ตอนที่ 155 จูบแสนป่าเถื่อน
“พี่ไม่ได้ใจแคบจนถึงขนาดไม่ให้เธอเอาหมอนไปหรอกนะ” น้ำเสียงเย็นชาของโม่หันดังขึ้น
ซย่าชิงอีก้มหน้าลงและพูดออกมาหลังจากนั้นสักพัก “ฉันมา…จัดการเรื่องพักการเรียนค่ะ หันเลี่ยงบอกว่าฉันมีมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนอยู่ที่นั่น เป็นมหาวิทยาลัยด้านการออกแบบ ฉันคงจะเริ่มเรียนที่นั่นหลังจากนี้ไม่นาน”
“ผ่านไปแค่วันเดียว หันเลี่ยงก็เข้ามาตัดสินใจทุกอย่างให้เธอแล้วเหรอ แล้วเธอก็ยอมทำทุกอย่างที่เขาบอกทันทีและเชื่อฟังเขาขนาดนี้ด้วยนะ เธอตกหลุมรักเขา อยากเป็นภรรยาของเขาจริงๆ แล้วใช่ไหม” ความขมขื่นปะทุขึ้นในใจของเขาขณะที่เขาไม่สนใจว่าจะพูดอะไรออกไปอีกแล้ว
“ไม่… ไม่ใช่อย่างที่พี่พูดนะคะ…” เธอรีบพยายามอธิบาย
เขาก้าวเข้ามาใกล้เธอขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่หัวเราะพร้อมแสยะยิ้มออกมา “ถ้าไม่ใช่แบบนั้นแล้วมันเป็นแบบไหนล่ะ เธออยากมีลูกกับเขาเหมือนกันด้วยใช่ไหม”
เธอก้าวถอยหลัง สายตาของอีกฝ่ายทำให้เธอกลัวและรู้สึกถึงจังหวะหัวใจที่เต้นระรัวราวกับจะทะลุออกมา เท้าของเธอขยับไปด้านหลังอย่างสั่นๆ จนกระทั่งถอยไปไหนไม่ได้อีกเมื่อแผ่นหลังชิดกับโต๊ะที่อยู่ด้านหลัง โม่หันยืนประชิดอยู่ตรงหน้าเธอ
ใบหน้าของพวกเขาห่างกันเพียงไม่กี่เซนติเมตรจนรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกันได้
“ซย่าชิงอี… ทำไมพี่ถึงไม่รู้ว่าเธอใจร้ายจนทิ้งบางอย่างไปเพียงเพราะเธอไม่ต้องการมันได้ขนาดนี้กันนะ” เขาเอ่ยถาม
เธอสบตาเขาขณะที่สั่นไปด้วยความกลัว “ฉันไม่ได้… พี่คะ”
เขาหัวเราะออกมาเบาๆ กับคำพูดของเธอ ความอุ่นร้อนจากลมหายใจของเขาสัมผัสรดใบหน้า ขณะที่อีกฝ่ายจ้องตาเธอด้วยแววตาร้ายกาจ เขากระซิบข้างหูเธอ “เธอคิดว่าพี่เป็นพี่ชายของเธอไม่ใช่เหรอ”
หากเขาพูดเช่นนี้เมื่อก่อน เธอคงไม่ได้คิดอะไรนอกจากเขาต้องการที่จะตัดสัมพันธ์กับเธอ เขาถึงเน้นย้ำความจริงให้เธอรู้ว่าเขาเพียงแค่ช่วยคนแปลกหน้าอย่างเธอเพราะความสงสาร ทว่าในสถานการณ์แบบนี้ เธออดคิดไปในความหมายอื่นไม่ได้
ดูเหมือนเธอจะรู้คำตอบที่เธอคิดไม่ถึงมาก่อน
ซย่าชิงอีถามขึ้น “นี่… พี่…”
ก่อนที่เธอจะพูดจบ โม่หันก็จับเข้าที่ท้ายทอยของเธอ หลับตาและประทับริมฝีปากเข้ากับเธออย่างรุนแรง
หัวใจของเธอเต้นระรัวขึ้นมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะช้าลง ความรู้สึกในหัวตีกันไปหมด
ความรู้สึกหลากหลายประดังประเดเข้ามาในหัวทั้งที่ยังคงตกอยู่ในอาการกลัว เมื่อเขาโอบกระชับแขนรอบเอวของเธอ เธอปล่อยให้ลิ้นของเขาสอดเข้ามาในปาก
ในเวลานั้นเองเขาก็ครอบครองไปทั่วทุกส่วนในโพรงปากของเธอ ซย่าชิงอียังคงนิ่งค้าง และในจังหวะที่โม่หันดูดดุนลิ้นของเธอจนเจ็บ เธอก็ผลักเขาออกด้วยใบหน้าที่ขมวดคิ้วมุ่น
ทว่าอีกฝ่ายกลับรวบมือทั้งสองข้างของเธอเอาไว้อย่างง่ายดายและปราดเข้ามาจูบเธออีกครั้ง
เธอเริ่มหายใจอย่างยากลำบากจนต้องหันหน้าหนีสุดแรง แต่เพียงแค่เธอเอียงศีรษะไปเพียงเล็กน้อย เขาก็ขยับตามมาจูบเธอต่อ
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ช้าจนเธอรู้สึกราวกับตัวเองเป็นปลาบนฝั่งที่กำลังจะขาดน้ำตาย เมื่อในที่สุดโม่หันก็ผละริมฝีปากออกไป เขาหายใจช้าๆ รดริมฝีปากของเธอ
บนริมฝีปากของเธอยังมีน้ำลายที่ค่อยๆ ไหลลงมาเคลือบอยู่อย่างแยกไม่ออกว่าเป็นของใคร เธอไม่เหลือแรงที่จะทุบตีเขา ขาอ่อนแรง ขณะที่มีแขนของอีกฝ่ายและโต๊ะที่อยู่ด้านหลังช่วยพยุงตัวไว้
“เธอคิดถูกแล้ว ซย่าชิงอี พี่ล้ำเส้นนั้นมาแล้ว” เขาเอ่ยชิดริมฝีปากของเธอ
เธอไม่ได้มองหน้าเขาและก้มหลบสายตาระหว่างที่หอบเหนื่อยอย่างแรงเพื่อสงบอารมณ์ของตัวเอง
เขาเชยคางเธอขึ้นและเริ่มประทับริมฝีปากขบเม้มกับอวัยวะเดียวกันของเธออีกครั้งด้วยจุมพิตสั้นๆ อีกหลายระลอก
หากแต่ในครั้งนี้เธอใช้เวลาไม่นานในการรวบรวมแรงทั้งหมดผลักเขาออกไป
เธอออกแรงมากจนกระทั่งของบนโต๊ะหล่นลงมาบนพื้นทีละชิ้น แก้วแตกอยู่ข้างๆ ขาของเธอ เสียงดังเสียดเข้าไปในหูท่ามกลางห้องที่เงียบงัน
ขาของเธออ่อนแรงพอๆ กันมือที่สั่นระริก เธอก้มหน้าหายใจขณะที่พิงตัวกับโต๊ะด้านหลังในความเงียบ
“พี่ไม่ควร… เป็นแบบนี้…” เธอเปิดปากพูดขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมเสียงของอีกฝ่ายที่ขยับถอยหลังไป
“มันเป็นแบบนี้สักพักแล้วล่ะ” เขาทิ้งตัวนั่งบนเตียงพลางเสยผมไปด้านหลัง ถอนหายใจออกมายาวๆ อย่างพยายามสงบอารมณ์ของตัวเองลง
ทั้งคู่เอาแต่เงียบอยู่เนิ่นนาน ไม่มีใครพูดอะไรออกมา มีเพียงเสียงลมหายใจที่ดังไปทั่วห้อง จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้นทำลายความเงียบนั้น
ตอนที่ 156 อย่าพบกันอีกเลย
คงมีเพียงหันเลี่ยงที่โทรมาหาเธอในเวลานี้ แต่เธอก็ปล่อยให้เสียงโทรศัพท์ดังและสั่นอยู่ในกระเป๋าอย่างนั้นในขณะที่เธอยังคงไม่ขยับตัว
เสียงโทรศัพท์เงียบไปก่อนดังขึ้นอีกครั้งและซย่าชิงอีก็ค่อยๆ ยืดตัวขึ้นมาและเอ่ยขึ้น “ฉันต้องกลับแล้ว”
โม่หันนั่งเท้ามือของตัวเองไว้กับหัวเข่า อีกฝ่ายเดินช้าๆ ตรงมาหาเขา ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นมาในจังหวะที่เธอโน้มตัวหยิบกระเป๋าบนเตียง “ถ้าเธอจะตัดสินใจจะออกไปแล้ว เราก็อย่าติดต่อกันอีกเลย ปล่อยให้มันจบลงตรงนี้เถอะ”
เธอนิ่งขณะที่กำลังหยิบกระเป๋า ดวงตาฉายแวววูบไหวชั่วครู่ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาอีกครั้งและกล่าวตอบรับเงียบๆ “ค่ะ”
เธอชะงักเท้าเมื่อเดินไปที่ประตู หันหลังกลับมามองเขาด้วยสายตาขมขื่น “ต่อไปอย่าทำงานหนักมากนะคะ ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย”
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรและไม่ได้เงยหน้ามองคนพูดขณะที่ได้ยินเสียงปิดประตูที่น่าปวดใจของเธอดังขึ้น
เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอหายจากไปช้าๆ ราวกับเธอไม่เคยอยู่ตรงนั้นเลยแม้แต่น้อย
เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ ในที่สุดซย่าชิงอีก็จากเขาไปตลอดกาล
ซย่าชิงอีไม่ได้กลับมาที่เมือง F ภายในสองทุ่มอย่างที่หันเลี่ยงต้องการ เธอออกจากบ้านของโม่หันมาราวๆ หกโมงเย็น มีหลายสิ่งที่ถาโถมเข้ามาในใจของเธอ เธอจึงใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการเดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายก่อนที่จะนึกได้ว่าต้องกลับไปที่บ้านของหันเลี่ยง
หันเลี่ยงโทรหาเธออีกครั้งและในที่สุดเธอก็รับสายเขาเป็นครั้งแรกในตอนหนึ่งทุ่ม
[ทำไมเธอเพิ่งรับสายตอนนี้ล่ะ มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า] เขาถามอย่างตื่นตระหนก
“ฉันไม่เป็นไร แค่ลืมโทรศัพท์ไว้ที่ร้านค้าและเพิ่งกลับไปเอามา” เธอรู้ดีว่าคงจะดีมากกว่าถ้าเธอโกหกออกไป จนตัวเธอเองยังเกือบจะเชื่อในคำโกหกของตัวเอง
ในที่สุดปลายสายก็โล่งใจขึ้น [เธออยู่ที่ไหน เธออยู่ที่เมือง F แล้วหรือยัง]
“ยังน่ะ เกิดบางอย่างขึ้นระหว่างทาง เดี๋ยวฉันกำลังจะกลับไปแล้ว”
[เกิดอะไรขึ้น] เธอไม่รู้ว่าตัวเองคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่เธอรู้สึกราวกับว่าหันเลี่ยงดูจะอยากรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอ
“ฉันหลงทาง เลยใช้เวลาหาทางอยู่สักพัก แต่ฉันกำลังจะกลับไปแล้ว” ความจริงก็คือเธอยังไม่แม้แต่จะขึ้นรถบัสที่จะไปเมือง F เลยด้วยซ้ำ
[ถ้างั้นฉันจะรอเธอกลับมานะ แม่ของเธอทำซุปไก่ไว้ให้ด้วย รีบกลับมากินนะ]
เธอส่งเสียงตอบรับในลำคอและวางสายโดยที่ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรอีก
ความทรงจำของเธอยังไม่กลับมา นั่นเป็นเหตุผลที่เธอยังต้องกลับไปที่เมือง F อย่างน้อยในตอนนี้เธอก็รู้จักสถานที่ที่เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำของเธอ และเธอต้องการที่จะได้มันกลับคืนมา
เธอกลับมาถึงบ้านที่เมือง F ในเวลาสี่ทุ่ม ตอนนั้นหันเลี่ยงโทรหาเธออีกหลายครั้งแต่เธอไม่รับสายของเขาแม้แต่สายเดียวเพราะว่าพวกเขาทำให้เธอรู้สึกรำคาญ ทำเพียงส่งข้อความไปบอกเขาว่าเธอจะไปถึงช้าหน่อยก่อนที่จะปิดเสียงโทรศัพท์และไม่สนใจมันอีก
เธอสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อเห็นแม่และหันเลี่ยงนั่งบนโซฟาด้วยท่าทางไม่ค่อยดีนัก หลังจากเธอกลับมาถึงอย่างปลอดภัยและเปิดประตูเข้ามา
“ทำไมมานั่งตรงนี้กันล่ะ” เธอเอ่ยถาม
ทั้งคู่ที่นั่งบนโซฟาหันมามองเธอที่เพิ่งกลับมาถึง เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกโล่งใจเพียงใด “ในที่สุดเธอก็กลับมา”
“มีอะไรเหรอ เกิดอะไรขึ้น” เธอว่าด้วยงุนงง
“ต่อไปเธออย่าเป็นแบบนี้อีกนะ เธอต้องรับโทรศัพท์ทุกครั้งที่เราโทรหาเธอและต้องบอกฉันว่าเธอจะกลับมาถึงบ้านกี่โมงด้วย” หันเลี่ยงมองหน้าเธอด้วยท่าทีจริงจัง
“แต่ว่าฉัน… ไม่ได้ส่งข้อความไปบอกแล้วเหรอ… ว่าฉันจะมาถึงดึกหน่อย”
อีกฝ่ายตอบกลับ “ดึกถึงกี่โมงล่ะ เธอได้ระบุเวลาเอาไว้หรือเปล่า ถ้าหากเธอไม่ได้เป็นคนส่งข้อความนี้มา ถ้าหากมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอข้างนอกล่ะ”
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องตื่นตระหนกมากขนาดนี้ “แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันล่ะ ฉันปกป้องตัวเองได้ อีกอย่างตอนนี้ก็ยังไม่ดึกมากด้วย แค่สี่ทุ่มเอง”