ตอนที่ 137 เนี่ยนเนี่ยน
การที่มีคนหล่อๆ แถมยังไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่นนักมาซื้อของให้เธอแบบนี้มันก็ดีไม่น้อย
ซย่าชิงอีรู้สึกราวกับหัวใจถูกเติมเต็มจนแทบระเบิดขึ้นมาทันที ความสุขฉายแววผ่านดวงตาของเธอ
ในจังหวะที่เธอกำลังดื่มด่ำกับความสุข อยู่ๆ เสียงของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลัง
“เนี่ยนเนี่ยน” น้ำเสียงแฝงไปด้วยความรักใคร่ เธอหันมองผู้คนรอบตัวที่เดินผ่านไปมาไม่หยุดอย่างรีบเร่ง ไม่แม้แต่หันมองด้านหลังของพวกเขา
“เนี่ยนเนี่ยน…” คนคนนั้นตะโกนขึ้นอีกครั้ง
ซย่าชิงอีรู้สึกแปลกๆ เธอยืดตัวตรงและหันหลังไปมองคนที่ตะโกนมา
เหมือนกับเวลาหยุดเดินในจังหวะที่เธอหันหน้าไปด้านหลัง ทั้งโลกตกอยู่ในความเงียบและนิ่งค้าง แม้แต่ฝุ่นเม็ดเล็กๆ ที่ลอยอยู่ยังหยุดไม่ไหวติงกลางอากาศ
เธอนิ่งค้างอยู่ในท่าเดิม เส้นผมปลิวไปตามสายลม
หลายปีหลังจากนั้น ซย่าชิงอียังคงคิดว่าถ้าหากในตอนนั้นเธอไม่ได้หันไป ถ้าหากแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินประโยคนั้น ถ้าหากตอนนั้นเดินไปกับโม่หัน สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจะแตกต่างไปจากเดิมหรือเปล่า และมันจะดีกับตัวเธอมากกว่าหรือไม่
เว้นเสียแต่ว่าไม่มีสิ่งที่เกิดจากคำว่าถ้าหากในโลกใบนี้
ซย่าชิงอีหันกลับไปมองในวันนั้น
เธอเห็นผู้ชายที่ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตา เธอจำไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร
ท่าทีแบบนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน เขาจ้องมองมาและไม่กล้าที่จะก้าวมาข้างหน้า แม้ประโยคเพียงเท่านั้นของเขาจะทำให้หลายสิ่งเปลี่ยนไป
ถึงแม้จะมีผู้คนเดินผ่านไปมามากมาย แม้จะมีถนนกว้างคั่นระหว่างพวกเขา ทว่าเธอก็ยังรู้สึกถึงสายตาของเขาที่จ้องมองมาที่เธอ
ทั้งเขาและเธอจ้องมองกันจากคนละฟากถนน แววตาของเธอยังคงไม่เปลี่ยนไปและนิ่งเงียบ ชายที่ยืนฝั่งตรงข้ามนิ่งงันและทำเพียงส่งยิ้มให้เธอพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาตามใบหน้าของเขา
“มีอะไรเหรอ” โม่หันที่กลับมาแล้วยื่นแก้วชานมส่งให้เธอ
เธอหันกลับและรับแก้วมาก่อนส่ายหน้า “ไม่มีอะไรค่ะ ไปกันเถอะ”
เธอดึงโม่หันให้เดินตามไปข้างหน้าและยืนอยู่ข้างๆ เธออย่างไม่ต้องการให้เขาเห็นชายคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม
จากนั้นก็เร่งฝีเท้าระหว่างที่เดินไปข้างหน้า รู้สึกอยู่ในใจลึกๆ ราวกับจะถูกดึงในจมลงไปในอดีตหากเธอมองกลับไป
และเธอไม่ต้องการให้เรื่องราวในอดีตกลับมาทำร้ายเธออีก
“เนี่ยนเนี่ยน!” ชายคนนั้นตะโกนดังลั่นอีกครั้ง เสียงแหบของเขาดังก้องไปทั่วบริเวณถนน
ทั้งโม่หันและซย่าชิงอีชะงักเท้า เขาหันหน้าไปแต่เธอดึงเสื้อเขาไว้ให้เดินต่อไปข้างหน้า
โม่หันเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินฝ่าฝูงคนจากฝั่งตรงข้ามตรงมาหาพวกเขา เขาลูบหลังมือเธอเบาๆ ก่อนเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไรนะ”
ชายคนนั้นวิ่งหอบจนมาถึงตัวของซย่าชิงอี เขาไม่ได้มองโม่หัน สายตาของเขากลับจ้องไปที่เธอจากด้านหลัง เธอครุ่นคิดและหันกลับไปมองเขา
เขาเตี้ยกว่าโม่หันเล็กน้อย รูปร่างหน้าตาดูโดดเด่น เว้นเสียว่าตอนนี้ท่าทางของเขาดูเหนื่อยล้าและผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เขาคงไม่ได้ตัดผมมานานมากแล้ว พร้อมรอยคล้ำใต้ตาและไรหนวดเขียวครึ้มที่คาง
“เนี่ยนเนี่ยน…” เขาพึมพำขณะที่จ้องมองเธอ
“คุณคะ คุณจำคนผิดแล้วล่ะค่ะ ฉันชื่อซย่าชิงอีต่างหาก” เธอสบตามองเขา ตอนแรกคิดว่าตัวเองคงประหม่าไม่มากก็น้อย แต่แปลกที่เธอกลับไม่ได้รู้สึกมากขนาดนั้นเหมือนเขาเป็นคนแปลกหน้าจริงๆ
เขาเอื้อมมือมาจะจับตัวเธอแต่เธอก็เบี่ยงตัวหลบ เขาลดมือลงอย่างเก้ๆ กังๆ และทำเพียงมองหน้าเธอ “ฉันจะจำเธอผิดได้ยังไง”
เธอหยิบบัตรประชาชนของตัวเองออกมาจากกระเป๋าและเอาให้เขาดู “อืม… นี่บัตรประชาชนของฉันค่ะ คุณทักคนผิดแล้วจริงๆ ค่ะ”
ตอนที่ 138 ความโกรธ
โม่หันที่ยืนอยู่ด้านข้างมองเธอและไม่ได้พูดอะไรออกมา
ชายคนนั้นนิ่งไปชั่วขณะเมื่อเห็นบัตรประชาชนของเธอ ฝืนยกมุมปากยิ้มขึ้นก่อนพูด “ขอโทษด้วยนะครับ ผมคงจำคนผิดจริงๆ ”
เขาจ้องซย่าชิงอีขณะที่พึมพำกับตัวเอง “เธอสองคนเหมือนกันมากจริงๆ ผมน่าจะให้คุณดูรูปของเธอแต่วันนี้ผมรีบเลยไม่ได้เอาติดมาด้วย ผม… ไม่ได้เจอเธอมานานแล้ว เธอหายตัวไปที่นี่ ผมออกตามหาตัวเธอมานานแล้ว”
ซย่าชิงอีกล่าวขอโทษกับเขา และบอกเขาว่าพวกเขาต้องไปแล้ว จากนั้นจึงดึงมือของโม่หัน “พี่คะ กลับบ้านกันเถอะ”
เธอไม่มองเขาอีกและหันกลับ พร้อมดึงตัวโม่หันตามมาด้วยขณะที่เดินไปข้างหน้า
ชายคนนั้นมองเธอจากด้านหลังจนลับตาไป
หลังจากจากมาจริงๆ แล้วเธอรู้สึกสับสบไม่น้อย ความกลัวที่อธิบายไม่ได้ก่อตัวขึ้นในใจของเธอทันที เธอไม่ได้กลัวผู้ชายที่อยู่ๆ ก็ปรากฎตัวขึ้น สิ่งที่เธอกลัวคือความจริงที่ว่าเธอไม่มีความรู้สึกอะไรต่อชายคนนั้นเลยต่างหาก
จังหวะหัวใจของเธอเต้นเป็นปกติเมื่อเห็นเขา คิดย้อนไปถึงอารมณ์ของตัวเองที่ไม่ได้เปลี่ยนไปยามที่มองใบหน้าอาบน้ำตาของเขา
เธอคงลืมเรื่องราวทุกอย่างในอดีตไปหมดแล้วถึงได้ไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้น
เธอจากมาไกลก่อนที่จะรู้ตัวว่าโม่หันกุมมือเธอเอาไว้ เขากำลังขับรถอยู่ ใช้เพียงมือซ้ายบังคับพวงมาลัยอย่างสบายๆ ขณะที่มืออีกข้างกระชับมือเธอไว้อย่างอ่อนโยน
เธอดึงมือออกและมองออกไปนอกหน้าต่าง แปลกที่เธอรู้สึกมั่นใจขนาดนี้
“ทำไมเธอถึงพูดอย่างนั้นล่ะ” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบมานาน
“แล้วฉันควรพูดว่าอะไรล่ะคะ”
“เธอไม่อยากรู้เรื่องในอดีตของเธอแล้วเหรอ”
“ไม่ค่ะ” ทิวทัศน์ริมถนนด้านนอกเลื่อนผ่านไปช้าๆ พร้อมกับแสงสลัวจากไฟข้างทางที่ทอดยาวให้ถนนเรียงกันเป็นเส้นเดียว เธอจ้องมองมันเนิ่นนานและว่าขึ้น “ฉันไม่อยากรู้ว่าฉันเกือบตายได้ยังไงอีกแล้ว”
“แต่คนคนนั้นดูมีความสัมพันธ์ในอดีตที่ดีกับเธอไม่น้อยเลยนะ” เขากล่าว
เธอเหยียดยิ้มขึ้นมาแวบหนึ่ง “ฉันไม่คิดแบบนั้นหรอกค่ะ ตอนที่โรงพยาบาลประกาศหาญาติคนไข้ตั้งเจ็ดครั้งระหว่างที่นอนหมดสติที่โรงพยาบาลเป็นเดือน ทำไมพวกเขาไม่มาหาฉันล่ะคะ ถ้าอยากตามหาฉันจริงๆ แค่แจ้งความคนหายที่กองความมั่นคงสาธารณะ พวกเขาก็จะหาฉันเจอจากประวัติการรักษาแล้ว ฉันคิดว่าพวกเขาคงคิดว่าฉันตายไปแล้วมากกว่า”
เขามองแผ่นหลังรั้นของเธอและต้องการเอื้อมมือไปลูบปลอบเธอ “แล้วพ่อแม่ของเธอล่ะ เธอไม่อยากรู้เรื่องของพวกเขาบ้างเหรอ”
สายตาของเธอกลับมาฉายแววว่างเปล่า อ่อนเสียงลงและถอนใจ “ฉันไม่รู้ค่ะ”
“พี่คิดว่ามันคงดีกว่าถ้าเธอรู้ความจริง รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีต ก่อนที่จะตัดสินใจอะไรลงไป”
“ความจริงมันสำคัญมากเลยเหรอ เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว” เธอพูดกับตัวเองเสียงเบาข้างกระจกรถ
“พี่ไม่อยากให้เธอต้องมาเสียใจทีหลัง” เขาว่าขึ้น
“ก่อนหน้านี้พี่คิดจะปล่อยให้ฉันกลับไปหาพวกเขา ถ้าพี่เห็นฉันร้องไห้กอดพวกเขาด้วยความดีใจ พี่ก็คงจะมีความสุขเพราะฉันจะได้ออกไปจากชีวิตพี่สักทีใช่ไหมล่ะคะ พี่เบื่อที่ต้องมาสะสางเรื่องที่ฉันทำยุ่งไว้น่ะสิ” น้ำเสียงเย็นชาและห่างเหินของเธอดังขึ้น
มือของโม่หันที่จับพวงมาลัยอยู่กระชับแน่นขึ้น เม้มริมฝีปากและขมวดคิ้วมุ่น
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ต่อให้ฉันไม่กลับไปหาพวกเขา ฉันก็จะไม่อยู่รบกวนพี่หรอกค่ะ แค่พี่พูดมาคำเดียวฉันก็จะไปตามที่พี่ต้องการ” น้ำเสียงเรียบเฉยขณะที่เธอเพียงมองทิวทัศน์ที่ผ่านไปด้านนอก ราวกับกำลังพูดถึงเรื่องว่าจะกินอะไรตอนเช้า
อีกฝ่ายอดกลั้นอารมณ์ที่จะหยุดรถข้างถนน มือกำพวงมาลัยแน่น หักเลี้ยวเข้าที่มุมหนึ่งจนเธอโดนเหวี่ยงไปอีกด้าน
“ช่วงหลังมานี้พูดเก่งจังเลยนะ แม้แต่ตอนที่พูดกับพี่ที่เป็นนักกฎหมายก็ด้วย พี่ควรจะทำยังไงดีล่ะ ให้พี่มอบถ้วยรางวัลให้เธอเก็บไว้ที่บ้านดีไหม” เขาพูดขึ้นในท้ายที่สุด
เธอฮึดฮัดอย่างพูดไม่ออก ยกมุมปากฝืนยิ้มขึ้นแม้ปลายตาจะมีน้ำใสๆ คลออยู่ก็ตาม
“ซย่าชิงอี จำไว้นะ อย่าให้พี่ได้ยินเธอพูดแบบนี้ออกจากปากเป็นครั้งที่สองอีก!” น้ำเสียงของโม่หันเย็นชากว่าเดิม
เธอยังคงยิ้ม แหงนหน้าขึ้นและพยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลลงมา
ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยิ้มออกมาทั้งน้ำตาที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้เสียจริงๆ ช่วงเวลาที่มีแต่การฝืนยิ้มที่สามารถเก็บซ่อนความเศร้าในใจของเธอได้
รอยยิ้มที่ใช้ปกปิดทุกอย่างได้ดีที่สุด