ตอนที่ 159 ความตาย
หากแต่สิ่งหนึ่งที่โม่หันเอ่ยปากคือการไม่ต้องติดต่อกันอีกต่อไป
ไม่ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเป็นอย่างไร แต่ทุกอย่างดูเหมือนจะต้องจบลงที่ตรงนี้เสียแล้ว
ไม่กี่วันหลังจากที่ซย่าชิงอีออกจากบ้านของโม่หันก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป เขายังคงไปทำงานเหมือนเช่นเคย ออกไปทำงานที่บริษัทในตอนเช้าและกลับมาบ้านสะสางงานต่อจนถึงเที่ยงคืน ก่อนที่จะไปอาบน้ำและเข้านอน เหมือนกับก่อนที่เขาจะเจอซย่าชิงอี ใช้เวลาทั้งวันไปกับการทำงานและนอนหลับโดยที่ไม่มีความบันเทิงใดๆ เข้ามาในชีวิต
สิ่งเดียวที่แตกต่างออกไปคือเขาเงียบลงกว่าเดิม
พนักงานที่บริษัทต่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขารู้เพียงแต่ว่าทนายโม่ใช้เวลาในการทำงานที่บริษัทมากขึ้น นอกจากในที่ประชุมเขาก็พูดน้อยลงพร้อมกับภาระงานของเขาที่หนักขึ้น อันที่จริงแม้เขาจ้างผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาช่วยแล้วแต่ก็ยังไม่ปล่อยมือจากงานส่วนใหญ่ของตัวเอง นั่นทำให้พนักงานใหม่รู้สึกงุนงงและกังวลว่าเจ้านายของตัวเองจะคิดว่างานของเขานั้นออกมาไม่ดีนัก
พนักงานหลายคนแอบรู้สึกกลัวเมื่อเห็นเจ้านายของพวกเขาทำงานอย่างไม่หยุดพัก พากันพูดคุยกันว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่บริษัทหรือไม่ หรือว่าพวกเขาทำงานได้ไม่เป็นที่น่าพอใจของจนเจ้านายของเขาต้องอ่านเอกสารที่พวกเขาทำส่งเพื่อตัดสินใจว่าจะไล่ใครออก
ในวันที่แปดนับจากที่ซย่าชิงอีจากไป โม่หันได้รับโทรศัพท์จากหัวหน้าจางที่โทรมาจากกรมตำรวจ
เขาบอกโม่หันว่าเจอตัวกลุ่มอันธพาลที่ต้องการลักพาตัวซย่าชิงอีบนถนนวันนั้นแล้ว เพียงแต่ว่าพวกมันตายไปแล้ว
ศพถูกพบในป่าลึกเมื่อหลายวันก่อน มีคนอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย รวมแล้วนับได้หกคน ทั้งหมดถูกฆ่าปาดคออย่างน่าสยดสยอง ชายคนที่ต้องการจะข่มขืนเธอมือขาดหายไป ทางตำรวจยังไม่สามารถหามือนั้นพบ สันนิษฐานว่าน่าจะถูกโยนทิ้งไปที่อื่นแล้ว
หัวหน้าจางยังบอกอีกว่าการตายของพวกมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคดีของซย่าชิงอี มีคนเห็นกลุ่มคนสองกลุ่มต่อสู้กันในป่า พยานเห็นหน้าของหนึ่งในกลุ่มชายเหล่านั้นได้ชัดเจน และหลังจากสืบสวนก็พบว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างสองกลุ่มที่แตกแยกกัน เนื่องจากการจัดการของเบื้องบนของกลุ่มมาเฟียในเมือง เป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลและคงไม่ดีนักหากตำรวจจะเข้าไปยุ่งกับพวกเขา เป็นเหตุให้ให้คดีนี้ยังไม่ถูกสะสาง และต้องจัดการอย่างเงียบๆ แทน
คนอายุมากกว่าเอ่ยถามเขา “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมพูดน้อยแบบนี้”
เขาตอบกลับ “ไม่มีอะไรครับ ช่วงนี้ผมแค่ยุ่งๆ เท่านั้นเอง”
อีกฝ่ายว่าขึ้น “ช่วงนี้บอกน้องสาวของคุณให้มาที่สถานีตำรวจเพื่อเซ็นเอกสารด้วยนะ คดีนี้ควรจะถูกปิดไปเป็นการชั่วคราวก่อน”
เขากล่าว “ผมจะบอกเธอให้ครับ แต่คิดว่าเธอคงไปไม่ได้หรอกครับ คงจะดีกว่าถ้าให้ผมไปเซ็นแทนเธอ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
“ไม่มีอะไรครับ อย่าถามผมอีกเลย” โม่หันพูดขึ้น
หัวหน้าจางไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเมื่อได้ยินน้ำเสียงของอีกฝ่าย เขารู้ว่าอีกคนคงรู้สึกไม่ดีนักหากเขายังถามต่อไป จึงเอ่ยลาเพียงไม่กี่ประโยคก่อนที่จะวางสายไป
หลังจากวางสายโม่หันวางปากกาที่ถือไว้และจ้องไปท่ามกลางความว่างเปล่าเนิ่นนาน นานจนไม่รู้ตัวว่าหลิวจื้อหย่วนเคาะประตูและก้าวเข้ามาในห้อง
“ทนายโม่… ทนายโม่” หลิวจื้อหย่วนโน้มตัวเรียกเขาพร้อมเอกสารในมือของเขา
เขาหลุดจากภวังค์และหันไปมองอีกฝ่าย “มีอะไรเหรอ”
“นี่เป็นเอกสารคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ที่ส่งมาจากศาลที่คุณบอกให้ผมเอามาให้ครับ”
“วางไว้ตรงนี้ เดี๋ยวผมดูเอง”
อีกฝ่ายต้องการที่จะวางเอกสารแล้วออกไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ หลังจากเห็นอาการเจ้านายของเขาก่อนหน้านี้ “ทนายโม่ครับ… ช่วงนี้ที่บริษัท…มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีอะไร คุณคิดมากไปแล้ว” เขาเริ่มกลับไปจมลงกับกองเอกสารตรงหน้า
“ถ้างั้นทำไมช่วงนี้คุณถึงดูไม่ค่อยมีความสุขเลยล่ะครับ”
เขาเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย “ผมน่ะเหรอ”
ตอนที่ 160 เมินเฉย
ปกติแล้วหลิวจื้อหย่วนจะค่อนข้างสนิทสนมกับโม่หันในที่ทำงาน เขามักจะเข้าไปคุยเล่นกับอีกฝ่ายเมื่อเขาว่าง เขาจึงไม่เกร็งในการเอ่ยถามเรื่องนี้กับโม่หั่นนัก “ช่วงหลังผมเห็นคุณงานยุ่งมากจนทำให้ทุกคนในบริษัทกลัวไปหมด มีงานมากมายที่คุณไม่จำเป็นต้องทำด้วยตัวเองนะครับ เราคิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับบริษัทซะอีก กังวลว่าเราจะทำอะไรผิดไปหรือเปล่าด้วยซ้ำ อีกอย่างถ้าคุณยังทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจะป่วยเอานะครับ แบบนั้นมันจะได้ไม่คุ้มเสียเอานะครับ”
“พวกคุณคิดมากเกินไปแล้ว ช่วงนี้ผมรู้สึกสบายดี ไม่ได้ป่วยอะไรด้วย”
“ถ้าน้องสาวของคุณมาเห็นคุณเป็นแบบนี้ เธอคงต้องพูดว่าคุณไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วแน่ๆ” หลิวจื้อ
หย่วนพึมพำขึ้น
สีหน้าของโม่หันเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายกล่าวถึงเธอ “คุณมีหน้าที่เข้ามาวุ่นวายเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
เขาไม่เคยได้ยินทนายโม่พูดด้วยน้ำเสียงเช่นนี้มาก่อน แม้แต่หลังจากการประชุมกับลูกความที่รับมือยากหลายคนหรือเรื่องคดีความที่ซับซ้อน เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้จึงทำให้เขาอึ้งไป ก่อนจะเริ่มพูดอย่างเป็นทางการกับเขามากขึ้น “ผมขอโทษครับ ทนายโม่ ผมไม่รู้ว่าคุณไม่ชอบ ต่อไปผมจะไม่ถามเรื่องนี้อีกครับ”
“อย่าพูดถึงเธอต่อหน้าผมอีก” โม่หันเอ่ย
ตอนนั้นเองที่หลิวจื้อหย่วนรู้ว่าที่อีกฝ่ายมีอาการเช่นนี้คงเป็นเพราะเขาทะเลาะกับน้องสาว ทว่าเขาก็ไม่กล้าถามเรื่องส่วนตัวกับเจ้านายของเขาอีก นี่เป็นครั้งแรกของเขาที่ทำให้อีกฝ่ายโกรธ เขาจึงไม่กล้าทำผิดซ้ำสองอีก ก่อนจะกล่าวลา “ครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ ทนายโม่”
“ออกไปได้แล้ว” โม่หันกลับไปอ่านเอกสารบนโต๊ะอีกครั้ง
เว้นเสียแต่ว่าในครั้งนี้ เขากลับอ่านตัวอักษรบนกระดาษไม่รู้เรื่องสักนิด
เขาโกรธ โกรธจนทุกส่วนของร่างกายรู้สึกกระสับกระส่ายไปหมด และยากที่จะสงบอารมณ์ลงได้แม้ว่าเขาจะกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ตาม
แม้เขาจะไม่ได้คิดเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับซย่าชิงอีเลยแต่เธอก็ยังมีอิทธิพลกับเขาอยู่ตลอดเวลา
เขาวางเอกสารลงและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ซบใบหน้าของตัวเองลงบนมือ หลับตาลงอย่างพยายามใจเย็น
และเสียงเคาะประตูของเลขาของเขาก็ดังขึ้นพร้อมเสียงที่บอกตามมาว่ามีคนมาหาเขาอยู่ด้านนอก
เขารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย “ผมไม่ได้บอกเอาไว้เหรอว่าจะไม่พบใครหากไม่ได้นัดไว้”
เลขาของเขาว่าขึ้น “คนที่อยากเจอคุณเขาบอกว่าเขาชื่อหันเลี่ยงค่ะ”
มุมปากของเขายกขึ้นเล็กๆ ผู้ชายคนนั้นช่างมาได้ถูกเวลาจริงๆ ก่อนเอ่ยตอบเลขาของตัวเองกลับไป “ให้เขาเข้ามา”
หันเลี่ยงอยู่ในเสื้อลำลองสีเทากับแว่นตากรอบทองที่ทำให้ดูเหมือนนักธุรกิจที่น่าเชื่อถือ เขานั่งลงอย่างสบายๆ บนเก้าอี้ตรงหน้าโม่หัน
โม่หันยิ้มบางๆ “ลมอะไรหอบคุณหันมาถึงที่นี่วันนี้ครับ”
“ทนายโม่ ผมไม่ชอบพูดจาอ้อมค้อมนักหรอกนะครับ ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน วันนี้ผมมาที่นี่เพราะจะเอาสิ่งนี้มาให้คุณ” จบประโยค หันเลี่ยงก็วางซองจดหมายซองหนึ่งตรงหน้าโม่หัน
“อะไร” เขากล่าวเสียงเย็น
“เนี่ยนเนี่ยนบอกผมว่าพวกคุณเซ็นสัญญากันก่อนหน้านี้ ถ้าเธอกลับไปอยู่กับครอบครัวของเธอจะต้องจ่ายค่าชดเชยคืนให้ ตอนนี้เธอก็กลับมาอยู่ข้างผมอย่างปลอดภัยแล้ว ผมก็ควรที่จะขอบคุณคุณ เราเลยปรึกษาและตัดสินใจกันว่าจะให้บัตรใบนี้กับคุณ ผมเชื่อว่าคุณจะพอใจกับจำนวนเงินด้านในนะครับ”
เขาจ้องซองจดหมาย เปิดมันและเห็นบัตรใบหนึ่งอยู่ด้านใน ก่อนยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “แปลกที่คุณหันคิดมากขนาดนี้นะครับ”
“ผมหวังว่าหลังจากที่ทนายโม่ได้รับเงินชดเชยที่ควรได้รับแล้ว คุณจะหยุดเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของเนี่ยนเนี่ยนอีก ทนายโม่ คุณควรรู้ตัวได้แล้วว่าบางอย่างมันมาถึงจุดจบแล้ว”
โม่หันยังคงยิ้ม “ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับคุณหัน ผมจะไม่ทำแบบนั้นให้รบกวนการทำงานของตัวเองและชีวิตที่แสนสุขของคุณหรอก” เขาวางบัตรกลับไปบนโต๊ะ เปลี่ยนน้ำเสียงและเอ่ยขึ้น “แต่ว่าคุณหันคงไม่รู้ว่าช่วงเวลาที่ภรรยาของคุณอยู่กับผม มันมีบางอย่างที่วัดไม่ได้ด้วยเงินเกิดขึ้นด้วยนะครับ”
“ทนายโม่หมายความว่าอย่างไร”
“ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เธอได้บอกคุณหรือเปล่านะครับ แต่ตั้งแต่ที่เราเพิ่งเจอกัน เราก็นอนด้วยกันทุกวัน” เขาว่าขึ้นน้ำเสียงสบายๆ
สายตาของหันเลี่ยงครึ้มไปด้วยความเกลียดชัง “แล้วยังไงละครับ”
เขายกยิ้มอีกครั้ง “คุณหันครับ อย่าคิดมากเลย เธอแค่มีอาการนอนไม่หลับและจะนอนหลับลงเมื่อมีคนนอนอยู่ข้างๆ เท่านั้นเอง ผมถึงต้องทำหน้าที่นั้น แน่นอนว่าสิ่งที่ผมจะพูดคือผมใช้เวลาร่วมกับเธอไปไม่น้อย ผมต้องทำงานและจัดการเรื่องส่วนตัวให้เสร็จแต่ก็ต้องเลื่อนพวกมันออกไปก่อนเพราะต้องดูแลภรรยาของคุณ แล้วทีนี้คุณจะคำนวณค่าเสียเวลาให้ผมยังไงดีล่ะ”
“คุณจะเรียกเท่าไหร่ล่ะ” หันเลี่ยงถามกลับ
“คุณหัน ไม่ต้องกังวลไป ผมไม่ทำให้คุณยุ่งยากนักหรอก แค่รู้สึกว่าบางอย่างควรถูกจัดการโดยคนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้จริงๆ มากกว่า และคนคนนั้นก็ไม่ใช่คุณ มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ถ้าจะพลาดสิ่งเล็กๆ ไปไม่เช่นนั้นมันคงไม่ดีนัก และสุดท้ายจะเป็นการเสียเวลาเปล่าๆ นะครับ”
“ผมขอโทษ แต่แย่หน่อยที่ช่วงนี้ภรรยาของผมคงมาไม่ได้”
“ทำไมล่ะครับ”
อีกฝ่ายยิ้มบางๆ ก่อนตอบ “เป็นความผิดผมเอง ผมคิดถึงแต่ตัวเองมากเกินไป หลายคืนที่ผ่านมาเลยเข้าไปยุ่งกับเธอและทำให้เธอเหนื่อย เธอเลยไข้ขึ้นเล็กน้อย ต้องนอนพักผ่อนที่บ้านน่ะครับ”
มือของเขากำแน่นขึ้นใต้โต๊ะอย่างไม่มีใครสังเกตเห็น เส้นเลือดสีน้ำเงินปูดโปนขึ้นมาบนหลังมือ
“ไม่เป็นไรครับ เราค่อยคุยรายละเอียดกันหลังจากที่เธอหายดีก็ได้” เขาพูด
หันเลี่ยงตอบกลับ “ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องรบกวนทนายโม่ให้รอไปอีกสักพักนะครับ”
โม่หันควบคุมจังหวะลมหายใจของตัวเอง “ถ้าอย่างนั้น คุณหันก็ออกไปได้แล้วล่ะครับ บังเอิญว่าผมงานยุ่งอยู่”
อีกฝ่ายลุกขึ้นจะเดินออกไปและยิ้มบางๆ ให้เขา “งั้นไว้เจอกันครั้งหน้านะครับ ทนายโม่ ผมจะทิ้งบัตรนั้นไว้ให้คุณ ถือซะว่าเป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ แล้วกันนะครับ”
เขาไม่หันไปมองหันเลี่ยงที่จากไป เอาแต่ก้มหน้าลงพลิกเอกสารตรงหน้าอ่านในห้องทำงาน แต่ไม่มีคำไหนที่เข้าหัวเขาเลยแม้แต่นิด
ประตูห้องทำงานปิดลง อีกฝ่ายออกไปแล้ว ตอนนั้นเองที่เขาไม่สามารถอดกลั้นความโกรธในใจของตัวเองไว้ได้อีก เขากำปากกาไว้ในมืออย่างแรงจนมันหักครึ่ง ส่วนที่หักหล่นลงบนพื้นเสียงดัง
คำพูดของหันเลี่ยงยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา ทั้งเสียงหัวเราะนั้น และมันแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา
ผมทำให้เธอเหนื่อยในคืนนั้น เธอเลยมาพบคุณไม่ได้
เธอบอกว่าก่อนหน้านี้พวกคุณเซ็นสัญญากันไว้ บัตรใบนี้แทนคำขอบคุณจากเรา
โม่หันหยิบบัตรใบนั้นขึ้นมา จ้องมันเขม็งราวกับจะเผามันให้เป็นรู และค่อยๆ บีบขยี้มันด้วยมือของตัวเองก่อนที่จะเขวี้ยงมันลงในถังขยะ
เขารู้สึกว่าแม้แต่ลมหายใจของเขาก็ยังควบคุมไม่ได้ มันแน่นในอกจนหายใจไม่ออก ไม่เคยมีเรื่องในอดีตที่ทำให้เขาโกรธขนาดนี้มาก่อน
เพราะอารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้ของตัวเอง เขาจึงกวาดเอกสารที่อยู่บนโต๊ะลงพื้นอย่างแรง รวมถึงแก้วกาแฟที่หล่นตามลงมาแตกบนพื้น ของเหลวสีน้ำตาลไหลเลอะเปรอะเปื้อนไปบนเอกสาร
เมื่อเลขาของเขาได้ยินเสียงจากด้านนอกและคิดว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ เธอผลักประตูเข้าไปก่อนเอ่ยถาม “ทนายโม่! เกิดอะไรขึ้นคะ”
ประตูเปิดขึ้นและไม่ทันที่เธอจะได้ดูว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง ก็ได้ยินเสียงโม่หันคำรามออกมา “ออกไป!”
เธอกลัวจนสั่นไปทั้งร่าง รีบวิ่งออกไปและปิดประตูทันที แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พนักงานที่อยู่แถวนั้นรู้สึกสงสัยจึงถามเธอ “มีอะไรเหรอ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้านายน่ะ”
เธอเอาแต่ส่ายหน้าและตอบเสียงเบา “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ทนายโม่ทำให้ฉันกลัวมาก ก่อนหน้านี้เขายังดีๆ อยู่เลย แต่จู่ๆ เขาก็กลายมาเป็นแบบนี้”
หนึ่งในพนักงานพูดขึ้น “ไม่… พวกเธอไม่รู้เหรอ ช่วงนี้ทนายโม่ดูไม่เป็นตัวเองเลย ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ”
พนักงานอีกคนเอ่ย “ใครที่เพิ่งเข้าไปในห้องทำงานของเจ้านายกัน เรื่องนี้เกี่ยวกับเขาหรือเปล่า”
เลขาสาวรีบปิดประเด็นและห้ามไม่ให้พวกเขาพูดต่อ “หยุดเดาไปเรื่อยได้แล้ว ตอนนี้เจ้านายอารมณ์ไม่ดีอยู่นะ ถ้าเขารู้ว่าเอาเรื่องของเขามาพูดลับหลังแบบนี้เดี๋ยวเราก็ตายกันหมดหรอก”
พวกเขาแยกย้ายกลับไปทำงานเหมือนนกแตกรัง
โม่หันใช้เวลากว่าสิบนาทีในห้องทำงานเพื่อจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง มองเอกสารที่กระจัดกระจายไปทั่วและค่อยๆ สงบลง ถอนหายใจออกมาช้าๆ รู้สึกราวกับพลังงานในกายถูกดูดออกไปหมด เหนื่อยหอบและพิงตัวกับโต๊ะทำงานอย่างโงนเงน
เขาเป็นคนพูดเองว่าทุกอย่างมันจบไปแล้ว
เธอจากไปแล้ว พวกเขาตกลงที่จะไม่ติดต่อหากันอีกแล้ว
เขาพยายามอย่างหนักในการกลับไปเป็นคนเดิมที่เคยเป็น คนที่ทำงานทุกวัน กินและนอน ไม่มีสิ่งใดที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกต้องข่มใจไว้ตลอดเวลาแบบนี้กันนะ
ไม่มีใครรู้ว่าทุกคืนที่เขาปิดไฟทุกดวงในห้องและนอนลงบนเตียง จ้องมองไปในความมืดที่ไม่สิ้นสุด เขาไม่สามารถนอนหลับได้ลงเลยสักนิดแม้ว่าเขาจะเหนื่อยล้าเพียงใดก็ตาม
เขาคิดว่าคงติดโรคนอนไม่หลับมาจากซย่าชิงอี ไม่รู้ว่าตัวเองค่อยๆ เหมือนกับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่
บ้านที่เขาอยู่ซึ่งเต็มไปด้วยร่องรอยของการมีอยู่ของเธอไปทั่วบริเวณ เธอรีบเร่งออกจากที่นี่ไป แปรงสีฟันกับยาสีฟันของเธอยังอยู่ที่เดิมในห้องน้ำโดยที่ไม่ถูกแตะต้อง เสื้อผ้าของเธอที่ถูกแขวนทิ้งไว้จนแห้งภายใต้แสงอาทิตย์ที่เธอยังไม่ได้เก็บเข้ามา นมเปรี้ยวที่เธอชอบกินยังคงอยู่ในตู้เย็นในห้องครัวแม้ว่ามันกำลังจะหมดอายุ แม้แต่หนังสือของเธอที่ยังวางระเกะระกะบนโต๊ะในห้องทำงาน
เขาไม่ได้แตะต้องพวกมัน หรือจะพูดอีกอย่างคือเขาไม่กล้ามองพวกมันด้วยซ้ำ ปล่อยให้ชีวิตแสนสงบสุขที่พวกเขาใช้ร่วมกันยังอยู่ที่เดิม เหมือนก่อนหน้านี้ที่เคยเป็นมา
หลังจากเธอจากไป ซย่าชิงอีก็ทำตามที่เขาขอและเลิกติดต่อกับเขา โทรศัพท์ของเขายังคงถูกเปิดทิ้งไว้และอยู่ข้างตัวของเขาตลอดเวลาแต่ก็ไม่เคยได้รับสายโทรศัพท์หรือข้อความจากเธอเลย
พวกเขาต่างอยู่ท่ามกลางความอึดอัดและเมินเฉยใส่กันและกัน
ช่วงหลายวันมานี้ซย่าชิงอีนอนหลับไม่เพียงพอนักเพราะอาการนอนไม่หลับที่รุนแรงของเธอ
เธอไม่ได้นอนหลับอย่างสบายๆ เลยตั้งแต่มาถึงที่นี่
แม้ว่าเธอก็รู้สึกเหนื่อยล้าทุกวันแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถหลับได้ลงหลังจากเอนหลังบนเตียง ยิ่งพยายามนอนเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกตื่นตระหนก ยิ่งสับสน และยิ่งรู้สึกตัวตื่นมากขึ้น เธอไม่มีทางเลือกนอกจากพิงตัวกับหน้าต่างและมองดวงจันทร์ด้านนอกอย่างหวังว่ามันจะช่วยให้เธอจะนอนหลับได้สักนิด
หลังจากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะไปหยิบขวดยานอนหลับที่ตู้ยาด้านนอก เทยาออกมาสองเม็ดก่อนที่จะผล็อยหลับไป แต่ทว่าบางอย่างก็ได้เกิดขึ้นในคืนนั้น