“ไปนอนที่ห้องได้แล้ว” โม่หันว่าซ้ำ
ตอนนั้นเองที่ซย่าชิงอีงัวเงียตื่นขึ้นมา เธอยันตัวนั่งแต่เปลือกตายังคงปิดสนิทอยู่ “พี่กลับมาแล้วเหรอคะ”
เป็นจังหวะเดียวกับที่หัวใจของเขาเต้นระรัว เขาไม่สามารถสงบใจกับสิ่งนี้ลงได้ นึกถึงสิ่งที่เธอบอกเมื่อวานไว้สิ! นึกถึงสิ่งที่เธอบอกเมื่อวานไว้!
“อืม กลับไปนอนที่ห้องของเธอได้แล้ว” เขาทำเสียงแข็งและเอ่ยขึ้น
อีกฝ่ายหาวหวอดๆ อย่างสบายๆ ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาในที่สุด “กี่โมงแล้วคะ”
“จะสี่ทุ่มแล้ว” เขาเดินไปที่โต๊ะข้างชั้นหนังสือ ทิ้งตัวนั่งลงและเปิดคอมพิวเตอร์ของตัวเอง
เธอขยี้ตา มองไปที่โม่หันที่กำลังนั่งบนเก้าอี้จดจ่อกับหน้าจอตรงหน้าก่อนพูด “พี่จะทำงานต่ออีกเหรอ”
“พี่มีเอกสารที่ต้องทำให้เสร็จก่อนพรุ่งนี้เช้า”
คนฟังยืนขึ้นและเดินโซเซไปทางประตู “ถ้างั้นฉันกลับไปนอนนะคะ อย่าทำงานดึกมากล่ะ”
ดูเหมือนเธอจะไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเขามากเหมือนกับเมื่อก่อน หรือไม่ก็คงเป็นเพราะว่าเขาเองที่ไม่สามารถทนทำตัวกับเธอเหมือนก่อนหน้านี้ได้
คำพูดบางคำที่พูดไปแล้วก็เหมือนน้ำที่หก ไม่สามารถเอากลับคืนมาได้อีกต่อไปและไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
โม่หันไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งซย่าชิงอีจะเข้ามามีอิทธิพลกับเขามากขนาดนี้ หลังจากเธอออกจากห้องไปเขาก็ใช้เวลาปรับตัวทั้งหมดเพียงสองนาทีและเริ่มจดจ่อกับการทำงานเพียงอย่างเดียวเพื่อจะได้ไม่ต้องพูดกับเธอ
บรรยากาศในวันถัดมายังเป็นเหมือนเมื่อวาน ทั้งคู่นั่งกินอาหารอยู่ที่โต๊ะกินข้าวอย่างเงียบๆ สิ่งเดียวที่แตกต่างคือซย่าชิงอีบอกเขาว่าอีกสองวันเธอจะเดินทางไปเมือง F
เธอบอกว่าเธออยากจะไปเยี่ยมน้องสาวของตัวเองกับแม่ของเธอและหันเลี่ยง เด็กสาวที่เสียชีวิตไปแล้ว
โม่หันไม่ได้พูดอะไร เขาไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปยุ่งเรื่องภายในครอบครัวของเธอ และรู้สึกราวกับเป็นคนนอกทุกครั้งที่เธอพูดถึงแม่ของเธอและหันเลี่ยง
เธอยังบอกอีกว่าเธออาจจะต้องพักที่นั่นคืนหนึ่งเพราะว่าสุสานตั้งอยู่ห่างออกไปไกล จึงอาจจะกลับมาไม่ทัน
เขาไม่ได้ปริปากออกมาและทำเพียงพยักหน้ารับ
ท่าทางของเธอดูโมโหไม่น้อย เธอหลบซ่อนอารมณ์ของตัวเองไม่เป็น เขาเก่งกว่าเธอในเรื่องนี้มากนัก ยังไม่ทันกินอาหารหมดดี มุมปากของเธอก็เบะออกขณะที่มุ่นคิ้วเข้าหากันบอกว่าเธออิ่มแล้วและตั้งท่าจะออกไป
เธอออกไปจากบ้านก่อนโม่หัน ปิดประตูเสียงดัง เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันนี้เธอจะไปที่ไหน
เมื่อเขามาถึงบริษัทและยังไม่ทันที่จะก้าวเข้าไปข้างใน เขาก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป หลิวจื้อ
หย่วนเห็นเขามาแต่ไกลและวิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล
เขาเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น”
“ประธานกรรมการบริหารของบริษัทหย่วนเฉินและตัวแทนทนายมาที่นี่ครับ”
“เช้าขนาดนี้น่ะหรือ” เขาชำเลืองมองด้านใน
“พวกเขากำลังจะขึ้นศาลกับบริษัทเหรินต้าในสองวันนี้ครับ พวกเขาคงมาตกลงอะไรบางอย่าง ผมบอกไปแล้วว่าคุณยังมาไม่ถึงแต่พวกเขาบอกว่าต่อให้คุณติดประชุมอยู่เขาก็จะอยู่รอคุณ”
“เลื่อนการประชุมของผมทั้งหมดออกไปก่อน ผมจะไปดูว่าพวกเขาจะมาพูดอะไรกันแน่”
อีกฝ่ายเหลือบไปยังห้องรับรอง “ระวังนะครับเจ้านาย พวกเขาดูไม่ค่อยพอใจเท่าไรเลย”
เขาตบบ่าอีกคนเบาๆ “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ฉันไม่เป็นไร”
โม่หันเดินเข้าไปในห้องรับรองที่มีคนห้าคนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะกลม พวกเขาบางคนก็ลุกขึ้นเมื่อเห็นเขาก้าวเข้ามา มีเพียงบุคคลตรงกลางคนเดียวที่ยังคงนิ่งเฉย เอนตัวพิงกับเก้าอีก่อนเงยหน้าจ้องมองมาที่เขา
“ทนายโม่มาสายนะครับ” คนตรงกลางว่าขึ้น
“ผมมาตรงเวลาครับ คุณต่างหากที่มาที่นี่เช้าเกินไป” เขาขยับเข้าไปหยุดอยู่ข้างโต๊ะ “ผมจำได้ว่าตารางงานของผมวันนี้ดูเหมือนจะไม่มีการนัดพบกับประธานตู้นะครับ”
“แล้วผมควรทำยังไงล่ะครับ ตัวผมยังไม่มีเกียรติพอให้ทนายโม่มาต้อนรับเราด้วยตัวเองเหรอครับ” ชายที่นั่งอยู่ตรงกลางคือประธานสูงสุดของบริษัทหย่วนเฉิน หนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงในประเทศ เขาไม่สูงมาก รูปร่างท้วม ด้านบนศีรษะล้านจากอายุที่มากขึ้น แต่ก็ไม่มีผลกับอำนาจที่เขาถือครอบครองไว้ในบริษัท เขาคงหวังจะใช้ท่าทางมีอำนาจนี้ในการข่มขู่โม่หัน
“พูดเกินไปแล้วครับ ถ้าประธานตู้อยากพบผมก็ส่งคนมาแจ้งผมก็พอ แล้วเดี๋ยวผมจะไปหาที่บริษัทด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นให้คุณต้องมาลดตัวลงมาหาผมที่บริษัทเล็กๆ ของผมหรอกครับ” โม่หันว่าขึ้น
“ทนายโม่นี่ช่างเป็นคนถ่อมตัวจริงๆ นะครับ” ประธานตู้เอ่ย
“ประธานตู้ครับ อยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะครับ อย่ามารบกวนการทำงานของเราที่นี่เลย”
ชายที่นั่งตรงข้ามยืดตัวขึ้นและจ้องหน้าเขา “ถ้าอย่างนั้นผมจะไม่อ้อมค้อมล่ะนะ เรามาที่นี่เพราะเรื่องคดีความระหว่างบริษัทของเราและลูกความของคุณ บริษัทเหรินต้า ที่สำนักงานของคุณเป็นตัวแทนอยู่”
โม่หันที่นั่งอยู่อีกด้านกล่าว “ถ้าเป็นเรื่องนั้นผมเกรงว่าประธานตู้คงจะมาเสียเที่ยวแล้วล่ะครับ เรื่องเกี่ยวกับการโจรกรรมข้อมูลทางการค้าและการยักยอกเงินกองทุนระหว่างบริษัทของคุณและบริษัทเหรินต้าถูกเตรียมการไปเรียบร้อยแล้ว ตัวแทนทนายความของคุณคงได้รับหมายเรียกจากศาลแล้ว ศาลจะเป็นคนพิจารณาคดีจากหลักฐานที่ปรากฏระหว่างการว่าความเอง และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะเข้าไปก้าวก่ายได้ครับ”
เขาเอ่ยสำทับ “อีกอย่างนะครับ ผมเกรงว่าคงจะไม่หมาะนักที่คู่กรณีที่เกี่ยวข้องในคดีจะนัดเจอกันเป็นการส่วนตัวก่อนการขึ้นพิจารณาคดี”
ใบหน้าของอีกฝ่ายฉายแววอารมณ์หลากหลาย “ทนายโม่ไม่กลัวว่าคดีความจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างเลยเหรอ”
เขายกยิ้ม “ผมว่าคุณคงกังวลมากเกินไปแล้วล่ะครับ เราเตรียมหลักฐานสำหรับคดีนี้ไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว การที่บริษัทของคุณโจรกรรมข้อมูลทางการค้าของบริษัทลูกความของผมเป็นข้อเท็จจริงที่ชี้แจงได้ตามกฎหมาย ทำไมคุณถึงไม่ไปปรึกษากับทนายความของคุณเรื่องผลการพิจารณาคดีและค่าชดเชยความเสียหายแทนที่จะมาหาผมที่นี่เพื่อคุยเรื่องคดีล่ะครับ”
ประธานตู้จ้องมองเขาครู่หนึ่งก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างพยายามผ่อนคลายบรรยากาศ “โธ่ อย่าพูดจาเข้มงวดนักสิครับ ทนายโม่ คุณไม่รู้หรอกว่าข้อมูลพวกนี้มันมีอยู่เกลื่อนกลาดไปหมด ท่ามกลางตลาดที่ใหญ่ขนาดนี้บางทีก็อาจจะมีบางความคิดที่บังเอิญเหมือนกันก็ได้ และความคิดของฝ่ายสร้างสรรค์ของเราก็แค่คล้ายกับบริษัทเหรินต้าก็เท่านั้นเอง ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องจริงจังด้วย เป็นเรื่องน่ายินดีที่พวกเราจะแบ่งส่วนแบ่งทางการตลาดกันด้วยซ้ำ!”
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องการยักยอกเงินล่ะครับ” เขากล่าว
“คุณจะมาใส่ความผมแบบนี้ไม่ได้นะครับ ต้องโทษความผิดพลาดของลูกชายผม เขาขี้เล่นและแค่บังเอิญเขาฉลาดเกินไป เขาเข้ามาดูแลฝ่ายการเงินของบริษัทแล้วก็เอาเงินออกไปแค่บางส่วนเพื่อไปซื้อรถไม่กี่คันเท่านั้นเอง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ ตอนนี้พอเรื่องกลายมาเป็นแบบนี้ ผมเองก็เป็นเหยื่อเหมือนกันนะ!”
“ผมก็เกรงว่าลูกชายของคุณจะใช้เงินไปกับการซื้อรถเพียงอย่างเดียวจริงๆ นะครับ” โม่หันยิ้มและเงียบลง คิดในใจว่าประธานตู้คนนี้ช่างโยนความผิดให้คนอื่นได้อย่างหน้าด้านๆ เขาคงสามารถผลักคนอื่นลงไปในกองไฟเพื่อปกป้องตัวเองได้อย่างไม่คิดเพียงเพราะผลประโยชน์ส่วนตัว
“ถ้าทนายโม่ต้องการรถสักคัน ผมก็ยินดีที่จะซื้อให้คุณนะครับ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนสำหรับมิตรภาพระหว่างเรา ถึงยังไงคุณก็เป็นนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศนี้” ประธานตู้ว่าขึ้น
“ไม่ล่ะครับ… ผมมีรถของตัวเองแล้ว” เขาเข้าใจดีว่าไม่มีนักธุรกิจยอมให้ตัวเองสูญเสียผลประโยชน์ฝ่ายเดียว
เขามองใบหน้าของอีกฝ่ายและหัวเราะออกมา ให้ตายสิ ในที่สุดหางจิ้งจอกก็โผล่ออกมาเสียแล้ว
“ประธานตู้ครับ…” เขาหัวเราะออกมาเบาๆ “คุณไม่กลัวว่าจะถูกบันทึกภาพและเสียงไว้เลยเหรอครับ”
ทันใดนั้นพวกเขาหลายคนก็นิ่งอึ้งไป ส่วนคู่สนทนาของเขามองกลับมาอย่างเกลียดชัง
“ล้อเล่นน่ะครับ ประธานตู้ ทำไมผมต้องใช้วิธีนี้ด้วย ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจบางอย่างสักทีนะครับ โชคดีจะเข้ามาหาคนดีๆ เองนั้นล่ะครับ” เขาพูดเสียงเบาขณะที่มองนาฬิกาไปพลาง “สายแล้ว ผมมีประชุมต่อ เชิญออกไปได้แล้วครับ”
อีกฝ่ายตัวสั่นไปด้วยความโกรธ มือกำหมัดแน่น ก่อนที่จะลุกขึ้นยืน “อย่างนั้นผมไม่รบกวนทนายโม่แล้ว”
“ขออนุญาตไม่ไปส่งนะครับ กลับดีๆ นะครับประธานตู้” เขาเอ่ยพร้อมเปิดประตูให้พวกเขา
หลังจากประธานตู้และชายอีกสี่คนเดินออกไป พนักงานก็เอนหลังมองตามทางที่พวกเขาออกไป หลิว
จื้อหย่วนที่มองพวกเขาเดินออกไปพร้อมแก้วกาแฟในมือตัวเองก็หันมามองหน้าโม่หันอย่างต้องการถามว่าทำไมพวกเขาถึงจากไปเร็วนัก
“รีบกลับไปทำงานได้แล้ว ไม่มีอะไร” เขาพูด
หลิวจื้อหย่วนวางแก้วลงบนโต๊ะด้วยท่าทีสบายๆ และวิ่งเข้าไปถามเขา “พวกเขามาพูดอะไรเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก ผมจัดการเรื่องคดีความไปแล้ว” เขาตอบ
อีกฝ่ายยกนิ้วให้เขา “เจ้านายนี่เก่งจริงๆ คุณจัดการกับเพื่อนเก่าจากบริษัทหย่วนเฉินได้อยู่หมัดเลย คุณไม่รู้หรอกว่าเขาเล่นสกปรกได้ขนาดไหน เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องปกติของโลกธุรกิจ ผมคิดว่าพวกเขาจะอยู่ที่นี่ตลอดทั้งบ่ายเสียอีก”
เขายิ้มออกมา “จริงๆ แล้วเขาไม่ได้พูดอะไรมากหรอก แค่พยายามให้ผมรับสินบนจากเขา แต่น่าเสียดายที่ข้อกล่าวหาของบริษัทของพวกเขาถูกยืนยันไปแล้ว หลักฐานก็มีปรากฏให้เห็นอยู่ คงยากที่จะพลิกเกมพวกเขาเลยตัดสินใจใช้วิธีนี้เพื่อหวังให้เราช่วย”
“พวกเขาช่างกล้าจริงๆ คิดว่าพวกเราจะปล่อยพวกเขาไปหรืออย่างไร แม้ว่าทนายความของพวกเขาจะเก่งกาจแค่ไหน แต่ใครจะหาเงินหกสิบล้านหยวนมาชดเชยกองทุนของบริษัทที่เขาแอบยักยอกไปกัน ต่อให้ทนายเก่งแค่ไหนก็คงยากที่จะชนะคดีไปได้”
โม่หันเอ่ย “ต่อให้เป็นแบบนั้นเราก็ประมาทไม่ได้ ช่วงนี้เฝ้าดูความเคลื่อนไหวของบริษัทพวกเขาไว้ พวกเราต้องขึ้นศาลในอีกไม่กี่วัน จะปล่อยให้มีอะไรผิดพลาดไม่ได้”
หลิวจื้อหย่วนตบอกตัวเองปุๆ “เชื่อใจผมได้เลยครับ” ก่อนกล่าวเสริม “เจ้านายครับ เมื่อวานผมเห็นน้องสาวของคุณบนถนน เธอดูเหม่อๆ และไม่ได้ยินที่ผมทักทายเธอด้วย เหมือนกับคิดอะไรอยู่ในหัวอยู่อย่างนั้นแหละครับ”