้า
เขายกยิ้มพลางหยิบเครื่องโกนหนวดมาจัดการไรหนวดบริเวณคางให้สะอาด เช็ดผมขณะที่เดินออกมาใส่เสื้อผ้า
เขาอยู่ที่บ้านไม่นาน หลังจากอาบน้ำเสร็จก็เดินไปหยิบของใช้จำเป็นและเสื้อผ้าบางชุดในห้องของซย่าชิงอีที่เธอจำเป็นต้องใช้ และรีบมุ่งหน้ากลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง
ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นอีกเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายอยู่ที่โรงพยาบาลคนเดียว
ทว่าครั้งนี้เธอนอนหลับไปนาน หลังจากเขามาถึงโรงพยาบาลและนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงอยู่สองชั่วโมง เธอก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา
“ดูเหมือนตอนนี้น้องสาวของคุณจะอาการดีขึ้นแล้วนะครับ เธอสามารถย้ายไปพักฟื้นที่ห้องปกติได้ถ้าภายในสองวันนี้ไม่มีอาการผิดปกติอะไร”
หมอที่เวียนมาตรวจยืนข้างเตียงของซย่าชิงอีพักหนึ่ง ระหว่างที่ใช้เครื่องฟังตรวจฟังเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจ
“อย่าลืมกลับมาตัดไหมหลังจากนี้สองอาทิตย์ด้วยนะครับ ช่วงหลายสัปดาห์นี้ ห้ามให้เธอกินของเผ็ดหรือของเปรี้ยว ให้กินแต่อาหารอ่อนๆ แผลของเธอจะได้หายเร็วขึ้นครับ” หมอหนุ่มพูดต่อ
“ครับหมอ” เขาตอบก่อนเอ่ยถามพลางมองไปทางเด็กสาว “มือของเธอไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
“ไม่ได้ร้ายแรงนักครับ กระดูกแตกเล็กน้อยแล้วก็เส้นเอ็นพลิก ช่วงนี้อย่าให้เธอใช้มือซ้ายมาก ปล่อยให้มันฟื้นตัวเอง ไม่อย่างนั้นอาจจะกระทบกับการฟื้นตัวของกระดูกหลังจากนี้”
เขาถามซ้ำ “ปล่อยให้เธอนอนหลับไปแบบนี้จะไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
อีกฝ่ายตอบ “ปล่อยให้เธอได้พักผ่อนเถอะครับ เธอคงอ่อนเพลีย ไม่มีปัญหาอะไรครับ คุณไม่ต้องปลุกเธอก็ได้ครับ”
ก่อนหันมามองหน้าเขา “อีกอย่างที่คุณน่าจะระวังเป็นพิเศษ ผมได้ยินว่าเธอไม่ได้ใส่เสื้อผ้าตอนถูกส่งตัวมาที่นี่ เธอ…”
“แค่เกือบแต่ไม่ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นอย่าลืมปลอบเธอหลังจากเธอตื่นขึ้นมาหน่อยนะครับ เธออาจจะได้รับผลกระทบทางจิตใจหลังจากผ่านเรื่องแบบนั้นมา พยายามอย่าให้เกิดปัญหาทางจิตใจจากเรื่องนี้จะดีกว่าครับ”
“ผมรู้ครับ”
หลังจากหมอเดินออกไป โม่หันทิ้งตัวนั่งอยู่ข้างเตียงของซย่าชิงอีระหว่างรอให้เธอตื่น
ราวครึ่งชั่วโมงต่อมาเธอก็รู้สึกตัว
สิ่งแรกที่เธอเห็นเมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นมาคือโม่หัน เธอส่งยิ้มให้เขาทั้งท่าทีที่ยังสะลึมสะลืออยู่
“พี่กลับมาแล้วเหรอ” เธออ้าปากส่งเสียงถาม
โม่หันขยับเข้ากุมมือเธอไว้ “อื้ม”
“ปวดหัวจังเลยค่ะ” เธอได้สติมากขึ้น
“อีกไม่นานก็จะหายแล้วนะ”
เธอเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะมองเฝือกที่มือซ้ายของเธอ ขยับร่างกายไปไหนไม่ได้ขณะที่ยังมีสายน้ำเกลือเสียบยึดด้วยผ้าปิดแผลอยู่ที่มือขวา
“มือของฉัน…หักเหรอคะ”
“เปล่าน่ะ แค่กระดูกแตกเล็กน้อย เธอต้องเข้าเฝือกไว้และปล่อยให้มันฟื้นตัวอีกสองสามอาทิตย์”
“อ่า? นานขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ไม่นานหรอกน่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรักษาตัวให้หายดีต่างหาก”
“มีกระจกไหมคะ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับหน้าของฉันใช่ไหมคะ”
เขายิ้ม “หน้าเธอยังอยู่ดี ดีมากด้วย”
“ส่งกระจกมาให้หน่อยสิคะ เอามาให้ฉันดูหน่อย ฉันไม่สบายใจนี่คะ” เธอมุ่ยหน้า
ตอนที่ 132 คู่รักแสนหวาน
เพราะเธอขยับมือไม่ได้โม่หันจึงช่วยประคองเธอขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียง จากนั้นจึงหยิบกระจกที่อยู่ข้างๆ และวางไว้ตรงหน้าเธอ
“น่าเกลียดจัง! เมื่อวานฉันตากฝนมาทั้งวันแถมไม่ได้อาบน้ำ แล้วทำไมทรงผมถึงเป็นอย่างนี้ได้ล่ะเนี่ย” ซย่าชิงอีมองกระจกสำรวจตัวเองอย่างละเอียด ท่าทางเหมือนเด็กที่ไม่ได้กินของหวาน
“มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย”
“ไม่แย่ยังไงคะ ฉันอยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนนี้สภาพน่าเกลียดจังเลย!” เธอโวยวาย
ตอนแรกโม่หันกังวลว่าเธอจะเป็นอย่างที่หมอหนุ่มบอกไว้ ร่างกายเธอได้รับบาดเจ็บไปทั่วตัวแล้ว เขาไม่อยากให้สภาพจิตใจของเธอย่ำแย่เพราะเรื่องนี้อีก แต่ดูจากท่าทางของเธอตอนนี้แล้วเขาก็แอบพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ
“เธอบาดเจ็บที่หัวอยู่ จะอาบน้ำสระผมได้ยังไง รอให้อาการดีขึ้นก่อนค่อยอาบน้ำ”
“หา? ไม่มีทางค่ะ…! มองฉันสิ ดูสภาพฉันตอนนี้สิคะ ฉันต้องทรมานแทบตายแน่ๆ ถ้าไม่ได้อาบน้ำ ฉันจะออกไปสู้หน้ากับคนอื่นได้ยังไงถ้ายังอยู่ในสภาพน่าเกลียดแบบนี้” เธอยังคงบ่นพึมพำขณะที่มองตัวเองในกระจก
“อย่างนั้นก็ไม่ต้องออกไปเจอใคร อยู่พักฟื้นแต่ในโรงพยาบาลนี่แหละ” เขาดึงกระจกออกและวางคว่ำหน้าลงกับโต๊ะ “ตอนนี้คิดว่าอยากกินอะไรดีกว่า”
“กินเหรอคะ! ฉันน่าเกลียดขนาดนี้แล้ว” เธอเอ่ยคร่ำครวญ
“เธออยากกินอะไร” เขาถามซ้ำ
อีกฝ่ายจ้องเขาและทำหน้ามุ่ยใส่ “พี่จะซื้อของที่ฉันอยากกินให้งั้นเหรอ”
“แล้วอยากกินอะไรล่ะ”
“อาหารทะเลค่ะ” เธอว่าขึ้น
“เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ตอนนี้เธอกินไม่ได้ กินได้แต่อาหารอ่อนๆ ”
“เห็นไหมล่ะคะ! เหมือนที่ฉับบอกเลย! พี่ก็ไม่ยอมซื้อของที่ฉันอยากกินให้!”
“พี่จะให้เธอกินหลังจากที่หายดีแล้ว ตอนนี้กินอาหารอ่อนๆ อย่างข้าวต้มไปก่อน เดี๋ยวพี่จะซื้อมาให้”
“พี่ตัดสินใจเองไปแล้วนี่ ฉันจะพูดอะไรได้ล่ะ ข้าวต้มก็ได้ค่ะ”
คนไข้ข้างเตียงของเธอที่ได้ยินพวกเขาพูดคุยกันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “พวกคุณเป็นคู่รักที่น่ารักมากเลยนะครับ ผมเจอพวกคุณแค่แวบเดียวยังรู้สึกได้เลยครับ”
ซย่าชิงอีหันขวับไปมองคนไข้คนนั้นก่อนหันกลับมามองโม่หันที่สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปสักนิด และหัวเราะออกมา “เราไม่ใช่คู่รักกันนะคะ… เรา…”
“โอ้… ผมเข้าใจครับๆ … ยังจีบเธอไม่ติดใช่ไหมล่ะ นี่เขา… เอาน่า… เห็นเธอสองคนแบบนี้แล้ว เดี๋ยวก็คงได้คบกันเร็วๆ นี้แหละ”
เธอยกยิ้มกว้างขึ้น “มันไม่ใช่… อย่างที่คุณคิด…”
โม่หันเอ่ยขัดเธอขึ้นมา พลางดึงผ้าห่มขึ้นให้เธอซุกตัวไปข้างใต้ “อย่าหัวเราะแรงสิ เธอยังไม่หายดี”
คนไข้คนเดิมว่าขึ้น “ยังจะมาบอกว่าไม่ใช่อีก… เขาเป็นผู้ชายในอุดมคติเลยนะ รีบตกลงคบกับเขาเร็วเข้า!”
ซย่าชิงอีกล่าว “คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะค่ะ เขาเป็นพี่ชายของฉันต่างหาก”
อีกฝ่ายอึ้งไปเล็กน้อย “โอ้ พี่ชายแท้ๆ เหรอ”
เธอตอบ “ค่ะ ก็ประมาณนั้น”
คนไข้หนุ่มมองใบหน้าของผู้ชายท่าทางเย็นชาตรงหน้า ยิ้มบางๆ และก้มศีรษะให้
เขารู้สึกประหม่าไปเล็กน้อย “เป็นอย่างนั้นนั่นเอง… ผมขอโทษด้วยนะครับ… ที่เข้าใจผิดไป แต่พวกคุณสองคนดูสนิทสนมกันมากเลย”
เธอเอนตัวพิงกับหัวเตียงขณะพูดคุยกับเขา “ดูพี่ชายฉันสิคะ เขาดูเย็นชาจะตาย เพราะตอนนี้ฉันป่วยอยู่ เขาเลยดูแลฉันดีขึ้นต่างหากค่ะ”
“ก็ยังดีกว่าไม่มีใครมาเยี่ยมตอนป่วยสักคนแบบผมนะครับ”
โม่หันนั่งฟังพวกเขาคุยกันอยู่ข้างเตียง ทว่าสายตากลับไม่ละไปจากซย่าชิงอีแม้แต่น้อย
ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น มันเป็นสายจากบริษัท เขาลุกขึ้นบอกเธอว่าจะออกไปรับสาย ก่อนถือโทรศัพท์เดินออกไปที่โถงทางเดิน
“เอ๊ะ… คุณได้รับบาดเจ็บมายังไงครับ ผมเห็นคุณมีรอยเย็บที่ศีรษะ แล้วนี่แขนหักด้วยเหรอครับ”
เธอตอบ “ฉันหกล้มน่ะค่ะ เดินไม่ทันระวังเลยสะดุดหินก้อนใหญ่ ศีรษะเลยกระแทกกับมันเข้า”
“โชคร้ายจังเลยนะครับ”
เธอถอนหายใจและแหงนหน้ามองเพดาน “ค่ะ ฉันโชคไม่ค่อยดีเท่าไร”